รายชื่อพิพิธภัณฑ์

พิพิธภัณฑ์พื้นบ้านหนองขาว

อาคารพิพิธภัณฑ์ เดิมเป็นอาคารเรียนสร้างเมื่อปี พ.ศ. 2479 โดยหลวงพ่อพยอม และเมื่อปี พ.ศ. 2541 ก็เริ่มมีแนวคิดจะจัดการกับอาคารหลังนี้ ชาวบ้านฝ่ายหนึ่งอยากให้ทุบทิ้ง เพราะเป็นอาคารเก่า เป็นที่มั่วสุมของวัยรุ่น ขณะเดียวกันอาคารที่อยู่ใกล้กับซุ้มประตูทางเข้าของวัด ก็ทำให้ทัศนวิสัยเสีย ขณะที่ชาวบ้านอีกกลุ่มอยากเก็บรักษาไว้ เพราะความทรงจำวัยเยาว์ที่เคยถูกเกณฑ์ให้ไปขนหิน ขนทราย จากวัดร้างมาสร้างอาคารหลังนี้ บทสรุปสุดท้ายคือ มีการจัดตั้งกองผ้าป่า เพื่ออนุรักษ์ ปรับปรุงอาคารเรียนหลังนี้ให้คงสภาพเดิม แล้วจัดทำเป็นพิพิธภัณฑ์ของชุมชนที่บอกเล่าเรื่องราววิถีชีวิตความเป็นอยู่ ตลอดจนขนบธรรมเนียม ประเพณี ความเชื่อที่ชาวหนองขาวปฏิบัติสืบทอดกันมา

จ. กาญจนบุรี

พิพิธภัณฑ์พื้นบ้านวัดหวายเหนียว

พิพิธภัณฑ์พื้นบ้านวัดหวายเหนียว ก่อตั้งขึ้นโดยชาวบ้านในชุมชน ที่ต้องการจะรักษาวัฒนธรรมของชาวชุมชน และอนุรักษ์รักษาข้าวของเครื่องใช้ในอดีต มีการนำแสดงเรื่องราววิถีชีวิตความเป็นอยู่ของชุมชน ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ผ่านเครื่องมือเครื่องใช้ในการประกอบอาชีพ โดยเฉพาะอาชีพดั้งเดิมของชาวชุมชน คือ อาชีพตัดไม้ ประกอบกับพื้นที่เดิมเป็นป่าหวายจำนวนมาก และคุณภาพดี ใช้สำหรับเป็นหวายมัดท่อนซุง จึงเป็นที่มาของชื่อชุมชนว่า “หวายเหนียว” นอกจากนั้น ทางพิพิธภัณฑ์ยังจัดแสดงรูปปั้นจำลองที่บอกถึงวิวัฒนการของสังคมในช่วงเวลาต่างๆ เช่น รูปปั้นเกวียน รูปปั้นไดโนเสาร์ บ้านปูนจำลอง เป็นต้น

จ. กาญจนบุรี

อุทยานประวัติศาสตร์ปราสาทเมืองสิงห์

ปราสาทเมืองสิงห์ นี้ถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นพุทธศาสนสถานในพุทธศาสนา นิกายมหายาน มีสถาปัตยกรรม และปฏิมากรรม คล้ายคลึงกับของสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 จากการขุดแต่งพบศิลปกรรมที่สำคัญ คือ พระพุทธรูปนาคปรก พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร และ นางปรัชญาปารมิตา และยังพบรูปพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรเปล่งรัศมีอีกองค์หนึ่ง ซึ่งมีรูปลักษณ์คล้ายกับที่พบในประเทศกัมพูชา โบราณสถานหมายเลข 1 และโบราณสถานหมายเลข 2 ภายในอุทยานประวัติศาสตร์เมืองสิงห์ เป็นอาคารที่สันนิษฐานว่า เป็นศาสนสถานที่สำคัญ มีองค์ปรางค์ประธานตั้งอยู่กลางอาคาร และเป็นที่ตั้งของรูปเคารพ สร้างด้วยศิลาแลง ส่วนโบราณสถานหมายเลข 3 อยู่นอกกำแพงแก้ว สันนิษฐานว่า เป็นเจดีย์ 2 องค์ และโบราณสถานหมายเลข 4 ยังอยู่ระหว่างบูรณะ ขณะที่หลุมขุดค้นทางโบราณคดี ตั้งอยู่ริมแม่น้ำ ขุดค้นพบทั้งโครงกระดูก เครื่องมือเครื่องใช้ ภาชนะสำริด ดินเผา เครื่องมือเหล็ก สร้อยคอทำด้วยลูกปัดหิน และลูกปัดแก้ว ชี้ชัดว่า ชุมชนเหล่านี้เกิดก่อนที่จะสร้างเมืองสิงห์ เพราะพบศพของคนที่ตายมา 2,000 ปีแล้ว สันนิษฐานว่า คงจะยุคเดียวกับคนในชุมชนบ้านเก่า

