รายชื่อพิพิธภัณฑ์

พิพิธภัณฑ์ดาบน้ำพี้

พิพิธภัณฑ์ดาบเหล็กน้ำพี้ จัดแสดงเรื่องราวของเหล็กน้ำพี้ ซึ่งเป็นเหล็กกล้าที่นำไปทำเป็นศาสตราวุธคู่พระหัตถ์พระมหากษัตริย์ และคู่มือนักรบมาตั้งแต่โบราณ เช่น พระแสงดาบ และพระแสงของ้าวของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช พระขรรค์ของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช รวมถึงดาบนันทกาวุธของพระยาพิชัยดาบหัก เพราะเชื่อกันว่า เหล็กน้ำพี้มีความขลังอยู่ในตัว ภายในพิพิธภัณฑ์ยังจัดแสดงและเก็บรักษาเครื่องรางของขลังที่ทำจากเหล็กน้ำพี้ และดาบเหล็กน้ำพี้ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งมีความยาว 9.24 เมตร น้ำหนัก 450 กิโลกรัม ฝักและด้ามดาบทำด้วยไม้ประดู่ ฝังลายมุก หุ้มปอกเงินสลักลาย และมีการแกะสลักลวดลายและลงอักขระขอม

จ. อุตรดิตถ์

พิพิธภัณฑ์พื้นบ้านบ่อเหล็กน้ำพี้

พิพิธภัณฑ์พื้นบ้านบ่อเหล็กน้ำพี้ ตั้งอยู่ที่บริเวณโบราณสถานบ่อเหล็กน้ำพี้ ซึ่งในพื้นที่จะมีบ่อเหล็กน้ำพี้โบราณ อาทิ บ่อพระแสง บ่อพระขรรค์ และมีศาลเจ้าพ่อบ่อเหล็กน้ำพี้ซึ่งเป็นที่ศรัทธาของชาวบ้าน ภายในอาคารพิพิธภัณฑ์จtเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับเหล็กน้ำพี้ และศาสตราวุธที่ทำจากเหล็กน้ำพี้ มีการจัดแสดงหุ่นจำลองกรรมวิธีการขุดหาแร่เหล็ก การถลุงเหล็ก การตีเหล็ก และแสดงผลิตภัณฑ์ที่ได้จากเหล็กน้ำพี้ รวมถึงยังมีการถ่ายทอดเรื่องราวเกี่ยวกับวิถีชีวิตและวัฒนธรรมของชาวอุตรดิตถ์อีกด้วย

จ. อุตรดิตถ์

ซุ้มดินศิลปวัฒนธรรม วิถีชีวิต ชนเผ่าบ้านจะแล

หมู่บ้านจะแลเป็นชุมชนชาวลาหู่ ที่อพยพมาจากบริเวณรอยต่ออำเภอแม่ฟ้าหลวง "ซุ้มดินศิลปวัฒนธรรม วิถีชีวิตชนเผ่าบ้านจะแล" หรือพิพิธภัณฑ์ชาวเขาที่สร้างขึ้นเมื่อปี 2545 โดยความร่วมมือของศูนย์วัฒนธรรมกระจกเงา และชาวบ้านจะแล เพื่อบอกเล่าเรื่องราว วิถีวัฒนธรรม ประเพณี และแสดงอัตลักษณ์ความเป็นชาวลาหู่ ท่ามกลางกระแสพัฒนาหลักในปัจจุบัน ลักษณะของพิพิธภัณฑ์เป็นซุ้มดินขนาดใหญ่จำนวน 4 หลัง และเรือนไม้ไผ่อีก 2 เรือน แบ่งเป็นซุ้มแสดงประเพณี วัฒนธรรมและวิถีชีวิต ห้องฉายภาพวิดีโอสารคดีชนเผ่า ซุ้มศิลปะและภาพถ่าย และร้านค้าชุมชน  โดยผู้ชมจะได้เข้าชมวิดีโอข้อมูลชนเผ่าที่ห้องฉายภาพ เพื่อปูความรู้เกี่ยวกับประวัติความเป็นมา และวิถีชีวิตของชาวเขาเผ่าต่างๆ ในพื้นที่ห้วยแม่ซ้าย ถัดจากห้องฉายภาพจะเป็นซุ้มพิพิธภัณฑ์ที่บอกเล่าเรื่องราวผ่านสิ่งของเครื่องใช้ เครื่องดนตรี และของเล่นนานาชนิด นอกจากนี้ยังมีเครื่องแต่งกายของชนเผ่าจัดแสดงไว้อย่างสวยงาม สิ่งของเครื่องใช้ที่นำมาจัดแสดงนี้ เป็นข้าวของที่ชาวบ้านในชุมชนเต็มใจมอบให้พิพิธภัณฑ์เพื่อใช้เป็นวิทยาทานแก่บุคคลภายนอก นอกจากพิพิธภัณฑ์แล้ว เยาวชนในหมู่บ้านยังรวมกลุ่มกันจัดการท่องเที่ยวในชุมชน โฮมสเตย์ มัคคุเทศก์ท้องถิ่น การแสดงวัฒนธรรม และกลุ่มศิลปหัตถกรรม เพื่อรองรับผู้มาเยี่ยมเยือนที่อยากเรียนรู้และสัมผัสกับวิถีชีวิตชนเผ่า

