รอยอดีตจากแดนต้นแบบอาณานิคม: การเปลี่ยนแปลงของพิพิธภัณฑ์แห่งชาติไต้หวัน
04 มีนาคม 2568
หากกล่าวถึงไต้หวัน (Taiwan) หรือหลายคนรู้จักกันในนามเกาะฟอร์โมซา (Formosa) ตั้งอยู่ทางเอเชียตะวันออก เป็นเกาะที่อุดมไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติ อาหาร วัฒนธรรม และการคมนาคมที่มีความสะดวกสบาย จึงทำให้เกาะแห่งนี้กลายเป็นหมุดหมายสำคัญของนักท่องเที่ยว เมื่อเดินทางเข้าสู่ไทเป (Taipei) เมืองหลวงแห่งไต้หวัน บริเวณที่ตั้งใจกลางเมืองจะพบกับอาคารรูปทรงแบบยุโรปสีขาว อันเป็นที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์แห่งชาติไต้หวัน (National Taiwan Museum) โดยอาคารแห่งนี้มีความแตกต่างจากอาคารสมัยใหม่บริเวณโดยรอบ เหตุใดอาคารดังกล่าวจึงได้รับการออกแบบเช่นนั้นสถาปัตยกรรมตะวันตก สัญลักษณ์ความทันสมัยของดินแดนต้นแบบอาณานิคม
ย้อนไปเมื่อ ค.ศ. 1908 พิพิธภัณฑ์แห่งชาติไต้หวันได้ถือกำเนิดขึ้น ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ไต้หวันอยู่ภายใต้การปกครองของญี่ปุ่นระหว่าง ค.ศ. 1895-1945 (National Taiwan Museum, 2025) เพราะผลจากสนธิสัญญาชิโมโนเซกิเมื่อ ค.ศ. 1895 โดยราชวงศ์ชิงได้ยกไต้หวันให้กับญี่ปุ่นเข้ามาปกครอง (Ministry of Foreign Affairs, Republic of China (Taiwan), 2025) ทำให้ไต้หวันได้รับการพัฒนาในด้านต่างๆ เช่น การวางระบบการปกครองส่วนภูมิภาคและท้องถิ่นใหม่ การพัฒนาด้านเศรษฐกิจ อุตสาหกรรมและโครงสร้างสาธารณูปโภค รวมถึงด้านวัฒนธรรม สาเหตุที่ญี่ปุ่นต้องปฏิรูประบบและโครงสร้างครั้งใหญ่เช่นนี้ เพื่อให้ไต้หวันได้กลายเป็นต้นแบบของอาณานิคมของญี่ปุ่น และนำต้นแบบดังกล่าวไปใช้ในดินแดนอาณานิคมแห่งอื่นต่อไปอย่างไรก็ตาม รัฐบาลญี่ปุ่นต้องการเฉลิมฉลองความสำเร็จจากการสร้างเส้นทางรถไฟสายเหนือ-ใต้ โดยมีบุคคลสำคัญที่มีบทบาทในการสร้างอาณานิคมของญี่ปุ่น นั่นคือ ผู้ว่าการ โคดามะ เก็นทาโร่ (Kodama Gentaro) และหัวหน้าฝ่ายกิจการพลเรือน โกโตะ ชินเปอิ (Goto Shinpei) ดำเนินการจัดตั้ง “พิพิธภัณฑ์จวนผู้ว่าการแห่งไต้หวัน” (Taiwan Governor’s Mansion Museum) อันเป็นชื่อแรกของพิพิธภัณฑ์ (National Taiwan Museum, 2025)
ภาพที่
1 พิพิธภัณฑ์แห่งชาติไต้หวันในอดีต (ที่มา:
https://www.ntm.gov.tw/en/cp.aspx?n=5704)
พิพิธภัณฑ์แห่งนี้สร้างขึ้นในสไตล์คลาสสิก (Classical Style) ได้รับการออกแบบโดย อิจิโร โนมูระ (Ichiro Nomura) และเออิจิ อารากิ (Eiichi Araki) สถาปนิกชาวญี่ปุ่น ก่อสร้างโดยบริษัท ทาคาอิชิ กุมิ ตัวโครงสร้างเป็นคอนกรีตเสริมเหล็ก (RC) พร้อมผนังอิฐรับน้ำหนัก เป็นการนำเทคโนโลยีขั้นสูงในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 มาใช้ในไต้หวัน ในส่วนของหลังคาทำด้วยไม้ไซเปรสและมุงด้วยกระเบื้องทองแดง เป็นอาคารที่มีความสูงทั้งหมด 