มหกรรมเมืองพิพิธภัณฑ์เชียงแสน พ.ศ. 2562

          อำเภอเชียงแสนและอำเภอใกล้เคียง จังหวัดเชียงราย ถือว่าเป็นพื้นที่ที่มีประวัติศาสตร์ความเป็นมาอันยาวนาน ศักดิ์ชัย สายสิงห์ อาจารย์ผู้เชี่ยวชาญด้านประวัติศาสตร์และโบราณคดี (2551 : 7) กล่าวถึงกลุ่มวัฒนธรรมเชียงแสนว่า บริเวณเมืองเชียงแสนโบราณ ได้พบร่องรอยการอยู่อาศัยของมนุษย์มาตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ โดยพบหลักฐานประเภทเครื่องมือ หินกระเทาะบริเวณแม่น้ำโขงและแม่น้ำคำ สันนิษฐานว่าเป็นยุคหินเก่า ในส่วนยุคหินกลางนั้นพบเครื่องขูดสับและสับตัด ในยุคต่อมา คือ ยุคหินใหม่ พบหลักฐานเป็นเครื่องมือหินขัดคล้ายรูปไข่และขวานหินขัดชนิดมีบ่า และยังพบเศษภาชนะดินเผาเนื้อหยาบแบบขึ้นรูปด้วยมือและเครื่องประดับดินเผา

          นอกจากนี้ยังมีตำนานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับเมืองโบราณเชียงแสนที่สำคัญหลายตำนาน เช่น ตำนานสิงหนวัติกุมาร ตำนานสุวรรณโคมคำ  เชียงแสนปรากฏชื่อว่าโยนกนครไชยบุรีศรีเชียงแสน และชื่อหิรัญนครเงินยางเชียงแสน ในยุคนี้ยังไม่มีหลักฐานชัดเจนปรากฏเป็นลายลักษณ์อักษร เพียงสันนิษฐานจากเอกสารตำนานที่เขียนขึ้นในภายหลัง แต่อย่างไรก็ดี คำว่า “เมืองเชียงแสน” เป็นชื่อที่เรียกขึ้นภายหลัง ประมาณพุทธศตวรรษที่ 19 ในสมัยมีการสถาปนาอาณาจักรล้านนาแล้ว โดยปรากฏหลักฐานในชินกาลมาลีปกรณ์ กล่าวถึงเมืองเชียงแสนว่า  สร้างขึ้นในรัชสมัยพญาแสนภู ซึ่งเป็นพระนัดดาของพญามังราย

          การสร้างเมืองเชียงแสนของพระองค์ สร้างเมืองขึ้นใหม่จากร่องรอยของเวียงเดิม ริมน้ำโขง ใกล้กับสบกก ในราวปี พ.ศ. 1871 ดังนั้นชื่อเมืองเชียงแสนจึงตั้งขึ้นตามพระนามของพระองค์  หลังจากนั้นเมืองเชียงแสนได้บูรณะและสร้างเพิ่มเติมอีกหลายครั้งต่างยุคสมัยกันมา จนในปี พ.ศ. 2100 เชียงแสนตกเป็นเมืองขึ้นของพม่า โดยมีฟ้ามังทราแห่งราชวงศ์ตองอูปกครอง ต่อมากรุงศรีอยุธยาในรัชสมัยของสมเด็จพระนเรศวร ได้ส่งออกญารามเดโชมาครองเมืองเชียงแสน แต่ก็ยึดเมืองเชียงแสนได้ในระยะเวลาสั้นๆ เพราะต่อมาต้องอยู่ภายใต้การปกครองของกษัตริย์ชาวล้านช้าง และถูกพม่าเข้าตีแล้วครอบครองอยู่อีกหลายปี จนในที่สุดยุคกรุงธนบุรี มีผู้นำของล้านนา คือ พญาจ่าบ้านและเจ้ากาวิละ ร่วมกับทัพกรุงธนบุรีต่อต้านอำนาจพม่าในล้านนา จึงทำสงครามกันอย่างยืดเยื้อเป็นระยะเวลาถึง 30 ปี จนล่วงเข้าสู่สมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น รัชกาลที่ 1 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์โปรดเกล้าฯ ให้กรมหลวงเทพหริรักษ์กับพระยายม ร่วมกับกองทัพเวียงจันทร์ ยกทัพเข้าตีเชียงแสนจนแตก หลังจากนั้นได้เผาเมืองเชียงแสน และกวาดต้อนผู้คนไปเป็นเชลยจำนวนมาก