จ. เชียงราย

พิพิธภัณฑ์อูบคำ

พิพิธภัณฑ์อูบคำ ก่อตั้งขึ้นโดยอาจารย์จุลศักดิ์ สุริยะไชย ที่เปิดบ้านพักของตนเองต้อนรับผู้คนที่ปรารถนาเข้ามาสัมผัสกับ “มรดกล้ำค่าของอาณาจักรล้านนาโบราณ และความหลากหลายของเสื้อผ้าอาภรณ์ของชนชาติไตเผ่าต่างๆ ในอาณาจักรล้านนา” คำว่า อูบคำ เป็นชื่อที่มาจากอูบทองคำที่อาจารย์จุลศักดิ์ ได้รับเป็นมรดกตกทอดจากบิดา ซึ่งสืบเชื้อสายจากพระยาสุลวฤาชัย (หนานทิพย์ช้าง) เจ้านครลำปาง (พ.ศ. 2275-2301) พิพิธภัณฑ์ประกอบด้วย 3 อาคารหลัก ได้แก่ (1) คุ้มอูบคำที่จัดแสดงเครื่องเงิน ผ้าในราชสำนัก เครื่องเขิน และเครื่องประดับอาคาร (2) คุ้มบัวเลื่อน (ชื่อได้มาจาก “บัว” ซึ่งเป็นนามของบิดา และ “เลื่อน” เป็นนามของมารดา) ในคุ้มบัวเลื่อนนี้จัดแสดงผ้าโบราณของชนชาติไทเผ่าต่างๆ บางชิ้นอายุกว่า 200 ปี และ (3) คุ้มเจ้าฟ้า มีบัลลังก์ทองจากรัฐฉานเป็นงานประณีตศิลป์ชิ้นเด่นของอาคารจัดแสดงนี้ ข้าวของต่างๆ ได้มาจากทั้งในและต่างประเทศ อาทิ พม่า สิบสองปันนา วัตถุต่างๆ ที่ซื้อมาจากต่างประเทศยังนำมาขาย เพื่อนำเงินมาใช้ในกิจการของพิพิธภัณฑ์ แต่หากวัตถุชิ้นนั้นๆ มีความงามหรือมีความสำคัญต่อประวัติศาสตร์ อาจารย์จะเก็บวัตถุดังกล่าวไว้เป็นของสะสมในพิพิธภัณฑ์ พิพิธภัณฑ์ยังเปิดให้เช่าสถานที่จัดการแสดงและงานเลี้ยงต่างๆ