3 ชั้น (หากมองจากด้านนอกจะเห็นเป็นอาคารที่มีความสูงเพียง 2 ชั้น) ส่วนหน้าอาคารเป็นแบบวิหารกรีก (Greek Temple Facade) และเพดานโค้งคล้ายวิหารแพนธีออน (Pantheon) ผนังประกอบด้วยเสาและหน้าต่างสไตล์เรอเนสซองส์ (Renaissance Style) หลังคาเป็นโดมและหน้าจั่วตกแต่งด้วยลวดลายดอกไม้และใบไม้ เมื่อรวมกับเสาเฮกซาสไตล์ดอริกคลาสสิก (Classical Doric hexastyle) ที่มีขนาดใหญ่รองรับระเบียงทางเข้า โดยมีโดมด้านบนทำให้อาคารแห่งนี้มีความสะดุดตามากขึ้น ด้านในอาคารเป็นห้องโถงสไตล์เรอเนสซองส์ (Renaissance Style) เป็นการออกแบบคล้ายกับโบสถ์แบบโกธิก โดยแสงและเงาที่สาดผ่านกระจกสีระหว่างห้องใต้ดินช่วยสร้างบรรยากาศอันศักดิ์สิทธิ์ (National Taiwan Museum, 2025)
ภาพที่
2 บริเวณด้านในของพิพิธภัณฑ์
ส่วนสาเหตุในการสร้างอาคารที่มีรูปแบบสถาปัตยกรรมตะวันตก เป็นเพราะว่าญี่ปุ่นต้องการแสดงอำนาจครอบงำแบบตะวันตก (Western Hegemony) ด้วยการแสดงออกซึ่งอำนาจทางวัฒนธรรม (Cultural Authority) ในการนี้ ญี่ปุ่นได้นำสถาปัตยกรรมตะวันตกที่เปรียบเสมือนเป็นสัญลักษณ์ของเทคโนโลยีขั้นสูง (Advanced Technology), ความก้าวหน้า (Progress) และโดยเฉพาะอย่างยิ่งความทันสมัย (Modernity) เข้ามายังดินแดนอาณานิคมใหม่นี้ ผ่านการสร้างอาคารรัฐบาลและอาคารสาธารณะ (Kuo C., Jason, 2001, p.17) ด้วยแนวนโยบายดังกล่าว ทำให้พิพิธภัณฑ์จวนผู้ว่าการแห่งไต้หวันหลังนี้ ได้รับการออกแบบให้รูปลักษณ์ของอาคารเป็นแบบตะวันตกด้วยเช่นกัน การสะสมวัตถุกับการเป็นเจ้าอาณานิคมโลกตะวันออก
ใน ค.ศ. 1915 พิพิธภัณฑ์ผู้ว่าการแห่งไต้หวันมีวัตถุจำนวน 23,268 ชิ้น ประกอบด้วยวัตถุจัดแสดงจากศาสตร์แขนงต่างๆ คือ ธรณีวิทยา โหราศาสตร์ สัตววิทยา ประวัติศาสตร์ เกษตรกรรม ป่าไม้ ชีววิทยาทางทะเล เหมืองแร่วิทยา งานฝีมือ การค้าและวัฒนธรรมของชนพื้นเมืองในไต้หวัน พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ไม่ได้มีหน้าที่เพียงรวบรวมวัตถุและจัดแสดงวัตถุภายในประเทศเพียงอย่างเดียว ญี่ปุ่นได้พยายามรวบรวมวัตถุจากนอกไต้หวันเข้ามารวมไว้ในการจัดแสดง ได้แก่ วัตถุที่ได้มาจากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จีนตอนใต้ และพื้นที่อื่นๆ ซึ่งเป็นเป้าหมายในการล่าอาณานิคมของญี่ปุ่นสำหรับรูปแบบของการนำเสนอเรื่องราวนั้น พิพิธภัณฑ์นี้มุ่งเน้นให้ความรู้ทางมานุษยวิทยาของชนพื้นเมืองและวัฒนธรรมของไต้หวัน ทั้งนี้ ลักษณะของการสะสมวัตถุทางวัฒนธรรมไม่ได้แตกต่างไปจากวิธีการที่พิพิธภัณฑ์ในยุโรปและพิพิธภัณฑ์ในสหรัฐอเมริกาดำเนินการอยู่ในช่วงเวลานั้น ดังนั้น การที่ญี่ปุ่นพัฒนาพิพิธภัณฑ์นี้ให้มีความยิ่งใหญ่ในลักษณะดังกล่าว จึงเป็นภาพสะท้อนให้เห็นกระบวนการสร้างและแสดงอำนาจเพื่อให้ความแข็งแกร่งของรัฐบาลจักรวรรดิญี่ปุ่นเป็นที่ประจักษ์ในหมู่ประเทศซีกโลกฝั่งตะวันออก (Chu, Chi-Jung, 2011, p.182)