จ. กาญจนบุรี

พิพิธภัณฑ์ Weary Dunlop

ในขณะที่ทหารญี่ปุ่นบีบบังคับให้เชลยสงครามเจาะภูเขาหินในเขตอำเภอไทรโยค ให้กลายเป็นช่องเขา เพื่อให้รถไฟผ่านไปได้ จนกระทั่งถูกขานนามว่า “ช่องเขาขาด” การทำงานแบบทั้งวัน ทั้งคืน สร้างความเหน็ดเหนื่อยและทุกข์ทนแก่เชลยศึกสัมพันธมิตร ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวออสเตรเลีย แต่ในค่ายก็ยังมีบุคคลที่เพียรพยายามยื้อชีวิตทหาร และกุลีที่ป่วยไข้ ด้วยการทุ่มเททำงานหนักในฐานะหมอทหาร คือ เวียรี่ ดันล็อป (Weary Dunlop) แน่นอนว่า เขาได้รับความช่วยเหลือจากเพื่อนร่วมโลกที่มีมนุษยธรรมที่ดีอย่างคุณบุญผ่อง สิริเวชชะพันธ์ ผู้ที่ลักลอบขนส่งยาเข้ามาในค่าย ภายหลังสงครามโลกครั้งที่สองยุติ ทั้งคู่ได้รับการยกย่องจากอังกฤษ คุฯหมอเวียรี่ ได้เป็น ท่านเซอร์ เอ็ดเวิร์ด เวียรี่ ดันล็อป ในขณะที่คุณบุญผ่อง ได้รับการยกย่องเป็น "วีรชนของเหล่าทหารที่ตกเป็นทาสของญี่ปุ่น" และได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์จากอังกฤษและเนเธอร์แลนด์ อีกทั้งยังได้รับการประดับยศเป็น "พันโทบุญผ่อง สิริเวชชะพันธ์"

จ. กาญจนบุรี

หอดูดาวเกิดแก้ว

หอดูดาวเกิดแก้ว เป็นหอดูดาวของเอกชน จัดตั้งขึ้นเมื่อกลางปี พ.ศ. 2538 ได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากพลอากาศโทสำเริง - นางกัลยา เกิดแก้ว และเปิดให้บริการอย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2539 เป็นสถานที่ให้ความรู้เกี่ยวกับดวงดาวและธรรมชาติ เหมาะสำหรับผู้รักธรรมชาติและสนใจในด้านดาราศาสตร์ ภายในบริเวณจัดพื้นที่ส่วนหนึ่งไว้สำหรับการดูดาว มีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่ความรู้ด้านโลกและอวกาศ ปลูกฝังความรักธรรมชาติแก่เยาวชน บนความเชื่อว่า "ความงดงามแห่งห้วงจักรวาล สามารถปลุกจิตสำนึกของมนุษย์ ให้เป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ เพื่อที่พวกเขาจะอยู่ร่วมกันโดยสันติ และปฏิบัติต่อสรรพสิ่งอย่างสร้างสรรค์" ระหว่างปี พ.ศ.2536 - 2554 หอดูดาวเกิดแก้วได้รับทุนสนับสนุนจาก สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) จัดตั้ง "ศูนย์การเรียนรู้วิทยาศาสตร์โลกและดาราศาสตร์ (LESA)" เพื่อเป็นศูนย์ฝึกอบรมครูและนักเรียนทำงานวิจัยและเผยแพร่ความรู้ในเว็บไซต์ lesa.biz อย่างไรก็ตาม ทุนดังกล่าวสิ้นสุดลงเมื่อวันที่ 31 สิงหาคม 2554 ปัจจุบันหอดูดาวเกิดแก้วได้ยุติกิจการแล้ว ทว่า LESA ยังคงดำเนินกิจกรรมด้านอวกาศต่อไป

