เศรษฐกิจไทยเผชิญกับความท้าทายเชิงโครงสร้างมาตั้งแต่ก่อนการอุบัติขึ้นของโรคระบาดโควิด-19 โดยมีอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่ไม่สูงนัก และตลาดแรงงานที่ไม่มีการจ้างงานเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ (เสาวณี จันทะพงษ์ และพาทินธิดา สัจจานิจการ, 2564) เมื่อเกิดวิกฤตโรคระบาดระหว่าง พ.ศ. 2563 – 2565 ก็ได้ซ้ำเติมปัญหาเหล่านี้ให้รุนแรงยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในภาคบริการและการท่องเที่ยว ซึ่งเป็นฟันเฟืองสำคัญของระบบเศรษฐกิจไทย คาดการณ์ว่าแรงงานที่เกี่ยวเนื่องกับธุรกิจเหล่านี้โดยตรงมีโดยรวมประมาณ 4.5-5 ล้านคน หรือมากกว่า 2 ล้านครอบครัว ต้องเผชิญปัญหาทันทีจากการไม่มีงานทำและขาดรายได้ (ยงยุทธ แฉล้มวงษ์, 2563)
มาตรการจำกัดการเดินทางและการล็อกดาวน์ทั้งในระดับประเทศและระหว่างประเทศ ผนวกกับความท้าทายเชิงโครงสร้างที่มีมาตั้งแต่ก่อนหน้า ได้นำไปสู่ปรากฏการณ์ “แรงงานคืนถิ่น” หรือ “การกลับคืนถิ่น” (Re-migration, Return migration) ที่คนจำนวนมากที่เคยทำงานหรืออาศัยอยู่ในเมืองใหญ่และต่างประเทศ ต้องหวนคืนสู่ถิ่นฐานบ้านเกิดของตัวเอง
ผลจากการศึกษา พบว่าช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 ประชากรกลุ่มที่ย้ายถิ่นออกจากเมืองใหญ่กลับสู่บ้านเกิดของตัวเอง กลุ่มใหญ่ที่สุดคือ “แรงงานเยาวชน” ที่มีอายุระหว่าง 15 – 24 ปี มีจำนวนประมาณ 320,000 คน หรือคิดเป็นร้อยละ 31 ของผู้ย้ายถิ่นทั้งหมด (เสาวณี จันทะพงษ์, และพาทินธิดา สัจจานิจการ, 2564) เนื่องจากส่วนใหญ่ทำงานอยู่ในสาขาได้รับผลกระทบจากวิกฤตโควิด-19 มากกว่ากลุ่มอายุอื่นๆ และเหตุการณ์นี้ก็เกิดขึ้นทั่วโลกเช่นกัน โดยจะเห็นได้จากรายงานของ International Labour Organization (ILO) (Susana Puerto, and Kee Kim, 2020) ชี้ว่า แรงงานเยาวชนส่วนใหญ่ทำงานในธุรกิจบริการทั้งโรงแรม ร้านอาหาร และค้าปลีก มีความเสี่ยงถูกเลิกจ้างหรือได้รับผลกระทบจากวิกฤตโควิด-19 ผนวกกับข้อมูลจากรายงานการสำรวจย้ายถิ่นของประชากร พ.ศ. 2567 ของสำนักงานสถิติแห่งชาติ (2568) ที่พบว่าผู้ย้ายถิ่นกว่าครึ่งเป็นกลุ่มผู้มีรายได้น้อย
จากข้อมูลเหล่านี้แสดงให้เห็นว่า ผู้ได้รับผลกระทบจากวิกฤตอย่างรุนแรงที่สุดคือกลุ่มประชากรที่เปราะบางที่สุด รวมถึงกลุ่มเยาวชนที่มีศักยภาพในการพัฒนา และยังสะท้อนให้เห็นอีกว่า คนกลุ่มนี้ไม่มีเงินออมหรือฟูกรองรับทั้งทางเศรษฐกิจและสังคมที่เพียงพอสำหรับการอยู่อาศัยต่างถิ่นในเมืองใหญ่ ปรากฏการณ์นี้เป็นเสมือนกระจกที่สะท้อนให้เห็นถึงความเปราะบางของเศรษฐกิจที่กระจุกตัวอยู่เพียงไม่กี่ภาคส่วนและไม่กี่พื้นที่ในประเทศ