นอกจากนี้
ญี่ปุ่นได้ก่อตั้งพิพิธภัณฑ์แห่งอื่นขึ้นมาอีกจำนวนหนึ่ง เพื่อพัฒนาให้เป็นพื้นที่ส่งเสริมวิชาการด้านอื่นๆ
เช่น การค้า อุตสาหกรรมท้องถิ่น และการเกษตร ในบางครั้ง พิพิธภัณฑ์เหล่านี้ ก็ทำหน้าที่จัดแสดงวัตถุจากดินแดนญี่ปุ่น
และจากอาณานิคมแห่งอื่นของญี่ปุ่น
ในส่วนพิพิธภัณฑ์ผู้ว่าการแห่งไต้หวันนั้นได้รับการพัฒนาทั้งด้านการวิจัยทางวิชาการ
และการศึกษา โดยใน ค.ศ. 1929 พิพิธภัณฑ์นี้เป็นที่ตั้งของสมาคมพิพิธภัณฑ์ไต้หวัน และดำเนินงานวิชาการด้านพิพิธภัณฑ์อย่างโดดเด่น
นั่นคือ การตีพิมพ์วารสาร การศึกษาวัตถุต่างๆ ที่จัดแสดงในพิพิธภัณฑ์ และการจัดประชุมวิชาการโดยสมาคมพิพิธภัณฑ์
การพัฒนาอย่างต่อเนื่องในลักษณะเช่นนี้ส่งผลให้เกิดการเปิดตัวงานสัปดาห์พิพิธภัณฑ์ใน
ค.ศ. 1934 (Chu, Chi-Jung, 2011, p.182-183) จะเห็นได้ว่า ญี่ปุ่นได้พยายามวางรากฐานอำนาจด้วยความเป็นจักรวรรดินิยม
ผ่านการพัฒนาและดำเนินงานวิชาการด้านพิพิธภัณฑ์
เพื่อเสริมสร้างอำนาจของความเป็นจักรวรรดิญี่ปุ่น
จากจักรวรรดินิยมญี่ปุ่น สู่ก๊กมินตั๋ง
ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงของพิพิธภัณฑ์เช่นเดียวกัน เมื่อญี่ปุ่นพ่ายแพ้ในสงครามโลกครั้งที่ 2 ไต้หวันจึงกลับเข้ามาสู่การปกครองของจีนอีกครั้ง ภายใต้รัฐบาลพรรคชาตินิยมจีนหรือพรรคก๊กมินตั๋ง (Kuomintang, KMT) ตามคำประกาศที่กรุงไคโร ค.ศ. 1943 และข้อตกลงพอทสดัม ค.ศ. 1945 ด้วยเหตุนี้ เมื่อสงครามสิ้นสุดลง ทหารจากพรรคชาตินิยมจีนจึงเข้าปลดอาวุธทหารญี่ปุ่นและเข้าประจำการที่กรุงไทเปแทนที่ จนกระทั่งเกิดเหตุพิพาทระหว่างพรรคคอมมิวนิสต์จีนกับกลุ่มจีนคณะชาติ ทำให้จีนคณะชาติที่สู้ไม่ได้ จึงต้องหนีเข้าทะเลมาตั้งหลักบนเกาะไต้หวัน โดย ค.ศ. 1950 เจียง ไคเชก
(Chiang Kai-shek) หัวหน้าพรรคก๊กมินตั๋ง (KMT) ได้ขึ้นดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีคนแรกของประเทศสาธารณรัฐจีน (Republic of China) (กองบรรณาธิการศิลปวัฒนธรรม, 2567)การเปลี่ยนแปลงการปกครองส่งผลให้พิพิธภัณฑ์ผู้ว่าการแห่งไต้หวันอยู่ในการดูแลของกรมศึกษาธิการจังหวัด และเปลี่ยนชื่อเป็น “พิพิธภัณฑ์จังหวัดไต้หวัน” (Taiwan Provincial Museum) และพิพิธภัณฑ์ได้ปิดปรับปรุงเพื่อบูรณะครั้งใหญ่เมื่อ ค.ศ. 1961 และ ค.ศ. 1994 ในช่วงระยะเวลานี้พิพิธภัณฑ์ยังคงเปิดให้บริการตามแหล่งเดิม แม้จะมีสงครามและการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลก็ตามอย่างไรก็ตาม การเมืองภายใต้การปกครองของพรรคก๊กมินตั๋ง (KMT) ที่มุ่งเน้นการเป็นตัวแทนของจีน จึงทำให้ ค.