มหกรรมเมืองพิพิธภัณฑ์เชียงแสน พ.ศ. 2562
18 กุมภาพันธ์ 2564
อำเภอเชียงแสนและอำเภอใกล้เคียง
จังหวัดเชียงราย ถือว่าเป็นพื้นที่ที่มีประวัติศาสตร์ความเป็นมาอันยาวนาน
ศักดิ์ชัย สายสิงห์ อาจารย์ผู้เชี่ยวชาญด้านประวัติศาสตร์และโบราณคดี (2551 : 7) กล่าวถึงกลุ่มวัฒนธรรมเชียงแสนว่า บริเวณเมืองเชียงแสนโบราณ ได้พบร่องรอยการอยู่อาศัยของมนุษย์มาตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์
โดยพบหลักฐานประเภทเครื่องมือ หินกระเทาะบริเวณแม่น้ำโขงและแม่น้ำคำ
สันนิษฐานว่าเป็นยุคหินเก่า ในส่วนยุคหินกลางนั้นพบเครื่องขูดสับและสับตัด
ในยุคต่อมา คือ ยุคหินใหม่ พบหลักฐานเป็นเครื่องมือหินขัดคล้ายรูปไข่และขวานหินขัดชนิดมีบ่า
และยังพบเศษภาชนะดินเผาเนื้อหยาบแบบขึ้นรูปด้วยมือและเครื่องประดับดินเผา
นอกจากนี้ยังมีตำนานต่างๆ
ที่เกี่ยวข้องกับเมืองโบราณเชียงแสนที่สำคัญหลายตำนาน เช่น ตำนานสิงหนวัติกุมาร
ตำนานสุวรรณโคมคำ เชียงแสนปรากฏชื่อว่าโยนกนครไชยบุรีศรีเชียงแสน
และชื่อหิรัญนครเงินยางเชียงแสน
ในยุคนี้ยังไม่มีหลักฐานชัดเจนปรากฏเป็นลายลักษณ์อักษร เพียงสันนิษฐานจากเอกสารตำนานที่เขียนขึ้นในภายหลัง
แต่อย่างไรก็ดี คำว่า “เมืองเชียงแสน” เป็นชื่อที่เรียกขึ้นภายหลัง ประมาณพุทธศตวรรษที่
19 ในสมัยมีการสถาปนาอาณาจักรล้านนาแล้ว โดยปรากฏหลักฐานในชินกาลมาลีปกรณ์
กล่าวถึงเมืองเชียงแสนว่า สร้างขึ้นในรัชสมัยพญาแสนภู
ซึ่งเป็นพระนัดดาของพญามังราย
การสร้างเมืองเชียงแสนของพระองค์
สร้างเมืองขึ้นใหม่จากร่องรอยของเวียงเดิม ริมน้ำโขง ใกล้กับสบกก ในราวปี พ.ศ.
1871 ดังนั้นชื่อเมืองเชียงแสนจึงตั้งขึ้นตามพระนามของพระองค์ หลังจากนั้นเมืองเชียงแสนได้บูรณะและสร้างเพิ่มเติมอีกหลายครั้งต่างยุคสมัยกันมา จนในปี พ.ศ. 2100 เชียงแสนตกเป็นเมืองขึ้นของพม่า
โดยมีฟ้ามังทราแห่งราชวงศ์ตองอูปกครอง
ต่อมากรุงศรีอยุธยาในรัชสมัยของสมเด็จพระนเรศวร ได้ส่งออกญารามเดโชมาครองเมืองเชียงแสน
แต่ก็ยึดเมืองเชียงแสนได้ในระยะเวลาสั้นๆ เพราะต่อมาต้องอยู่ภายใต้การปกครองของกษัตริย์ชาวล้านช้าง
และถูกพม่าเข้าตีแล้วครอบครองอยู่อีกหลายปี จนในที่สุดยุคกรุงธนบุรี
มีผู้นำของล้านนา คือ พญาจ่าบ้านและเจ้ากาวิละ ร่วมกับทัพกรุงธนบุรีต่อต้านอำนาจพม่าในล้านนา
จึงทำสงครามกันอย่างยืดเยื้อเป็นระยะเวลาถึง 30 ปี
จนล่วงเข้าสู่สมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น รัชกาลที่ 1 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์โปรดเกล้าฯ
