รายชื่อพิพิธภัณฑ์

This is Us - Empower's Museum

เอ็มพาวเวอร์ (Empower) เป็นองค์การพัฒนาเอกชนที่ทำงานเพื่อส่งเสริมโอกาสด้านต่างๆ ให้กับผู้หญิงที่ทำงานในสถานบริการในประเทศไทย การทำงานของมูลนิธิเอ็มพาวเวอร์ตลอดหลายสิบปี กลายเป็นที่สนใจของกลุ่มคนและองค์กรทั้งในและนอกประเทศ เป็นที่อบรม/ฝึกงาน/ดูงาน ด้วยเหตุนี้เองจึงนำไปสู่การก่อตั้ง “นี่คือเรา” พิพิธภัณฑ์เอ็มพาวเวอร์ขึ้น นำโดยคุณจันทวิภา อภิสุข หนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้งมูลนิธิ เปิดอย่างเป็นทางการในเดือนสิงหาคม ปี 2559 ในอาคารพาณิชย์ที่เป็นที่ทำการมูลนิธิในนนทบุรี พื้นที่จัดแสดงอยู่บนชั้น 3 ของมูลนิธิ แบ่งการจัดแสดงออกเป็น 2 เรื่องใหญ่ คือ ประวัติศาสตร์การค้าประเวณีในประเทศไทย รูปแบบต่างๆ ของสถานบริการในไทย และโครงการต่างๆ ของมูลนิธิเอ็มพาวเวอร์ วางอยู่บนแนวคิดพื้นฐานที่มองว่าหญิงบริการหรือพนักงานบริการคือ “อาชีพ” หนึ่งที่ควรได้รับสิทธิและโอกาสทางสังคมที่เท่าเทียมเช่นเดียวกับอาชีพอื่นๆ อย่างไรก็ดีเมื่อสำนักงานของมูลนิธิได้ย้ายที่ทำการไปยังจังหวัดเชียงใหม่ พิพิธภัณฑ์จึงจำเป็นต้องปิดตัวลงในนนทบุรี และย้ายไปยังที่ทำการแห่งใหม่ในจังหวัดเชียงใหม่ แต่ยังคงนำเสนอยืนยันนำเสนอประวัติศาสตร์และความเป็นมาของอาชีพงานบริการ ที่เกี่ยวพันกับกฎหมาย การเมือง ศิลปะ วัฒนธรรม ความเชื่อในแต่ละยุคสมัย และการต่อสู้เพื่อเรียกร้องสิทธิของพนักงานบริการในไทย

จ. เชียงใหม่

พิพิธภัณฑ์ถุงยางอนามัย

พิพิธภัณฑ์ถุงยางอนามัย ตั้งอยู่ภายในกระทรวงสาธารณสุข นนทบุรี เพื่อต้องการให้ตระหนักถึงความสำคัญของถุงยางอนามัยที่ใช้เพื่อการคุมกำเนิดป้องกันการตั้งครรภ์ ป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ รวมถึงโรคเอดส์ที่คร่าชีวิตผู้ป่วยจำนวนมาก โดยผู้เข้าชมจะได้รู้จักได้สัมผัสกับถุงยางแบบต่างๆ จากหลากยี่ห้อ ที่ขายในประเทศ นำเข้า และส่งออกมากกว่า 20 ปี นับตั้งแต่ถุงยางอนามัยยุคแรกที่คนไทยรู้จักในนามถุงยางอนามัยมีชัยสายรุ้ง มีการจัดแสดงให้ชมถึงวิวัฒนาการ การพัฒนาคุณภาพ ตั้งแต่รูปลักษณ์ สีสัน การแต่งกลิ่น รูปแบบบรรจุภัณฑ์ นอกจากนี้ยังมีการสาธิตการทดสอบคุณภาพถุงยางอนามัย ด้วยเครื่องมือที่ใช้เทคโนโลยีที่แม่นยำ น่าเชื่อถือ รวมทั้งเป็นแหล่งรวมข้อมูลสถิติ ผลการทดสอบคุณภาพถุงยางอนามัย ให้คำแนะนำวิธีเลือกซื้อ การเลือกขนาดที่เหมาะสม วิธีใช้ที่ถูกท้อง รวมถึงการเลือกใช้สารหล่อลื่นเพิ่มเติม เพื่อให้มั่นใจว่าได้ซื้อถุงยางอนามัยที่ผ่านการทดสอบคุณภาพ หรือแม้แต่ถุงยางอนามัยที่หน่วยราชการแจกฟรี