อย่างไรก็ตาม วิกฤตดังกล่าวไม่ได้มอบแต่ปัญหาหรือความท้าทายแต่เพียงอย่างเดียว แต่ยังมอบ “โอกาส” ครั้งสำคัญด้วย นั่นคือการที่ชุมชนท้องถิ่นได้รับ “ทุนมนุษย์” ที่มีศักยภาพมีความรู้ ทักษะ และประสบการณ์ใหม่ ๆ จากนอกพื้นที่ กลับคืนสู่ท้องถิ่น ที่สามารถแปรเปลี่ยนเป็นพลังขับเคลื่อนสำคัญสำหรับการพัฒนาชุมชนต่อไปได้ หากมีการสร้างเงื่อนไขที่เหมาะสมให้คนเหล่านี้สามารถดำรงชีวิตและทำงานในท้องถิ่นได้ ก็จะนำไปสู่การพัฒนาชุมชนที่ยั่งยืนต่อไป (ชนินทร์ วะสีนนท์, 2551) ในทางกลับกัน หากชุมชนไม่สามารถรับมือหรือสร้างกลไกที่เหมาะสมในการรองรับคนกลุ่มนี้ ก็อาจก่อให้เกิดปัญหาใหม่ได้ เช่น การขาดแคลนงานในท้องถิ่น ปัญหาของช่องว่างระหว่างวัย หรือความไม่ลงรอยทางวัฒนธรรม
“พิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น” ในฐานะองค์กรทางวัฒนธรรมที่สำคัญของชุมชน สามารถทำหน้าที่เชื่อมโยงทุนมนุษย์ที่กลับคืนถิ่นกับทุนทางสังคมและวัฒนธรรมที่ดำรงอยู่ในชุมชน เพื่อสร้างกระบวนการเรียนรู้ร่วมกัน และร่วมกันวางรากฐานการพัฒนาที่มั่นคงและยั่งยืนได้ บทความนี้จึงมุ่งเสนอแนวทางการใช้พิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนพลังของการกลับคืนถิ่น ไปสู่การพัฒนาชุมชน
ปัจจัยของการกลับคืนถิ่น
การกลับคืนถิ่นมิได้เป็นเพียงการเคลื่อนย้ายถิ่นฐาน แต่ยังสะท้อนรากฐานของพลวัตใหม่ทางสังคม การทำความเข้าใจปรากฏการณ์นี้จึงจำเป็นต้องมองลึกไปกว่ามิติทางเศรษฐกิจ โดยพิจารณาปัจจัยหลากหลายที่เชื่อมโยงกัน
ปัจจัยทางเศรษฐกิจและสังคม (Socio-Economic Factors)
วิกฤตการณ์เศรษฐกิจในเมืองใหญ่ทำให้ค่าครองชีพสูงขึ้น การแข่งขันสูง และความไม่มั่นคงทางอาชีพมีมากขึ้น การกลับสู่บ้านเกิดจึงเป็นเหมือน “กลไกบรรเทาความเสี่ยง” เป็นทางเลือกที่ช่วยลดภาระทางการเงินและเพิ่มความมั่นคงในชีวิต ทั้งยังสามารถอาศัยทุนทางสังคม (social capital) เช่น เครือญาติ เพื่อนบ้าน และเครือข่ายชุมชน ที่พร้อมให้การสนับสนุนด้านที่อยู่อาศัย แรงงาน หรือทรัพยากรเบื้องต้น นอกจากนี้ยังเปิดโอกาสให้ผู้คนปรับเปลี่ยนรูปแบบการทำงาน เช่น การประกอบอาชีพอิสระ การทำเกษตร หรือการนำทักษะที่เคยสั่งสมจากการทำงานในเมืองมาพัฒนาธุรกิจชุมชน ทำให้เกิดความมั่นคงในชีวิตมากขึ้นและมีคุณภาพชีวิตที่สมดุลกว่า
ปัจจัยทางจิตวิทยาและวัฒนธรรม (Psychological and Cultural Factors)
นอกเหนือจากปัจจัยทางเศรษฐกิจแล้ว ยังมีแรงขับเคลื่อนจากภายในที่สำคัญไม่แพ้กัน เช่น ความปรารถนาที่จะกลับสู่ "รากเหง้า" และใช้ชีวิตที่สอดคล้องกับค่านิยมเรื่อง "ความสมดุลระหว่างชีวิตและการทำงาน" (Work-Life Balance) รวมถึงความต้องการที่จะอยู่ใกล้ชิดกับครอบครัวและชุมชนเพื่อดูแลพ่อแม่สูงอายุ (Caring for aging parents) ซึ่งเป็นค่านิยมหลักของสังคมไทย สิ่งเหล่านี้สะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงมุมมองต่อ “ความสำเร็จในชีวิต” จากที่เคยมองว่าการอยู่ในเมืองใหญ่คือความสำเร็จสูงสุด มาสู่การให้คุณค่ากับการมีชีวิตที่สงบสุขและมั่นคงในภูมิลำเนาเดิม