ให้กรมหลวงเทพหริรักษ์กับพระยายม ร่วมกับกองทัพเวียงจันทร์
ยกทัพเข้าตีเชียงแสนจนแตก หลังจากนั้นได้เผาเมืองเชียงแสน
และกวาดต้อนผู้คนไปเป็นเชลยจำนวนมาก
เจ้าพระยาทิพากรวงศ์ (2526 : 186) ผู้เขียนพระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชการที่ 1 กล่าวว่าการกวาดต้อนชาวเชียงแสนในยุคนี้มีจำนวนประมาณ
23,000 ครอบครัว แล้วแบ่งกลุ่มให้ไปอยู่ตามเมืองต่างๆ คือ
เชียงใหม่ ลำปาง น่าน เวียงจันทร์ และที่สำคัญ คือ มีกลุ่มหนึ่งให้ลงมายังกรุงเทพฯ
โดยรัชกาลที่ 1 โปรดเกล้าฯ ให้ไปตั้งบ้านเรือนอยู่ที่เสาไห้ สระบุรี
และที่บ้านคูบัว ราชบุรี
สงครามครั้งนั้นทำให้เมืองเชียงแสนกลายสภาพเป็นเมืองร้างมาจนถึงรัชกาลที่
3 จนกระทั่งในสมัยรัชกาลที่ 5 พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้มีพวกพม่า ลื้อ เขิน
เริ่มอพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานในเมืองเชียงแสน รัชกาลที่ 5 จึงโปรดเกล้าฯ
ให้เจ้าอินทรวิชยานนท์ เจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่ยกกำลังไปปราบและขับไล่ให้ออกไป
ภายหลังพระองค์ได้โปรดเกล้าฯ ให้เจ้าอินต๊ะ เจ้าผู้ครองนครลำพูนนำครอบครัวพร้อมชาวเมืองลำพูนและเชียงใหม่
จำนวน 1,500 ครอบครัวขึ้นมาตั้งถิ่นฐานที่เมืองเชียงแสน
เมืองเชียงแสนจึงกลับมาเป็นเมืองที่มีผู้คนอีกครั้งหนึ่ง
เมื่อเมืองเชียงแสนกลายเป็นเมืองที่อยู่ภายใต้การปกครองของกรุงเทพฯ
โดยมีนโยบายให้ตั้งเป็นเมืองขึ้นมาใหม่ แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ
จนถึงช่วงยุคการเปลี่ยนแปลงการปกครองท้องถิ่น
จึงมีนโยบายให้ยุบเมืองเชียงแสนเข้าเป็นกิ่งอำเภอเชียงแสนหลวงขึ้นตรงต่ออำเภอแม่จัน
ต่อมาจึงยกระดับขึ้นเป็นอำเภอเชียงแสน ในปี พ.ศ. 2500
ตลอดระยะเวลาเกือบ 700
ปีจนถึงปัจจุบัน เมืองเชียงแสนได้ผ่านเหตุการณ์ต่างๆ มากมาย
ซึ่งยังเหลือหลักฐานที่จากแหล่งโบราณคดีและโบราณวัตถุให้คนรุ่นหลังได้ชื่นชม
เรียนรู้ และสัมผัส นอกจากนี้ เมืองเชียงแสน ยังมีความหลากหลายด้านเชื้อชาติ คือ
ชาวไทยยวน (คนเมือง) ชาวไทยลื้อ ชาวไทยใหญ่ ชาวไทยลาว ชาวไทยลาวอีสาน ชาวไทยเขิน
และกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ อีกหลายกลุ่ม
มีความสมบูรณ์ของพื้นที่ชุ่มน้ำและแหล่งสัตว์น้ำ แหล่งโบราณสถานและแหล่งโบราณคดี
ความงดงามของประเพณีและวัฒนธรรมท้องถิ่นเป็นถิ่นพำนักของศิลปินเชียงรายหลากหลายสาขา
เช่น สาขาจิตรกรรม สาขาปฏิมากรรม สาขาหัตถกรรม และสาขาดนตรีนาฏศิลป์ เป็นต้น สิ่งเหล่านี้ถือว่าเป็นจุดเด่นของชุมชน