จ. กาญจนบุรี

พิพิธภัณฑสถานแห่งความทรงจำ ช่องเขาขาด

พิพิธภัณฑสถานแห่งความทรงจำ ช่องเขาขาด ก่อสร้างขึ้นเพื่อเป็นสถานที่ระลึกถึงเชลยศึก และคนงานที่เสียชีวิตอันเนื่องมาจากการก่อสร้างทางรถไฟสายนี้ ทำพิธีเปิดเมื่อวันที่ 24 เมษายน 2539 โดยนายจอห์น โฮวาร์ด (John Howard) นายกรัฐมนตรีออสเตรเลีย พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ได้รับเงินทุนสนับสนุนการก่อสร้างและดำเนินงานจาก สำนักงานสุสานทหารแห่งกระทรวงการทหารผ่านศึกออสเตรเลีย โดยได้รับความร่วมมือจากหน่วยบัญชาการทหารพัฒนา กองทัพไทย เหตุที่บริเวณช่องเขาขาดถูกเลือกให้เป็นสถานที่ตั้งพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ เริ่มจากการสำรวจทางรถไฟสมัยสงครามโลกที่ถูกทิ้งร้างโดยวิศวกรชาวออสเตรเลียที่เข้ามาร่วมก่อสร้างโครงการเขื่อนเขาแหลม แล้วพบว่า บริเวณช่องเขาขาดเป็นสถานที่ที่น่าสนใจไม่น้อย ด้วยเป็นเส้นทางที่ตัดผ่านช่องเขาและเป็นช่วงก่อสร้างที่ถือว่ายากลำบากที่สุดของเส้นทางรถไฟไทย-พม่า ยิ่งไปกว่านั้น แรงงานกลุ่มแรก ๆ ที่ถูกเกณฑ์มาก่อสร้างทางรถไฟตรงบริเวณช่องเขาขาดนี้คือ เชลยศึกออสเตรเลียจำนวนกว่า 400 คน โดยเชลยศึกเหล่านี้ต้องทำงานวันละ 16-18 ชั่วโมง ในการเจาะเขาที่มีความยาวกว่า 110 เมตร สูงชัน 17 เมตร การเร่งก่อสร้างทางรถไฟสายนี้ ทำให้ต้องทำงานกันทั้งกลางวันกลางคืน ช่องเขาขาดจึงมีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า "ช่องไฟนรก" (Hellfire Pass) ระคนไปด้วยเสียงอึกทึกจากค้อนที่ตอกลงบนหินผา และแสงจากกองไฟ คบไฟไม้ไผ่ และตะเกียง ซึ่งดูเรืองรองประหนึ่ง "เปลวไฟที่ผุดขึ้นมาจากนรก"

จ. กาญจนบุรี

พิพิธภัณฑ์พระพุทธวิถีนายก

พิพิธภัณฑ์พระพุทธวิถีนายกก่อตั้งเมื่อ พ.ศ. 2526 เพื่อระลึกถึงหลวงปู่บุญ หรือ ท่านเจ้าคุณพระพุทธวิถีนายก โดยมีการจัดแสดงสิ่งของทั้งหมด 3 ชั้น โดยชั้นล่างจัดแสดงประวัติและข้าวของเครื่องใช้ของหลวงปู่บุญ และหลวงปู่เพิ่ม พระเครื่อง เครื่องรางของขลัง วัตถุมงคล และ พระบูชาของหลวงปู่ซึ่งมีอายุเกือบร้อยปีแล้ว อีกส่วนหนึ่งเป็นเรื่องของตัวยาไทย สมุนไพรและยารักษาโรค และเครื่องมือช่างสารพัดรูปแบบ นอกจากนี้ยังรูปปั้นของหลวงปู่บุญ และ รูปถ่ายของหลวงปู่ที่ถูกนำมาติดเรียงรายไว้ตามฝาผนังให้ได้ชมกันอีกด้วย