          เจ้าพระยาทิพากรวงศ์ (2526 : 186) ผู้เขียนพระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชการที่ 1 กล่าวว่าการกวาดต้อนชาวเชียงแสนในยุคนี้มีจำนวนประมาณ 23,000 ครอบครัว แล้วแบ่งกลุ่มให้ไปอยู่ตามเมืองต่างๆ คือ เชียงใหม่ ลำปาง น่าน เวียงจันทร์ และที่สำคัญ คือ มีกลุ่มหนึ่งให้ลงมายังกรุงเทพฯ โดยรัชกาลที่ 1 โปรดเกล้าฯ ให้ไปตั้งบ้านเรือนอยู่ที่เสาไห้ สระบุรี และที่บ้านคูบัว ราชบุรี

          สงครามครั้งนั้นทำให้เมืองเชียงแสนกลายสภาพเป็นเมืองร้างมาจนถึงรัชกาลที่ 3 จนกระทั่งในสมัยรัชกาลที่ 5 พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้มีพวกพม่า ลื้อ เขิน เริ่มอพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานในเมืองเชียงแสน รัชกาลที่ 5 จึงโปรดเกล้าฯ ให้เจ้าอินทรวิชยานนท์ เจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่ยกกำลังไปปราบและขับไล่ให้ออกไป ภายหลังพระองค์ได้โปรดเกล้าฯ ให้เจ้าอินต๊ะ เจ้าผู้ครองนครลำพูนนำครอบครัวพร้อมชาวเมืองลำพูนและเชียงใหม่ จำนวน 1,500 ครอบครัวขึ้นมาตั้งถิ่นฐานที่เมืองเชียงแสน เมืองเชียงแสนจึงกลับมาเป็นเมืองที่มีผู้คนอีกครั้งหนึ่ง

          เมื่อเมืองเชียงแสนกลายเป็นเมืองที่อยู่ภายใต้การปกครองของกรุงเทพฯ โดยมีนโยบายให้ตั้งเป็นเมืองขึ้นมาใหม่ แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ จนถึงช่วงยุคการเปลี่ยนแปลงการปกครองท้องถิ่น จึงมีนโยบายให้ยุบเมืองเชียงแสนเข้าเป็นกิ่งอำเภอเชียงแสนหลวงขึ้นตรงต่ออำเภอแม่จัน ต่อมาจึงยกระดับขึ้นเป็นอำเภอเชียงแสน ในปี พ.ศ. 2500

          ตลอดระยะเวลาเกือบ 700 ปีจนถึงปัจจุบัน เมืองเชียงแสนได้ผ่านเหตุการณ์ต่างๆ มากมาย ซึ่งยังเหลือหลักฐานที่จากแหล่งโบราณคดีและโบราณวัตถุให้คนรุ่นหลังได้ชื่นชม เรียนรู้ และสัมผัส นอกจากนี้ เมืองเชียงแสน ยังมีความหลากหลายด้านเชื้อชาติ คือ ชาวไทยยวน (คนเมือง) ชาวไทยลื้อ ชาวไทยใหญ่ ชาวไทยลาว ชาวไทยลาวอีสาน ชาวไทยเขิน และกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ อีกหลายกลุ่ม มีความสมบูรณ์ของพื้นที่ชุ่มน้ำและแหล่งสัตว์น้ำ แหล่งโบราณสถานและแหล่งโบราณคดี ความงดงามของประเพณีและวัฒนธรรมท้องถิ่นเป็นถิ่นพำนักของศิลปินเชียงรายหลากหลายสาขา เช่น สาขาจิตรกรรม สาขาปฏิมากรรม สาขาหัตถกรรม และสาขาดนตรีนาฏศิลป์  เป็นต้น สิ่งเหล่านี้ถือว่าเป็นจุดเด่นของชุมชน