ปัจจัยเชิงนโยบาย (Policy Factors)
ปัจจัยเชิงนโยบายเป็นตัวแปรสำคัญที่เร่งให้การกลับคืนถิ่นกลายเป็นปรากฏการณ์ที่ชัดเจนยิ่งขึ้น หลายประเทศมีนโยบายภาครัฐที่มุ่งสนับสนุนการย้ายถิ่นฐานกลับสู่ชนบท เช่น การให้เงินอุดหนุนเพื่อเริ่มต้นอาชีพ การจัดหาที่อยู่อาศัยราคาถูก หรือการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านถนน อินเทอร์เน็ต และสาธารณูปโภค ล้วนทำให้ชนบทกลายเป็นพื้นที่ที่สามารถรองรับคนรุ่นใหม่และแรงงานที่ย้ายกลับมาได้อย่างมั่นคง ตัวอย่างเช่น ประเทศญี่ปุ่น ที่มีนโยบายส่งเสริมการอพยพกลับชนบท / ส่งเสริมให้คนเมืองไปอยู่ชนบท (U-migration / I-migration) หรือโครงการ Returning to Farming and Villages ของเกาหลีใต้ (Wenqi Li, et al., 2023) และโครงการ Balik Probinsya[1] ของฟิลิปปินส์ ที่กระตุ้นให้เกิดการอพยพกลับภูมิลำเนา ซึ่งนอกจากจะช่วยบรรเทาความหนาแน่นของเมืองใหญ่แล้ว ยังเป็นกลไกฟื้นฟูเศรษฐกิจฐานรากและสร้างความสมดุลระหว่างภูมิภาค
สำหรับประเทศไทย แม้จะยังไม่มีนโยบายระดับชาติที่ชัดเจนในการผลักดันการกลับคืนถิ่น แต่ก็มีโครงการที่สะท้อนแนวคิดนี้ในระดับพื้นที่ เช่น โครงการ “คนรุ่นใหม่คืนถิ่น” ของสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (พอช.) ที่สนับสนุนคนรุ่นใหม่กลับมาพัฒนาบ้านเกิด รวมถึงมาตรการเยียวยาแรงงานในช่วงโควิด-19 ที่เปิดโอกาสให้คนกลับไปตั้งหลักในภูมิลำเนา อย่างไรก็ตาม การดำเนินการในไทยยังเป็นเพียงโครงการเฉพาะ ไม่ได้เชื่อมโยงเป็นยุทธศาสตร์เชิงนโยบายแบบองค์รวมเหมือนบางประเทศ
การกลับคืนถิ่นจึงมิใช่เพียงการเคลื่อนย้ายทางกายภาพ แต่ยังเป็นการฟื้นฟู “สายใยทางสังคม” (Social Ties) และ “ทุนทางวัฒนธรรม” (Cultural Capital) ระหว่างบุคคลกับถิ่นฐานบ้านเกิด ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญในการพัฒนาที่ยั่งยืน
พิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นในฐานะ “พื้นที่แห่งความทรงจำ” และ “พื้นที่แห่งโอกาส”
พิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นในประเทศไทยส่วนใหญ่ริเริ่มขึ้นจากความร่วมมือหรือความพยายามของคนในชุมชนเอง โดยมีบทบาทหลักในการเก็บรักษาและนำเสนอเรื่องราวของท้องถิ่น อย่างไรก็ตาม เพื่อจะก้าวข้ามข้อจำกัดเดิม ๆ เช่น การขาดแคลนงบประมาณ บุคลากร การเข้าถึงเทคโนโลยี และกลไกการจัดการสมัยใหม่ พิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นจึงอาจจำเป็นต้องปรับบทบาทให้สอดรับกับบริบททางสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป เช่น