จ. นครปฐม

พิพิธภัณฑ์บ้านดอนตาเพชร

แหล่งโบราณคดีบ้านดอนตาเพชร ถือเป็นแหล่งโบราณคดีสมัยก่อนประวัติศาสตร์ ยุคเหล็ก ที่สำคัญแห่งหนึ่งของประเทศไทย มีการพบหลักฐานทางโบราณคดีและมีการดำเนินงานเกี่ยวกับแหล่งโบราณคดีแห่งนี้ตั้งแต่ปี 2518 ทางกรมศิลปากรได้เข้ามาขุดค้นแหล่งโบราณคดีบ้านดอนตาเพชรจำนวน 4 ครั้งคือ ในปี พ.ศ. 2518-2519, พ.ศ. 2523-2524, พ.ศ. 2527-2528 และ พ.ศ. 2543 นักโบราณคดีชาวอังกฤษที่เข้ามาร่วมขุดค้นได้กำหนดอายุไว้ว่าอยู่ในช่วงประมาณ 2,400 หรือ 2,300 ปีที่ผ่านมา พิพิธภัณฑ์เป็นอาคารชั้นเดียวเล็ก ๆ ที่สร้างคร่อมหลุมขุดค้นเดิมที่อยู่ตรงกลางของอาคาร ผู้ชมสามารถเดินชมได้โดยรอบทั้งสี่ด้าน สำหรับโบราณวัตถุชิ้นสำคัญที่ขุดพบ อาทิ เครื่องประดับรูปสิงโตหินคาร์เนเลียน ลูกปัดหินคาร์เนเลี่ยนฝังสี ทัพพีสำริดรูปนกยูง เครื่องประดับรูปสัตว์สองหัว (ต่างหูแบบ ลิง-ลิง-โอ) มีเพียงภาพถ่ายจัดแสดงไว้เท่านั้น ของจริงนั้นถูกเก็บรักษาไว้ที่กรุงเทพฯ โบราณวัตถุจริงที่นำมาจัดแสดงจึงเป็นของจำพวก ใบหอกเหล็ก ชิ้นส่วนเครื่องมือเหล็ก ขวานเหล็กมีบ้อง ขันสำริด กำไลข้อมือ ข้อเท้าสำริด แวดินเผา หินดุ เศษภาชนะดินเผาลายเชือกทาบ นิทรรศการทั้งหมดมีป้ายคำบรรยายทั้งภาษาไทยและอังกฤษ

จ. กาญจนบุรี

หอศิลป์เอมเจริญ

หอศิลป์เอมเจริญ เป็นเจตนารมณ์สูงสุดในชีวิตของอาจารย์ “ประเทือง เอมเจริญ” ศิลปินแห่งชาติ สาขาทัศนศิลป์ (จิตรกรรม) ศิลปินผู้ยิ่งยง ผู้เชื่อในคุณงามความดีและเข้าใจปรัชญาชีวิต ผ่านผลงานที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ด้วยปลายพู่กันที่พลิ้วไหว เฉียบคม สีสันเข้มสด ที่มีความหมายและทรงพลัง สะท้อนถึงจักรวาล ธรรมชาติ และชีวิต หอศิลป์สร้างขึ้น เพื่อให้ศิลปะดำรงอยู่สืบไป ท่านจึงต้องการสร้างสถานที่เพื่อเป็นแหล่งเรียนรู้และเผยแพร่ผลงานศิลปะ ทั้งของตนเองและของศิลปินต่างๆ ผลงานทุกชิ้นที่จัดแสดงอยู่ภายในหอศิลป์แห่งนี้ล้วนมีคุณค่า และสามารถเป็นแรงบันดาลใจให้กับศิลปินรุ่นใหม่ เป็นต้นทุนทางวัฒนธรรมอันล้ำค่า เพื่อส่งต่อให้คนรุ่นหลังได้สืบทอดงานศิลปะ อีกทั้งเป็นสถานที่ปลูกฝังรสนิยมทางศิลปะให้กับเด็กและเยาวชน รวมถึงประชาชนผู้สนใจได้เข้าชมและศึกษางานด้านศิลปะ