          นอกจากนี้ ชุมชนท้องถิ่นในเขตพื้นที่อำเภอเชียงแสน ยังเป็นชุมชนที่ตั้งอยู่ที่ราบลุ่มแม่น้ำสำคัญ 2 สาย คือ แม่น้ำกกและแม่น้ำโขง พร้อมทั้งเป็นพื้นที่เชื่อมโยงชายแดนระหว่าง 3 ประเทศ คือ ไทย เมียนมาร์ และ ลาว ดังคำขวัญของจังหวัดเชียงราย “เหนือสุดในสยาม ชายแดนสามแผ่นดิน ถิ่นวัฒนธรรมล้านนา ล้ำค่าพระธาตุดอยตุง”



          ปัจจุบันเมืองเชียงแสนเป็นหนึ่งในสามของเขตเศรษฐกิจพิเศษของจังหวัดเชียงราย (อีกสองแหล่ง คืออำเภอแม่สาย และอำเภอเชียงของ) ทำให้เมืองเชียงแสนมีความเจริญอย่างรวดเร็วทั้งทางด้านเศรษฐกิจ สังคม และการคมนาคมขนส่ง โดยเฉพาะด้านการขนส่ง มี 2 เส้นทางหลัก คือ เส้นทางเดินเรือ (เส้นทางน้ำ) และเส้นทางเดินรถ (เส้นทางบก) นอกจากนี้รัฐบาลปัจจุบัน (รัฐบาลภายใต้การนำของ คสช.) ยังมีแนวคิดดำเนินโครงการเส้นทางรถไฟเด่นชัย-เชียงราย โดยเมืองเชียงแสนเป็นจุดสิ้นสุดเส้นทางรถไฟเส้นที่ 2

          ความเจริญในด้านต่างๆ ดังกล่าวนั้น เป็นทั้งจุดแข็งและจุดอ่อนต่อสภาพสังคมของคนเชียงแสน โดยเฉพาะในด้านศิลปวัฒนธรรม ถือเป็นจุดล่อแหลมมากที่สุด หากปล่อยให้มีสภาพที่ไหลไปตามกระแสความเจริญก้าวหน้าอย่างไม่รู้เท่าทันแล้ว ย่อมทำให้เกิดผลเสียมากกว่าผลดี แต่อย่างไรก็ดี เมืองเชียงแสนในปัจจุบันก็คงความเป็นเมืองเชียงแสนที่หลากหลายด้วยกลุ่มชาติพันธุ์ แหล่งศิลปวัฒนธรรมอันดีงาม และแหล่งโบราณคดีที่สมบูรณ์ สามารถเชื่อมโยงจากปัจจุบันไปสู่อดีต และวางแผนไปสู่อนาคตอันรุ่งเรืองได้

          ด้วยความสำคัญของเมืองโบราณเชียงแสนดังกล่าวนั้น เครือข่ายพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นล้านนา 8 จังหวัดภาคเหนือตอนบน จึงดำริร่วมกันที่จะจัดงานเครือข่ายพิพิธภัณฑ์ในปี พ.ศ. 2562 ณ บริเวณเมืองโบราณเชียงแสน ในชื่องานว่า “มหกรรมเมืองพิพิธภัณฑ์เมืองเชียงแสน : ปาเจียงแสนปิ๊กบ้าน” ถือว่าเป็นการจัดงานมหกรรมพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นล้านนาต่อเนื่องเป็นครั้งที่ 2  ต่อจากครั้งที่ 1 เมื่อปี พ.ศ. 2559 ในครั้งนั้นใช้ชื่อหัวข้องานว่า “ศรัทธาสักการะ” ณ วัดศรีโคมคำ จังหวัดพะเยา  โดยงานมหกรรมพิพิธภัณฑ์ทั้งสองครั้ง เป็นการทำงานร่วมกันระหว่างเครือข่ายพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นล้านนา และศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)

          ชมบรรยากาศงานมหกรรมพพิธภัณฑ์ท้องถิ่นล้านนา ปาเจียงแสนปิ๊กบ้าน จากคลิปวิดีโอ https://channel.sac.or.th/th/website/video/detail_news/3191

เผยแพร่เมื่อ: 18 กุมภาพันธ์ 2564