- การเป็นคลังความรู้และความทรงจำ (Repository of Knowledge and Memory) พิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นทำหน้าที่เป็นแหล่งรวบรวมและเก็บรักษาวัตถุ เอกสาร และเรื่องเล่าทางประวัติศาสตร์ ที่เป็นเสมือน “ความทรงจำร่วม” ของชุมชน
- การเป็นพื้นที่สร้างอัตลักษณ์ (Identity-Building Space) การนำเสนอเรื่องราวของบรรพบุรุษ ภูมิปัญญา และวัฒนธรรมท้องถิ่น ช่วยสร้างความภาคภูมิใจและความผูกพันในหมู่คนรุ่นใหม่
- การเป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ (Learning Center) พิพิธภัณฑ์เป็นพื้นที่ที่เปิดโอกาสให้คนทุกเพศทุกวัยได้มาแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์ ซึ่งช่วยลดช่องว่างระหว่างคนรุ่นเก่าและคนรุ่นใหม่
- การเป็นฐานสำหรับเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (Creative Economy Hub) พิพิธภัณฑ์สามารถเป็นจุดเริ่มต้นในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ท้องถิ่น การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม และกิจกรรมที่สร้างรายได้ให้แก่ชุมชน
โอกาสของการพัฒนาพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นจากปรากฏการณ์กลับคืนถิ่น
การกลับคืนถิ่นได้นำพา “ทุนมนุษย์ใหม่” เข้าสู่ท้องถิ่น ซึ่งเป็นทรัพยากรสำคัญของการพัฒนาพิพิธภัณฑ์ให้ทันสมัยและมีชีวิตชีวามากยิ่งขึ้น
1. การเพิ่มพูนทุนมนุษย์และทักษะดิจิทัล
ผู้ที่กลับคืนถิ่นจำนวนไม่น้อยมีประสบการณ์การทำงานในองค์กรสมัยใหม่ ทำให้พวกเขามีทักษะที่ขาดแคลนในท้องถิ่น เช่น
- การจัดการข้อมูลดิจิทัล (Digital Archiving and Data Management) การนำระบบฐานข้อมูลเข้ามาใช้ในการจัดเก็บและสืบค้นวัตถุในพิพิธภัณฑ์อย่างเป็นระบบ ทำให้ง่ายต่อการบริหารจัดการและการนำเสนอข้อมูล
- การตลาดออนไลน์และการสื่อสาร (Online Marketing and Communication) การใช้สื่อสังคมออนไลน์ (Social Media) และเว็บไซต์เพื่อเผยแพร่เรื่องราวของพิพิธภัณฑ์อย่างสร้างสรรค์ สามารถช่วยขยายฐานผู้เข้าชมและสร้างการรับรู้ในวงกว้าง
- การออกแบบนิทรรศการสมัยใหม่ (Modern Exhibition Design) การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีใหม่ ๆ เช่น ความเป็นจริงเสริม (Augmented Reality - AR) และความเป็นจริงเสมือน (Virtual Reality - VR) เข้ามาผสมผสานกับการจัดแสดง ทำให้พิพิธภัณฑ์น่าสนใจและดึงดูดคนรุ่นใหม่มากขึ้น ซึ่งเป็นแนวทางที่สอดคล้องกับเทรนด์ของพิพิธภัณฑ์ยุคใหม่ทั่วโลก
2. การฟื้นฟูอัตลักษณ์และสร้างพื้นที่เชื่อมโยงคนข้ามรุ่น