จ. เชียงราย

อุทยานศิลปะวัฒนธรรมแม่ฟ้าหลวง

อุทยานศิลปะวัฒนธรรมแม่ฟ้าหลวง หรือที่ยรู้จักในชื่อ “ไร่แม่ฟ้าหลวง” เดิมเป็นสถานที่ทำการของมูลนิธิส่งเสริมผลผลิตชาวเขาไทย ในพระราชูปถัมภ์สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี เพื่อหาตลาดให้งานหัตถกรรมที่เป็นศิลปะของชาวไทยภูเขา และเคยทำหน้าที่เสมือน “บ้าน” สำหรับผู้นำเยาวชนชาวเขาจากหมู่บ้านห่างไกล ที่ได้รับพระราชทานทุนเล่าเรียนได้ฝึกวิชาชีวิตจากการอยู่ร่วมกัน ก่อนจะเติบโตแยกย้ายกันไปพัฒนาหมู่บ้านของตนเอง ต่อมาโครงการนี้ได้สิ้นสุดลง ไร่แม่ฟ้าหลวงจึงเปลี่ยนเป็น “อุทยานศิลปะวัฒนธรรมแม่ฟ้าหลวง” เพื่อเป็นศูนย์กลางด้านศิลปวัฒนธรรมล้านนาของไทย ปัจจุบันอุทยานศิลปะวัฒนธรรมแม่ฟ้าหลวงเป็นแหล่งเรียนรู้ด้านศิลปวัฒนธรรมที่สำคัญของภาคเหนือ เปิดให้นักท่องเที่ยวชมงานพุทธศิลป์เก่าแก่ โบราณวัตถุอายุนับศตวรรษ ศิลปวัตถุรังสรรค์จากไม้สัก มีอาคารสถาปัตยกรรมล้านนาที่งดงามท่ามกลางความเขียวชอุ่ม ร่มรื่นของพรรณไม้ท้องถิ่นบนพื้นที่ 150 ไร่ จุดเด่นคือ "หอคำ" สถาปัตยกรรมล้านนาที่ได้รับแรงบันดาลใจจากวัดปงสนุก อำเภอเมือง จังหวัดลำปาง และ "หอแก้ว" อาคารจัดแสดงนิทรรศการถาวรเกี่ยวกับไม้สัก รวมไปถึงงานศิลปะอันวิจิตรต่างๆ ที่นำมาใช้ในการพระศาสนา เริ่มจากตัวอาคารของวัดวาอาราม เครื่องตกแต่ง และเครื่องใช้ในพิธีกรรมต่างๆ จนถึงองค์พระพุทธรูป

จ. เชียงราย

หอนิทรรศการ สำนักงานศิลปะและวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย

สำนักศิลปะและวัฒนธรรม มหาวอทยาลัยราชภัฏเชียงราย แต่เดิมมีชื่อเรียกว่า ศูนย์ศิลปวัฒนธรรม ที่ประกอบด้วยสำนักงานและอาคารหอนิทรรศการ เพื่อจัดนิทรรศการหมุนเวียน โดยมีที่มาจากความพยายามร่วมกับศิลปินชาวเชียงรายในอันที่จะได้มีหอศิลป์เกิดขึ้นในจังหวัดเชียงราย จึงได้มีการจัดสร้างอาคารขึ้นหลังหนึ่งให้เป็น ”หอนิทรรศการ” สำหรับจัดนิทรรศการหมุนเวียนตลอดทั้งปี และได้เป็นสถานที่จัดงานนิทรรศการครั้งสำคัญ “ศิลปะสล่าเชียงราย” เมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2542 ในโอกาสครบรอบ 25 ปีของสถาบันราชภัฏเชียงราย นับเป็นงานที่ยิ่งใหญ่อีกงานหนึ่งและต่อมาผู้บริหารของสถาบัน ผศ.ดร.มาณพ ภาษิตวิไลธรรม ในขณะนั้น ได้เห็นถึงความสำคัญของการที่จะต้องมีแหล่งสะสมและจัดแสดงผลงานศิลปกรรมร่วมสมัยของศิลปินในท้องถิ่น จึงได้มีการสร้างอาคารเพิ่มคือหอศิลปะ “CHIANGRAI ART MUSEUM” ขึ้น เปิดอย่างเป็นทางการในวันที่ 6 สิงหาคม 2547 ในวโรกาสเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ ในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ เรียกได้ว่าเป็นหอศิลป์แห่งแรกของจังหวัดเชียงราย

จ. เชียงราย