จ. นนทบุรี

พิพิธภัณฑ์การแพทย์แผนไทย

พิพิธภัณฑ์การแพทย์แผนไทย ริเริ่มโดยพ.ญ.เพ็ญนภา ทรัพย์เจริญ รองอธิบดี กรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก ที่ต้องการกระตุ้นให้คนไทยหันมาสนใจงานแพทย์แผนไทยและภูมิใจในภูมิปัญญาไทย โดยมีหัวใจสำคัญคือการนำเสนอแก่นแท้ของภูมิปัญญา ปรัชญาการแพทย์พื้นบ้าน การแพทย์แผนไทยเพื่อให้คนเห็นเรียนรู้เข้าใจเรื่องราวตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน และทิศทางในอนาคต อาคารพิพิธภัณฑ์เป็นอาคารทรงไทย 9 หลัง ออกแบบโดยศาสตราจารย์ ดร.ภิญโญ สุวรรณคีรี ศิลปินแห่งชาติสาขาทัศนศิลป์ ประกอบด้วย ห้องที่ 1 หอพระไภษัชคุรุไวทูรย ประภา แสดงให้เห็นความสัมพันธ์ระหว่างพระพุทธศาสนากับการแพทย์แผนไทย ห้องที่ 2 หอบรมครูการแพทย์แผนไทย เพื่อแสดงให้เห็นถึงพิธีไหว้ครู ห้องที่ 3 ห้องวิวัฒนาการการแพทย์แผนไทย ห้องที่ 4 ห้องภูมิปัญญาไทย ด้านแพทย์พื้นบ้าน 4 ภาค ห้องที่ 5 ห้องการนวดไทย แสดงประวัติความเป็นมาของการนวด ห้องที่ 6 ห้องอาหารไทย แสดงวัฒนธรรมการกินตามฤดูกาลและตามธาตุของคนไทยทั้ง 4 ภาค ห้องที่ 7 ห้องยา แสดงถึงหลักประการในการปรุงยา เครื่องยาและยาไทยประเภทต่างๆ ภายนอกอาคารมี "ถ้ำฤๅษีเขามอหรือถ้ำครูแผนไทย" ซึ่งจำลองมาจากวัดโพธิ์และปลูกสมุนไพรที่เป็นยาไว้บนเขาอีกด้วย โดยรอบอาคารแวดล้อมด้วยสวนสมุนไพร บางต้นเป็น "ต้นไม้พูดได้" ที่ผู้สนใจสามารถกดปุ่มเพื่อรับฟังข้อมูลเกี่ยวกับสมุนไพรชนิดนั้น ๆ