นอกจากนี้
ชุมชนท้องถิ่นในเขตพื้นที่อำเภอเชียงแสน
ยังเป็นชุมชนที่ตั้งอยู่ที่ราบลุ่มแม่น้ำสำคัญ 2 สาย คือ แม่น้ำกกและแม่น้ำโขง
พร้อมทั้งเป็นพื้นที่เชื่อมโยงชายแดนระหว่าง 3 ประเทศ คือ ไทย เมียนมาร์ และ ลาว
ดังคำขวัญของจังหวัดเชียงราย “เหนือสุดในสยาม ชายแดนสามแผ่นดิน ถิ่นวัฒนธรรมล้านนา
ล้ำค่าพระธาตุดอยตุง”
ปัจจุบันเมืองเชียงแสนเป็นหนึ่งในสามของเขตเศรษฐกิจพิเศษของจังหวัดเชียงราย
(อีกสองแหล่ง คืออำเภอแม่สาย และอำเภอเชียงของ) ทำให้เมืองเชียงแสนมีความเจริญอย่างรวดเร็วทั้งทางด้านเศรษฐกิจ
สังคม และการคมนาคมขนส่ง โดยเฉพาะด้านการขนส่ง มี 2 เส้นทางหลัก คือ
เส้นทางเดินเรือ (เส้นทางน้ำ) และเส้นทางเดินรถ (เส้นทางบก)
นอกจากนี้รัฐบาลปัจจุบัน (รัฐบาลภายใต้การนำของ คสช.)
ยังมีแนวคิดดำเนินโครงการเส้นทางรถไฟเด่นชัย-เชียงราย
โดยเมืองเชียงแสนเป็นจุดสิ้นสุดเส้นทางรถไฟเส้นที่ 2
ความเจริญในด้านต่างๆ
ดังกล่าวนั้น เป็นทั้งจุดแข็งและจุดอ่อนต่อสภาพสังคมของคนเชียงแสน
โดยเฉพาะในด้านศิลปวัฒนธรรม ถือเป็นจุดล่อแหลมมากที่สุด
หากปล่อยให้มีสภาพที่ไหลไปตามกระแสความเจริญก้าวหน้าอย่างไม่รู้เท่าทันแล้ว
ย่อมทำให้เกิดผลเสียมากกว่าผลดี แต่อย่างไรก็ดี
เมืองเชียงแสนในปัจจุบันก็คงความเป็นเมืองเชียงแสนที่หลากหลายด้วยกลุ่มชาติพันธุ์
แหล่งศิลปวัฒนธรรมอันดีงาม และแหล่งโบราณคดีที่สมบูรณ์
สามารถเชื่อมโยงจากปัจจุบันไปสู่อดีต และวางแผนไปสู่อนาคตอันรุ่งเรืองได้
ด้วยความสำคัญของเมืองโบราณเชียงแสนดังกล่าวนั้น
เครือข่ายพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นล้านนา 8 จังหวัดภาคเหนือตอนบน
จึงดำริร่วมกันที่จะจัดงานเครือข่ายพิพิธภัณฑ์ในปี พ.ศ. 2562 ณ
บริเวณเมืองโบราณเชียงแสน ในชื่องานว่า “มหกรรมเมืองพิพิธภัณฑ์เมืองเชียงแสน
:
ปาเจียงแสนปิ๊กบ้าน”
ถือว่าเป็นการจัดงานมหกรรมพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นล้านนาต่อเนื่องเป็นครั้งที่ 2 ต่อจากครั้งที่ 1 เมื่อปี พ.ศ. 2559 ในครั้งนั้นใช้ชื่อหัวข้องานว่า
“ศรัทธาสักการะ” ณ วัดศรีโคมคำ จังหวัดพะเยา
โดยงานมหกรรมพิพิธภัณฑ์ทั้งสองครั้ง เป็นการทำงานร่วมกันระหว่างเครือข่ายพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นล้านนา
และศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) ชมบรรยากาศงานมหกรรมพพิธภัณฑ์ท้องถิ่นล้านนา ปาเจียงแสนปิ๊กบ้าน จากคลิปวิดีโอ https://channel.sac.or.th/th/website/video/detail_news/3191