จ. กาญจนบุรี

พิพิธภัณฑ์หินขรุขระ วัดลาดขาม

ในช่วงเวลาที่ท่านพระครูปลัดเพลิน เตชธมฺโม มาปรับปรุงพื้นที่บริเวณนี้ เพื่อสร้างวัดก็ได้พบกับหินรูปร่างแปลกๆ บ้างก็พบพวกอาวุธโบราณ ทั้งที่เป็นหิน และโลหะ หลายประเภท ท่านจึงได้เก็บรวบรวมสะสมมาเรื่อยๆ พร้อมกับการค่อยๆปฎิสังขรณ์ วัดร้างแห่งนี้ให้กลับฟื้นคืนชีวิตขึ้นมาใหม่ เมื่อเริ่มสะสมของได้มากเข้า และสร้างศาลาหลังหนึ่งเสร็จจึงได้จัดหาตู้จัดแสดงหินรูปร่างประหลาด และอาวุธโบราณ กลองกบ โดยหลวงพ่อท่านได้ส่งวัตถุโบราณหลายชิ้นไปให้กรมศิลปากรตรวจสอบ และมีการขึ้นทะเบียนเอาไว้ด้วยว่า เป็นของเก่าจริง ภายในห้องจัดแสดงซึ่งก็คือ ศาลาวัด จัดแสดงหินขรุขระไว้ในตู้กระจก ตู้ที่สองจัดแสดง กำไลโลหะ ต่างหูและ กระดิ่งโลหะสันนิษฐานว่าจากสมัยทวารวดี ตู้ที่สามจัดแสดงเงินตราประเภทต่างๆ ทั้งเงินทอก เงินแถบ เงินพดด้วง และเหรียญสตางค์รู ตู้ที่สี่จัดแสดงพระพิมพ์สมัยก่อนที่เป็นแผ่นดินเผาขนาดใหญ่ หลายแบบด้วยกัน

จ. กาญจนบุรี

พิพิธภัณฑ์สถานีตำรวจภูธรอำเภอพนมทวน

อำเภอพนมทวน เดิมมีชื่ออำเภอว่า อำเภอเหนือ ต่อมา ในรัชกาลที่ 3 (พ.ศ.2374) ทรงแบ่งเขตจังหวัดกาญจนบุรี และที่ตั้งจังหวัดใหม่ จึงได้เปลี่ยนชื่อ อำเภอเหนือ เป็นอำเภอบ้านทวน เพื่อให้เหมาะสมกับสภาพพื้นที่ที่มีภูเขา ซึ่งคำว่า พนม แปลว่า ภูเขา ส่วนทวน นั้น มาจากแม่น้ำไหลทวนไปทางทิศเหนือ ต่อมาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ได้ทรงปรับปรุงการปกครองหัวเมืองใหม่ อำเภอบ้านทวน จึงเปลี่ยนชื่อเป็น อำเภอพนมทวน มาตั้งแต่พ.ศ. 2433 ส่วนอาคารพิพิธภัณฑ์ เดิมเป็นโรงพักหลังเก่าของสถานีตำรวจภูธรอำเภอพนมทวน เป็นอาคารไม้ชั้นเดียว ยกพื้นสูงประมาณ 2 เมตร หลังคามุงด้วยสังกระสี เมื่อมีการสร้างโรงพักหลังใหม่ โรงพักหลังเดิมจึงถูกทิ้งร้าง ต่อมาได้รับงบประมาณจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ มาจำนวน 300,000 บาท โดยการนำของ พ.ต.อ.ณรงค์ ทรัพย์เย็น ผกก.สภ.พนมทวน จ.กาญจนบุรี ในขณะนั้นที่อยากจะเก็บรักษาโรงพักเก่าไว้ และจัดทำเป็นพิพิธภัณฑ์

จ. กาญจนบุรี

ศูนย์วัฒนธรรม อบต.ไล่โว่ เฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา ของชาวไทยเชื้อสายกะเหรี่ยง

ศูนย์วัฒนธรรม อบต.ไล่โว่ เฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา ของคนไทยเชื้อสายกะเหรี่ยง เป็นศูนย์ที่รวบรวมและนำเสนอข้อมูลวิถีชีวิต ความเชื่อ การดำรงชีวิตอยู่คู่ธรรมชาติในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร รวมทั้งการอนุรักษ์สืบสานวัฒนธรรมประเพณีของชาวไทยเชื้อสายกะเหรี่ยงในตำบลไล่โว่ อำเภอสังขละบุรี ผ่านนิทรรศการ 7 เรื่อง คือ (1) ในความจริงแห่งประวัติศาสตร์ชาติพันธุ์ (2) ตำนานแห่งการอพยพอันยาวไกล (3) สัมพันธภาพแห่งผืนไพร สายนที และชีวิต (4) ความเชื่อ ความสมดุลย์ สู่...ความรักษ์ (5) สัมพันธภาพแห่งวัฒนธรรมข้าว...แม่โพสพแห่งชีวิต (6) อัตลักษณ์ในความงาม ของความเป็นชนเผ่า และ (7) กว่าจะมาเป็น “สังขละบุรี”

จ. กาญจนบุรี