สำหรับผู้ที่กลับคืนถิ่น พิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นคือ “พื้นที่รากเหง้า” ที่ช่วยให้พวกเขารู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของชุมชนอีกครั้ง การเรียนรู้ประวัติศาสตร์ท้องถิ่นและการมีส่วนร่วมในการจัดแสดง อาจช่วยสร้างความภาคภูมิใจและสร้างความหมายใหม่ให้กับการกลับบ้าน นอกจากนี้ พิพิธภัณฑ์ยังสามารถจัดกิจกรรม “เวิร์กช็อปข้ามรุ่น” เช่น การสอนงานหัตถกรรมพื้นบ้าน การทำอาหารท้องถิ่น หรือการเล่าเรื่องราวชีวิตในอดีต ซึ่งช่วยให้เกิดการแลกเปลี่ยนความรู้และสร้างความเข้าใจระหว่างคนต่างวัยในชุมชน
3. การขับเคลื่อนเศรษฐกิจสร้างสรรค์และเศรษฐกิจฐานราก
พิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นสามารถยกระดับบทบาทจากแหล่งเรียนรู้ไปสู่ “กลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานราก” ผ่านการเชื่อมโยงกับชุมชนและผู้ประกอบการในท้องถิ่น
- การพัฒนาผลิตภัณฑ์ท้องถิ่น (Local Product Development) พิพิธภัณฑ์สามารถร่วมมือกับผู้ผลิตในชุมชนในการออกแบบผลิตภัณฑ์ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากวัตถุจัดแสดงหรือเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ เพื่อเพิ่มมูลค่าและสร้างเอกลักษณ์เฉพาะตัว
- การสร้างเส้นทางท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม (Cultural Tourism Routes) การเชื่อมโยงพิพิธภัณฑ์กับแหล่งท่องเที่ยวอื่น ๆ ในชุมชน เช่น โบราณสถาน บ้านเรือนเก่า แหล่งผลิตสินค้าพื้นบ้าน แหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติ หรือแหล่งท่องเที่ยวเชิงจิตวิญญาณ จะช่วยสร้างเส้นทางท่องเที่ยวที่ครบวงจรและดึงดูดนักท่องเที่ยวได้มากขึ้น
- การจัดกิจกรรมพิเศษ (Special Events) การจัดงานเทศกาล งานแสดงสินค้า หรือเวิร์กช็อปพิเศษที่เกี่ยวข้องกับเรื่องราวในพิพิธภัณฑ์สามารถสร้างรายได้และกระตุ้นเศรษฐกิจในพื้นที่ได้เป็นอย่างดี
4. การเป็นพื้นที่ Co-Creation และการสร้างเครือข่าย
การรวมตัวของคนรุ่นใหม่ที่กลับคืนถิ่นกับปราชญ์ชาวบ้านและผู้สูงอายุในพื้นที่ ทำให้พิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นสามารถกลายเป็น “พื้นที่สร้างสรรค์ร่วม” (Co-Creation Space) ได้อย่างแท้จริง ซึ่งอาจนำไปสู่การสร้างสรรค์ผลงานใหม่ ๆ ที่ผสานภูมิปัญญาดั้งเดิมเข้ากับทักษะสมัยใหม่ เช่น
- การผลิตสื่อดิจิทัล สารคดีสั้น Podcast หรือวิดีโอ TikTok ที่เล่าเรื่องราวของท้องถิ่นในรูปแบบที่น่าสนใจ
- การออกแบบนิทรรศการเสมือนจริง (Virtual Exhibitions) ที่ช่วยให้ผู้คนทั่วโลกสามารถเข้าถึงพิพิธภัณฑ์ได้จากทุกที่
- การเชื่อมโยงเครือข่าย การกลับคืนถิ่นยังช่วยนำ “เครือข่ายความสัมพันธ์ (Social Network) ที่คนรุ่นใหม่มีกับสถาบันการศึกษา หน่วยงานภาครัฐ องค์กรพัฒนาเอกชน หรือภาคธุรกิจในเมืองใหญ่มาสู่ท้องถิ่น ซึ่งเป็นโอกาสในการระดมทุน องค์ความรู้ และความช่วยเหลือทางเทคนิคที่จำเป็นต่อการพัฒนาพิพิธภัณฑ์ในระยะยาว