จ. นนทบุรี

พิพิธภัณฑ์เรือนคำเที่ยง

"เรือนคำเที่ยง" เป็นเรือนเครื่องสับแบบล้านนาไทยดั้งเดิม ที่เรียกกันทั่วไปว่า "เรือนกาแล" ในอดีตเรือนหลังนี้ได้สร้างขึ้นบริเวณริมฝั่งแม่น้ำปิง จังหวัดเชียงใหม่ เมื่อ พ.ศ.2391 ผู้สร้าง คือ นางแซ้ด เป็นลูกหลานสืบเชื้อสายธิดาเจ้าเมืองแช่ ชาวไทลื้อจากแคว้นสิบสองปันนา มณฑลยูนนาน สมัยพระเจ้ากาวิละเป็นเจ้าเมืองเชียงใหม่จนกระทั่งปี พ.ศ.2506 เรือนหลังนี้ตกเป็นของนางกิมฮ้อ นิมมานเหมินทร์ ต่อมาท่านได้เห็นความสำคัญต่อคุณค่าสถาปัตยกรรมล้านนา  จึงได้มอบเรือนเก่าแก่ของตระกูลให้แก่สยามสมาคมในพระบรมราชูปถัมภ์ ชื่อ "เรือนคำเที่ยง" ตั้งขึ้นเป็นอนุสรณ์แด่แม่ของนางกิมฮ้อ คือ นางคำเที่ยง อนุสารสุนทร ซึ่งเป็นผู้หนึ่งที่เกิดบนเรือนหลังนี้ การรื้อถอนเรือนคำเที่ยงจากเชียงใหม่มาปลูกไว้บนพื้นที่สยามสมาคมฯ ได้รับเงินสนับสนุนจาก มูลนิธิเอเชีย และมูลนิธิจอห์น ดี รอคกี้เฟลเลอร์ ใช้เวลากว่า 2 ปี จึงสำเร็จ ในระหว่างนั้นมีการจัดหาสิ่งของมาจัดแสดงเพิ่มเติม อาทิ ข้าวของเครื่องใช้ในชีวิตประจำวัน เครื่องมือหาปลา อุปกรณ์ทำนา และงานไม้แกะสลัก

จ. กรุงเทพมหานคร

พิพิธภัณฑ์ระโนด

พิพิธภัณฑ์ระโนดจัดตั้งขึ้นเพื่อเป็นศูนย์เรียนรู้สะท้อนความเป็นมาของชุมชนลุ่มทะเลสาบสงขลา โดยใช้พื้นที่จากอาคารเรียนหลังเก่าของโรงเรียนระโนดวิทยาเพื่อสร้างพิพิธภัณฑ์ ระโนดเป็นอำเภอที่โดดเด่นในเรื่องเกษตรกรรมและเป็นย่านการค้าสำคัญแถบทะเสสาบสงขลา พิพิธภัณฑ์ประกอบด้วย สวนศิลปวัฒนธรรมและสวนบุรพาจารย์ อาคารศูนย์วัฒนธรรมที่เป็นอาคารเอนกประสงค์ สระว่ายน้ำ สนามเทนนิส หอศิลปวัฒนธรรมความสูง 8 ชั้น และ ลานเอนกประสงค์ พร้อมสาธารณูปโภคในพื้นที่ 14 ไร่ ภายในพิพิธภัณฑ์แบ่งการจัดแสดงเป็น 2 ส่วน คือ 1.ศูนย์ศิลปวัฒนธรรม จัดแสดงสิ่งของเครื่องใช้เก่าแก่ที่เกี่ยวข้องกับวิถีชีวิตดั้งเดิมของชาวระโนด ตั้งแต่สมัยอดีตจนถึงปัจจุบันซึ่งผูกพันกับเกษตรกรรม มีทั้งเครื่องมือประกอบอาชีพ เช่น แห ซุ่มจับปลา เครื่องสีข้าว คันไถ เลื่อย เสากระโดงเรือ มีด หม้อไห จำลองร้านค้า ร้านกาแฟโบราณ 2.สวนบุรพาจารย์ ที่จัดแสดงประวัติบุคคลสำคัญของอำเภอระโนด คือ อาจารย์สนั่น หิรัญวรชาติ อาจารย์นิต โสตถิพันธุ์ อาจารย์เกลื่อน ศิรินุพงศ์ และอาจารย์บำรุง สวัสดี บุคคลทั้ง 4 ท่าน เป็นผู้ผลักดันและส่งเสริมให้คนระโนดสนับสนุนการศึกษาของบุตรธิดา และจัดตั้งโรงเรียนมัธยมแห่งแรกในอำเภอระโนด ทำให้เด็กระโนดและอำเภอข้างเคียงมีโอกาสได้เรียนต่อ

จ. สงขลา

พิพิธภัณฑ์พื้นบ้านวัดบางหลวง และศูนย์พัฒนาผลิตภัณฑ์ไทย

พิพิธภัณฑ์พื้นบ้านวัดบางหลวง และศูนย์พัฒนาผลิตภัณฑ์ไทย ก่อตั้งโดยผศ.ทวีศักดิ์ อ่วมน้อย อาจารย์ประจำสาขาวิชาออกแบบผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม คณะศิลปกรรม มหาวิทยาลัยรังสิต โดยเป็นส่วนหนึ่งของโครงการพัฒนาการท่องเที่ยวจังหวัดปทุมธานีอย่างยั่งยืนของมหาวิทยาลัยรังสิต อาคารจัดแสดงอยู่ในวัดบางหลวง โดยการจัดแสดงในห้องพิพิธภัณฑ์ของวัดบางหลวง มีการจำลองห้องต่างๆของบ้านไทยและวิถีชีวิตพื้นบ้านได้แก่ ห้องรับแขก ห้องนอน ห้องครัว ห้องขนม ฯลฯ และวิถีชีวิตชาวบ้านในอดีต ได้แก่ การทำนา การดักสัตว์ การหุงหาอาหาร และจัดแสดงผลงานออกแบบผลิตภัณฑ์ที่รับแรงบันดาลใจจากข้าวของพื้นบ้านที่เกิดจากภูมิปัญญาท้องถิ่น ด้วยความมุ่งหวังว่า จะทำให้เกิดมุมมองใหม่สองด้านคือ 1. ด้านพิพิธภัณฑ์พื้นบ้าน จะทำให้ผู้เข้าชมมองภาพได้อย่างชัดเจนถึงวิถีชีวิต ซึ่งครอบคลุมเรื่องของการกิน การนอน การประกอบอาชีพ และการดักสัตว์ในอดีต 2. ศูนย์พัฒนาผลิตภัณฑ์ไทย จะทำให้ผู้เข้าชมมองเห็นว่าเครื่องใช้ไม้สอยในอดีตนั้นแฝงไปด้วยภูมิปัญญาในด้านต่างๆสามารถนำมาสร้างสรรค์ให้เกิดประโยชน์ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ เพื่อให้ใช้ได้เหมาะสมกับสภาพสังคมปัจจุบัน

จ. ปทุมธานี

พิพิธภัณฑ์เมืองพิษณุโลก

ก่อตั้งโดยสำนักศิลปะและวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม โดยใช้อาคารคอมพิวเตอร์หลังเก่าของมหาวิทยาลัยเป็นที่ทำการของสำนักศิลปะและวัฒนธรรม และปรับเป็นสำนักงานและมีพิพิธภัณฑ์ภายในอาคาร 2 ชั้น ชั้นล่างเป็นนิทรรศการประกอบด้วยการนำเสนอเรื่องราวเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ พัฒนาการของเมืองพิษณุโลก และเอกลักษณ์ของจังหวัด จัดแสดงด้วยสื่อและเทคโนโลยีที่ทันสมัย เพื่อให้ความรู้กับนักเรียนนักศึกษา ประชาชนผู้สนใจทั่วไป ในชั้นล่างของอาคารจัดเนื้อหาได้ 3ส่วนหลัก ได้แก่ โถงทางเข้ามีนิทรรศการอธิบายที่ตั้งของเมืองพิษณุโลก จากนั้นเป็นการนำเสนอประวัติศาสตร์ โดยอิงกับประวัติศาสตร์ตามยุคสมัยของผู้ปกครอง และในส่วนสุดท้ายกล่าวถึงเอกลักษณ์ของเมืองพิษณุโลก ชั้นสองของอาคารจัดทำเป็นศูนย์วัฒนธรรมและการท่องเที่ยว กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนล่าง 1 มาจากความร่วมมือกับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยในส่วนภูมิภาคที่ให้การสนับสนุน เพื่อการให้ข้อมูลสถานที่สำคัญในกลุ่มภาคเหนือตอนล่าง ประกอบด้วยสุโขทัย เพชรบูรณ์ อุตรดิตถ์ พิษณุโลก ตาก

จ. พิษณุโลก