ศ. 1962 พรรคก๊กมินตั๋ง (KMT) ได้ทำข้อตกลงร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐอเมริกา (the US Department of the State) สนับสนุนในการสร้างพิพิธภัณฑ์แห่งชาติกู้กง (the National Palace Museum) (Chu, Chi-Jung, 2011, p.184) เพื่อจัดแสดงโบราณวัตถุของราชวงศ์จีนโบราณ (Taiwan Tourism Administration, Bangkok Office, 2025) ดังนั้นช่วงเวลาดังกล่าว จึงเกิดการเปลี่ยนแปลงไปสู่เนื้อหาที่เน้นการนำเสนอความเป็นชาตินิยมผ่านวัตถุที่จัดแสดงในพิพิธภัณฑ์แห่งชาติกู้กงจุดเปลี่ยนสำคัญของพิพิธภัณฑ์เกิดขึ้นในช่วงทศวรรษ 1980 เนื่องจากพรรคก๊กมินตั๋ง (KMT) ยกเลิกกฎอัยการศึกที่ประกาศใช้กว่า 38 ปี ทำให้ข้อบังคับทางการเมืองได้ถูกผ่อนคลาย และเศรษฐกิจของไต้หวันพัฒนาและเจริญเติบโต กระทั่ง ค.ศ. 1981 รัฐบาลไต้หวันจึงได้จัดตั้งคณะกรรมมาธิการกิจกรรมวัฒนธรรม (Council for Cultural Affairs-CCA) ในฐานะหน่วยงานหนึ่งของรัฐบาลกลาง ก่อให้เกิดการสร้างศูนย์วัฒนธรรมกระจายออกไปตามท้องถิ่น และนำเสนอสิ่งที่เป็นเอกลักษณ์ของแต่ละเมือง (Chang, Yui-tan, 2006, p.64-68) การเปลี่ยนแปลงในลักษณะระดับมหภาคดังกล่าว ตลอดจนการออกนโยบายต่างๆ ส่งผลมาสู่การเปลี่ยนแปลงจนถึงปัจจุบัน ทำให้พื้นที่ท้องถิ่นทั่วทั้งไต้หวันมีพิพิธภัณฑ์จัดแสดงวัตถุทางวัฒนธรรมของตัวเอง ที่เต็มไปด้วยเอกลักษณ์และความหลากหลายทางวัฒนธรรมพิพิธภัณฑ์แห่งชาติไต้หวันในยุคปัจจุบัน
ใน ค.ศ. 1999 พิพิธภัณฑ์จังหวัดไต้หวันอยู่ภายใต้การดูแลของรัฐบาลกลางและเปลี่ยนชื่อเป็นพิพิธภัณฑ์แห่งชาติไต้หวัน (National Taiwan Museum) พิพิธภัณฑ์แห่งนี้เป็นมรดกที่เหลือรอดจากยุคอาณานิคม ในปัจจุบันได้ทำการรวบรวมวัตถุและการวิจัยที่มุ่งเน้นด้านมานุษยวิทยา ธรณีศาสตร์ สัตววิทยา และพฤกษศาสตร์ ผ่านนิทรรศการตามธีม กิจกรรมการศึกษา สิ่งพิมพ์ และแผนความร่วมมือต่าง ๆ
ภาพที่ 3 ภายในพิพิธภัณฑ์มีการจัดแสดงหินและแร่ธาตุในไต้หวัน (ที่มา: ผู้เขียน)ภาพที่ 4 ข้าวของเครื่องใช้ของชนพื้นเมืองไต้หวัน (ที่มา: ผู้เขียน)
ภาพที่
5 ตราประทับของผู้ว่าราชการไต้หวันและประกาศการปกครองไต้หวันของญี่ปุ่น
(ที่มา:
ผู้เขียน)
ภาพที่
6 ตราประทับของผู้ว่าราชการไต้หวัน (ที่มา:
ผู้เขียน)
ภาพที่ 7 สิ่งของที่เกี่ยวข้องกับวัฒนธรรมและผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ
ร้อยเรียงเป็นตัวอักษร MIT ย่อมาจาก MADE IN TAIWAN
นอกจากนี้ พิพิธภัณฑ์แห่งชาติไต้หวันได้เป็นเจ้าภาพจัดนิทรรศการ BEHIND THE CHAMPION: เส้นทางสู่การเป็นแชมป์ของทีมเบสบอลไต้หวันจากการแข่งขัน Premier12 โดยภายในนิทรรศการจะได้ชมของสะสมหายากที่เกี่ยวข้องกับของทีมกว่า 50 ชิ้น เช่น ถ้วยแชมป์ เหรียญรางวัล ไม้เบสบอลของผู้เข้าแข่งขัน (民視英語新聞 Taiwan News Formosa TV, 2025) สะท้อนให้เห็นว่าพิพิธภัณฑ์แห่งชาติไต้หวันเป็นพื้นที่ในการสนับสนุนการจัดงานและจัดแสดงวัตถุที่แสดงถึงชัยชนะของเบสบอลทีมชาติภาพที่ 8 พิพิธภัณฑ์แห่งชาติไต้หวันในยุคปัจจุบัน ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2567 (ที่มา: ผู้เขียน)จะเห็นได้ว่า การเปลี่ยนแปลงของบริบทโลกส่งผลต่อการปรับตัวของพิพิธภัณฑ์แห่งชาติไต้หวัน (National Taiwan Museum) ที่แต่เดิมถูกสร้างขึ้นมาเพื่อรับใช้ความเป็นจักรวรรดิญี่ปุ่น แต่เมื่อการเมืองไต้หวันอยู่ภายใต้รัฐบาลก๊กมินตั๋งที่มุ่งเน้นการเป็นตัวแทนของจีนผ่านพิพิธภัณฑ์แห่งชาติกู้กง ก็ทำให้พิพิธภัณฑ์แห่งชาติไต้หวันถูกลดบทบาทลงไปด้วย ปัจจุบันการสร้างชาติของไต้หวันได้เน้นในเรื่องของความหลากหลายทางวัฒนธรรม ทำให้พิพิธภัณฑ์นำเสนอศิลปะและวัฒนธรรมที่เกิดขึ้นบนรอบเกาะไต้หวัน รวมถึงการสนับสนุนการเป็นพื้นที่ในจัดแสดงวัตถุและการจัดกิจกรรมที่สะท้อนความสำเร็จของชาวไต้หวันในระดับนานาชาติ------------------------------------------
ผู้เขียน
จรัสศรี
สมตน นักวิชาการคลังข้อมูล
ฝ่ายคลังข้อมูลวิชาการ
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)------------------------------------------อ้างอิง
กองบรรณาธิการศิลปวัฒนธรรม. (2567). “ไต้หวัน”
มาจากไหน?
จากเกาะแหล่งประมง-โจรสลัด สู่ดินแดนอุตสาหกรรม-ประชาธิปไตย. ใน ศิลปวัฒนธรรม.
เข้าถึงจาก https://www.silpa-mag.com/history/article_48092
Chu, Chi-Jung. (2011).
Political Change and The National Museum in Taiwan.In National
Museums (Chapter 11, p.180-192). New
York: Routledge.
Kuo C., Jason. (2001). Art and
Cultural Political in Postwar Taiwan. Tapie Taiwan: SMC Publishing Inc.
Yui-tan Chang. Cultural Policies and Museum
Development in Taiwan. In Museum International. No. 232 (Vol. 58,
No.4 2006): 64-68.
KuomintangOfficial Website. (2025). Party’s History. Retrieved from
https://www1.kmt.org.tw/english/page.aspx?type=para&mnum=108
National Taiwan Museum. (2025). History.Retrieved from
https://www.ntm.gov.tw/en/cp.aspx?n=5704
Ministry of Foreign Affairs, Republic of China
(Taiwan). (2025). History.Retrieved from https://www.taiwan.gov.tw/content_3.php
Taiwanpolicycentre. (2025). Taiwan Timeline.Retrieved from
https://taiwanpolicycentre.com/research/timeline/
Taiwan
Tourism Administration, Bangkok Office. (2025). พิพิธภัณฑ์แห่งชาติกู้กง
(National
Palace Museum).Retrieved
fromhttps://www.taiwantourism.org/th/where-to-go/%E0%B8%9E%E0%B8%9E%E0%B8%98%E0%B8%A0%E0%B8%93%E0%B8%91%E0%B9%81%E0%B8%AB%E0%B8%87%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B8%81%E0%B8%81/
民視英語新聞
Taiwan News Formosa TV. (2025). Exhibition
honoring Premier12 champions on display until March Taiwan News.Retrieved from https://www.youtube.com/watch?v=CFerwDHp0Lc