ข้อเสนอแนะเชิงกลยุทธ์
สำหรับภาครัฐและหน่วยงานส่วนกลาง
- การกำหนดนโยบาย กำหนดให้พิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นเป็นกลไกหลักในการขับเคลื่อน “เศรษฐกิจสร้างสรรค์” และ “Soft Power” ของประเทศ โดยการจัดตั้งกองทุนหรือจัดสรรงบประมาณที่เฉพาะเจาะจงเพื่อสนับสนุนการพัฒนาพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น
- การสนับสนุนแพลตฟอร์มดิจิทัล พัฒนาและขยายผลการใช้งานแพลตฟอร์มและนวัตกรรมจากหน่วยงานภาครัฐ ไปยังพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นทั่วประเทศอย่างทั่วถึง โดยเน้นการให้ความรู้และการฝึกอบรมด้านการจัดการเนื้อหาดิจิทัล
- การสร้างเครือข่าย ส่งเสริมการสร้างเครือข่ายและความร่วมมือระหว่างพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นกับสถาบันการศึกษา และองค์กรพัฒนาเอกชน เพื่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนความรู้และทรัพยากร
สำหรับชุมชนและพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น
- การบริหารจัดการแบบมีส่วนร่วม ส่งเสริมการจัดการพิพิธภัณฑ์โดยชุมชนอย่างแท้จริง โดยกำหนดหน้าที่ความรับผิดชอบของสมาชิกในชุมชนอย่างชัดเจน เพื่อสร้างความรู้สึกเป็นเจ้าของร่วมกัน
- การพัฒนาบุคลากร จัดกิจกรรมเพื่อพัฒนาศักยภาพของสมาชิกในชุมชนให้เห็นคุณค่าและความสำคัญของพิพิธภัณฑ์ และนำทักษะของคนรุ่นใหม่ที่กลับคืนถิ่นมาใช้ในการจัดการและสร้างสรรค์นิทรรศการสมัยใหม่
- การสร้างสรรค์กิจกรรม พัฒนากิจกรรมที่ดึงดูดและตอบสนองความต้องการของผู้ชมทุกช่วงวัย โดยเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ เพื่อให้พิพิธภัณฑ์เป็น "พิพิธภัณฑ์ที่มีชีวิต" (living museum) ที่ไม่ได้หยุดนิ่งอยู่กับอดีต
บทสรุป
การกลับคืนถิ่นของคนรุ่นใหม่และแรงงานเยาวชนในช่วงวิกฤต ไม่ควรถูกมองว่าเป็นเพียงปัญหาทางเศรษฐกิจ แต่เป็น “โอกาสครั้งสำคัญ” ที่สังคมไทยสามารถใช้เป็นพลังในการพัฒนาท้องถิ่นให้เข้มแข็งจากภายใน รวมถึงเป็น “คำตอบ” สำหรับปัญหาเชิงโครงสร้างของพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นที่ขาดแคลนบุคลากรที่มีทักษะการจัดการสมัยใหม่และนวัตกรรม กลุ่มคนรุ่นใหม่นี้มักมีทักษะด้านดิจิทัล การสื่อสาร และการสร้างสรรค์ ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นในการยกระดับพิพิธภัณฑ์ให้ทันสมัยและเข้าถึงผู้ชมในวงกว้าง ขณะเดียวกันพิพิธภัณฑ์ยังสามารถทำหน้าที่เป็น “พื้นที่ปลอดภัย” ที่ช่วยเปิดโอกาสให้คนรุ่นใหม่ได้ใช้ศักยภาพและพลังความมุ่งมั่น (passion) ของตนเองเพื่อพัฒนาท้องถิ่นที่รัก และต่อยอดเป็น “พลังสร้างสรรค์” ที่ยั่งยืนได้
“พิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น” ในฐานะองค์กรของชุมชนที่ใกล้ชิดกับวิถีชีวิตและทุนวัฒนธรรมของคนในพื้นที่ มีศักยภาพสูงในการใช้ประโยชน์จากปรากฏการณ์การกลับคืนถิ่นนี้ ด้วยการเปิดพื้นที่ให้คนรุ่นใหม่เข้ามามีส่วนร่วมอย่างสร้างสรรค์ ปรับปรุงการจัดการให้ทันสมัย เชื่อมโยงกับเศรษฐกิจสร้างสรรค์ และสร้างเครือข่ายความร่วมมือในหลายระดับ ทั้งในชุมชนเอง ระหว่างชุมชน และกับสถาบันทางวิชาการหรือภาคีเครือข่ายอื่น ๆ ซึ่งทั้งหมดนี้จะช่วยให้พิพิธภัณฑ์กลายเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนการพัฒนาชุมชนอย่างยั่งยืน
เอกสารอ้างอิง
ชนินทร์ วะสีนนท์, สมบูรณ์ ชาวชายโขง, และธวัชชัย กุณวงษ์. (2551). คนรุ่นใหม่กับการพัฒนาท้องถิ่นอย่างยั่งยืน (รายงานการวิจัย). สกลนคร: มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร.
ยงยุทธ แฉล้มวงษ์. (2563, 30 มีนาคม). “มาตรการเร่งด่วนในการช่วยเหลือแรงงาน และคนทำงานจากผลกระทบของการระบาด โควิด-19.” (ออนไลน์). สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ)เข้าถึงเมื่อ 24 กันยายน 2568. เข้าถึงจาก https://tdri.or.th/2020/03/labor-measures-covid19/
เสาวณี จันทะพงษ์์. (2564, 27 เมษายน). “แรงงานคืนถิ่นหลังโควิค 19 จุดเปลี่ยนภาคเกษตรไทยและเร่งกระจายความเจริญสู่ภูมิภาค:ข้อมูลจาก Mobile Big Data.” (ออนไลน์). ธนาคารแห่งประเทศไทย. เข้าถึงเมื่อ 24 กันยายน 2568. เข้าถึงจาก https://www.bot.or.th/th/research-and-publications/articles-and-publications/articles/Article_27Apr2021.html
เสาวณี จันทะพงษ์, และพาทินธิดา สัจจานิจการ. (2564, 25 พฤษภาคม). “คลื่นแรงงานย้ายถิ่นกับการปรับตัวของชุมชนท้องถิ่นสร้างงานและสร้างเมืองให้เข้มแข็งในโลกนิวนอร์มัล.” (ออนไลน์). ธนาคารแห่งประเทศไทย. เข้าถึงเมื่อ 24 กันยายน 2568. เข้าถึงจาก https://www.bot.or.th/th/research-and-publications/articles-and-publications/articles/Article_25May2021_2.html
สำนักงานสถิติแห่งชาติ. (2568.) การสำรวจย้ายถิ่นของประชากร พ.ศ. 2567. กรุงเทพฯ: สำนักงานสถิติแห่งชาติ.
Li, Wenqi, Li Zhang, Inhee Lee, and Menelaos Gkartzios. (2023). “Overview of Social Policies for Town and Village Development in Response to Rural Shrinkage in East Asia: The Cases of Japan, South Korea and China.” Sustainability 15 (14), 10781.
Puerto, Susana and Kee Kim. (2020, 15 April).
“Young Workers Will Be Hit Hard by COVID-19’s Economic Fallout.” ILO Blog,Retrieved 26September 2025, https://iloblog.org/2020/04/15/young-workers-will-be-hit-hard-by-covid-19s-economic-fallout/
[1] ดูรายละเอียดเพิ่มเติมใน https://en.wikipedia.org/wiki/Balik_Probinsya?utm_source=chatgpt.com#cite_note-prrdEO-1
คำสำคัญ: