พระนครศรีอยุธยา อดีตราชธานีไทยเมื่อหลายร้อยปีก่อนเคยเป็นเมืองใหญ่ที่คลาคร่ำไปด้วยผู้คนหลากหลายเชื้อชาติ ต่างชาติพันธุ์ ที่เข้ามาตั้งรกราก รับราชการ ทำมาค้าขาย ถูกกวาดต้อน ฯลฯ หนึ่งในนั้นคือ “ชาวมอญ” ชนชาติที่อาศัยและตั้งอาณาจักรอยู่ในพม่าตอนล่าง ด้วยการแย่งชิงอำนาจภายในและการรุกรานจากพม่า ทำให้บ้านเมืองตกอยู่ภาวะสงครามอยู่เสมอ ในระหว่างนั้นชาวมอญได้พากันอพยพเข้ามาตั้งรกรากในไทย
หนังสือเรื่องมอญในเมืองไทย อธิบายว่าการอพยพครั้งใหญ่ๆ ของชาวมอญเข้ามาสู่ไทยตามหลักฐานของตะวันตก มีทั้งหมด 3 ครั้ง คือ ครั้งแรกในสมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ครั้งที่สองในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช และครั้งที่สามในสมัยสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ส่วนตามหลักฐานฝ่ายไทยจะเพิ่มการอพยพในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยอีกหนึ่งครั้ง และมีการอพยพครั้งย่อยๆ ตามมาอีก
ชาวมอญที่อพยพเข้ามานั้นมักได้รับการโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งบ้านเรือนอยู่ใกล้พระนคร หรือในแถบจังหวัดพระนครศรีอยุธยาในปัจจุบัน “มอญกรุงเก่า” ส่วนใหญ่ได้กลืนกลายเป็นไทยไปเกือบหมดแล้วในปัจจุบัน แต่ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงของสังคม อาจเรียกได้ว่า มีเพียงหมู่บ้านเดียวในพระนครศรีอยุธยาที่ยังคงสืบทอดภาษาและรักษาวัฒนธรรมประเพณีบางอย่างเอาไว้ได้ นั่นคือ “ชุมชนมอญบ้านเสากระโดง”
ชุมชนบ้านเสากระโดง ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาทิศตะวันออก เขตอำเภอบางปะอิน พระนครศรีอยุธยา มีวัดทองบ่อเป็นวัดประจำชุมชนและเป็นศูนย์รวมจิตใจ วารสารเสียงรามัญ ปีที่ 4 ฉบับที่ 19 (มกราคม-มีนาคม) 2552 ให้ข้อมูลเกี่ยวกับประวัติความเป็นมาของชุมชนเสากระโดงว่า ชุมชนนี้น่าจะก่อตั้งขึ้นราวสมัยอยุธยาตอนปลายถึงรัตนโกสินทร์ตอนต้น บางครอบครัวมีเรื่องเล่ว่า บรรพชนอพยพมาจากเมืองมอญ เข้ามาทางจังหวัดเชียงใหม่ ได้ก่อตั้งชุมชนขึ้นประมาณปี พ.ศ. 2360 ชาวบ้านส่วนมากมีอาชีพทำนา ค้าเกลือ และเผาอิฐ
ชาวมอญบ้านเสากระโดงเรียกชื่อชุมชนตัวเองว่า “กวานปราสาท” และเรียกชื่อวัดว่า “เพย์ปราสาท” ต่อมาได้เรียกชื่อวัดใหม่ว่า วัดทองบ่อ ส่วนภาษามอญเรียกว่า เพย์ทอปฺลาง แต่เนื่องจากมีเรือสำเภาขนาดใหญ่อัปปางลงในแม่น้ำ และสายน้ำพัดพาเสากระโดงมาติดอยู่หน้าชุมชน ทำให้ผู้คนที่ผ่านไปมาพร้อมใจกันเรียกชื่อชุมชนนี้ว่า บ้านเสากระโดง เรือดูดทรายได้พบเสากระโดงเรือต้นดังกล่าว และชาวบ้านได้ช่วยกันนำขึ้นมาเก็บรักษาไว้ภายในวัด เสาดังกล่าวทำจากไม้ตะเคียน อยู่สภาพค่อนข้างสมบูรณ์ เส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 50 เซ็นติเมตร ยาวประมาณ 20 เมตร
พระครูอาทรพิพัฒนโกศล((สุทัศน์ สุทสฺสโน)) เจ้าอาวาสองค์ปัจจุบันของวัดทองบ่อ หนึ่งในบุคคลสำคัญที่เป็นผู้ริเริ่มในการรื้อฟื้นวัฒนธรรมประเพณีมอญในชุมชนขึ้น ท่านเป็นผู้ที่เกิดและเติบโตในชุมชน อยู่ในครอบครัวที่ญาติพี่น้องยังใช้ภาษามอญในการสนทนา ทำให้ท่านสามารถพูดและเข้าใจภาษามอญได้เป็นอย่างดี ญาติผู้ใหญ่ของพระอาจารย์สุทัศน์ถือเป็นตระกูลสำคัญในชุมชน ใช้นามสกุล “ธรรมนิยาย”ก่อนที่ท่านจะบวชเรียน ท่านเคยเป็นเด็กเกเร ติดเหล้า ติดพนัน ใช้ชีวิตส่วนใหญ่ในสถานเริงรมย์ ในกรุงเทพมหานคร เมื่อกลับบ้านและได้มีโอกาสบวชเรียน ท่านเกิดคำถามในใจว่ามอญคือใคร และเริ่มค้นคว้าข้อมูล สอบถามครอบครัวและคนเฒ่าคนแก่ในหมู่บ้าน ซึ่งส่วนใหญ่คนในชุมชนก็เป็นเครือญาติเกี่ยวพันกัน
สิ่งแรกที่พระอาจารย์สุทัศน์เริ่มทำในการฟื้นฟูวัฒนธรรมมอญในหมู่บ้านเสากระโดงคือ การรื้อฟื้นประเพณี “แห่โหน่” ราวปี พ.ศ. 2539 จากงานเล็กๆ ในปีแรกที่ชวนหมู่ญาติมาช่วยกันทำโหน่เพื่อแห่และถวายเป็นพุทธบูชา ต่อมาอบต.เข้ามาสนับสนุนงาน จนกลายเป็นงานประเพณีใหญ่มีอัตลักษณ์ เป็นที่รู้จักและจัดขึ้นทุกปีเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน
“โหน่” เป็นภาษามอญหมายถึงผืนผ้า หรือที่ชุมชนมอญอื่นนิยมเรียก “ธงตะขาบ” โหน่เป็นสัญลักษณ์ความศรัทธา เชื่อว่าบูชาโน่ได้อานิสงค์แรง การแห่โหน่ที่วัดทองบ่อ ทำในช่วงวันสงกรานต์ คือ ทุกวันที่ 14 เมษายน
ในช่วงเวลาไล่เรี่ยกันที่ท่านรื้อฟื้นประเพณีแห่โหน่ ท่านเริ่มเก็บข้าวของใช้ภายในวัดไม่ให้สูญหาย เพื่อต้องการจะจัดทำเป็นพิพิธภัณฑ์ต่อไป โดยใช้ศาลาการเปรียญหลังเก่าที่สร้างมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2455 เป็นอาคารจัดแสดง ของจัดแสดงนอกจากเป็นของเก่าแก่ของวัดแล้ว อาทิ ตู้พระไตรปิฎก ธรรมาสน์ คัมภีร์ใบลานภาษามอญ พระพุทธรูป เครื่องถ้วยกระเบื้อง ยังมีของสะสมส่วนตัว ของบริจาค และของที่จัดซื้อมาใหม่ อาทิ พระพุทธรูปมอญ ข้าวของเครื่องใช้ในครัวเรือน เครื่องจักสาน เครื่องปั้นดินเผา เครื่องมือเครื่องใช้ในการเกษตร การทำนา เครื่องสีฝัด เรือพาย เป็นต้น
ป้ายหน้าอาคารจัดแสดงเขียนไว้ว่า “พิพิธภัณฑ์พื้นบ้านวัดทองบ่อและศูนย์ศึกษาชุมชนชาวมอญ” ซึ่งพระอาจารย์ให้เหตุผลว่า
“ทำมาคนเดียว...มันไม่ใช่พิพิธภัณฑ์อย่างเดียว ตั้งใจให้เป็นที่ศึกษาชาติพันธุ์ด้วยโดยเฉพาะมอญ เข้ามาแล้วก็ต้องรู้ว่ามอญคือใคร ต้องรู้ว่ามอญมีประเทศหรือเปล่า ไม่ใช่มอญมาอยู่อพยพมาอะไรมา เขามีอาณาจักรมาตั้งกี่พันปีมาแล้ว ก็ให้ความรู้เป็นข้อมูลการศึกษา เพราะเราภูมิใจว่าเป็นมอญที่ช่วยพระนเรศวรกู้ชาติ ”
น่าเสียดายว่าในวันที่ผู้เขียนไปเยือนเมื่อปลายปี พ.ศ. 2561 อาคารและข้าวของที่จัดแสดงภายในแลดูทรุดโทรม ของบางส่วนถูกนำออกมาจากในตู้โชว์ไม้และบรรจุอยู่ในตะกร้าพลาสติก บนพื้นกระดานมีฝุ่นเกาะหนาและมีเศษใบไม้แห้งที่ถูกพัดปลิวเข้ามาภายในอาคารกระจายอยู่ตามพื้นศาลา ซึ่งได้คำตอบจากพระอาจารย์ว่า อาคารได้รับความเสียหายครั้งน้ำท่วมใหญ่ปี พ.ศ. 2554 ทางการอนุมัติงบมาปรับปรุงกระเบื้องมุงหลังคา ดีดอาคารให้สูงขึ้น ทำตู้ไม้จัดแสดง จึงต้องย้ายวัตถุและนำมาเก็บไว้ในตะกร้าใบใหญ่ ยังไม่มีโอกาสนำของออกมาจัดแสดงหรือใส่ตู้โชว์
นอกจากนี้ปลายปี พ.ศ. 2555 องค์การบริหารส่วนจังหวัดพระนครศรีอยุธยาอนุมัติงบประมาณมาดำเนินการปรับปรุงซ่อมแซมทางเดินเท้าและภูมิทัศน์ อย่างไรก็ดีท่านอาพาธ และมีแนวคิดในการจัดการดูแลพิพิธภัณฑ์และบริเวณภายในวัดไม่ตรงกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จึงหยุดชะงักมาพัฒนาพิพิธภัณฑ์นับแต่ครั้งนั้น ซึ่งท่านเปรยว่าพิพิธภัณฑ์วัดทองบ่อยังไม่สามารถไปถึงความเป็นศูนย์ศึกษาชุมชนชาวมอญดังที่ท่านตั้งเป้าหมายไว้ ซึ่งพระอาจารย์แจ้งว่า ในอนาคตทางชุมชนและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น อาจจะมีการหารือเพื่อดำเนินการปรับปรุงและคงจะเปิดให้เข้าชมได้ในอนาคตต่อไป
ข้อมูลจาก
พระครูอาทรพิพัฒนโกศล(สุทัศน์ สุทสฺสโน) เจ้าอาวาสวัดทองบ่อ, 2561. [บทสัมภาษณ์] (30 ตุลาคม 2561).
ภาสกร อินทุมาร. “พระอาจารย์สุทัศน์แห่งวัดทองบ่อ” ใน วารสารเสียงรามัญ ปีที่ 4 ฉบับที่ 19 (มกราคม-มีนาคม) 2552, หน้า 22-25.
สุภรณ์ โอเจริญ. 2541, มอญในเมืองไทย. กรุงเทพฯ: สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย และมูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์.
องค์ บรรจุน. “มอญกรุงเก่า” ใน วารสารเสียงรามัญ ปีที่ 4 ฉบับที่ 19 (มกราคม-มีนาคม) 2552, หน้า 3-11.
องค์ บรรจุน. “วัดมอญในเมืองไทย” ใน วารสารเสียงรามัญ ปีที่ 4 ฉบับที่ 19 (มกราคม-มีนาคม) 2552, หน้า 18-21.
จ. พระนครศรีอยุธยา
แนะนำพิพิธภัณฑ์โดยทีมงานและสมาชิก
พิพิธภัณฑ์พื้นบ้านวัดทองบ่อ
พระนครศรีอยุธยา อดีตราชธานีไทยเมื่อหลายร้อยปีก่อนเคยเป็นเมืองใหญ่ที่คลาคร่ำไปด้วยผู้คนหลากหลายเชื้อชาติ ต่างชาติพันธุ์ ที่เข้ามาตั้งรกราก รับราชการ ทำมาค้าขาย ถูกกวาดต้อน ฯลฯ หนึ่งในนั้นคือ “ชาวมอญ” ชนชาติที่อาศัยและตั้งอาณาจักรอยู่ในพม่าตอนล่าง ด้วยการแย่งชิงอำนาจภายในและการรุกรานจากพม่า ทำให้บ้านเมืองตกอยู่ภาวะสงครามอยู่เสมอ ในระหว่างนั้นชาวมอญได้พากันอพยพเข้ามาตั้งรกรากในไทย
หนังสือเรื่องมอญในเมืองไทย อธิบายว่าการอพยพครั้งใหญ่ๆ ของชาวมอญเข้ามาสู่ไทยตามหลักฐานของตะวันตก มีทั้งหมด 3 ครั้ง คือ ครั้งแรกในสมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ครั้งที่สองในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช และครั้งที่สามในสมัยสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ส่วนตามหลักฐานฝ่ายไทยจะเพิ่มการอพยพในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยอีกหนึ่งครั้ง และมีการอพยพครั้งย่อยๆ ตามมาอีก
ชาวมอญที่อพยพเข้ามานั้นมักได้รับการโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งบ้านเรือนอยู่ใกล้พระนคร หรือในแถบจังหวัดพระนครศรีอยุธยาในปัจจุบัน “มอญกรุงเก่า” ส่วนใหญ่ได้กลืนกลายเป็นไทยไปเกือบหมดแล้วในปัจจุบัน แต่ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงของสังคม อาจเรียกได้ว่า มีเพียงหมู่บ้านเดียวในพระนครศรีอยุธยาที่ยังคงสืบทอดภาษาและรักษาวัฒนธรรมประเพณีบางอย่างเอาไว้ได้ นั่นคือ “ชุมชนมอญบ้านเสากระโดง”
ชุมชนบ้านเสากระโดง ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาทิศตะวันออก เขตอำเภอบางปะอิน พระนครศรีอยุธยา มีวัดทองบ่อเป็นวัดประจำชุมชนและเป็นศูนย์รวมจิตใจ วารสารเสียงรามัญ ปีที่ 4 ฉบับที่ 19 (มกราคม-มีนาคม) 2552 ให้ข้อมูลเกี่ยวกับประวัติความเป็นมาของชุมชนเสากระโดงว่า ชุมชนนี้น่าจะก่อตั้งขึ้นราวสมัยอยุธยาตอนปลายถึงรัตนโกสินทร์ตอนต้น บางครอบครัวมีเรื่องเล่ว่า บรรพชนอพยพมาจากเมืองมอญ เข้ามาทางจังหวัดเชียงใหม่ ได้ก่อตั้งชุมชนขึ้นประมาณปี พ.ศ. 2360 ชาวบ้านส่วนมากมีอาชีพทำนา ค้าเกลือ และเผาอิฐ
ชาวมอญบ้านเสากระโดงเรียกชื่อชุมชนตัวเองว่า “กวานปราสาท” และเรียกชื่อวัดว่า “เพย์ปราสาท” ต่อมาได้เรียกชื่อวัดใหม่ว่า วัดทองบ่อ ส่วนภาษามอญเรียกว่า เพย์ทอปฺลาง แต่เนื่องจากมีเรือสำเภาขนาดใหญ่อัปปางลงในแม่น้ำ และสายน้ำพัดพาเสากระโดงมาติดอยู่หน้าชุมชน ทำให้ผู้คนที่ผ่านไปมาพร้อมใจกันเรียกชื่อชุมชนนี้ว่า บ้านเสากระโดง เรือดูดทรายได้พบเสากระโดงเรือต้นดังกล่าว และชาวบ้านได้ช่วยกันนำขึ้นมาเก็บรักษาไว้ภายในวัด เสาดังกล่าวทำจากไม้ตะเคียน อยู่สภาพค่อนข้างสมบูรณ์ เส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 50 เซ็นติเมตร ยาวประมาณ 20 เมตร
พระครูอาทรพิพัฒนโกศล((สุทัศน์ สุทสฺสโน)) เจ้าอาวาสองค์ปัจจุบันของวัดทองบ่อ หนึ่งในบุคคลสำคัญที่เป็นผู้ริเริ่มในการรื้อฟื้นวัฒนธรรมประเพณีมอญในชุมชนขึ้น ท่านเป็นผู้ที่เกิดและเติบโตในชุมชน อยู่ในครอบครัวที่ญาติพี่น้องยังใช้ภาษามอญในการสนทนา ทำให้ท่านสามารถพูดและเข้าใจภาษามอญได้เป็นอย่างดี ญาติผู้ใหญ่ของพระอาจารย์สุทัศน์ถือเป็นตระกูลสำคัญในชุมชน ใช้นามสกุล “ธรรมนิยาย”ก่อนที่ท่านจะบวชเรียน ท่านเคยเป็นเด็กเกเร ติดเหล้า ติดพนัน ใช้ชีวิตส่วนใหญ่ในสถานเริงรมย์ ในกรุงเทพมหานคร เมื่อกลับบ้านและได้มีโอกาสบวชเรียน ท่านเกิดคำถามในใจว่ามอญคือใคร และเริ่มค้นคว้าข้อมูล สอบถามครอบครัวและคนเฒ่าคนแก่ในหมู่บ้าน ซึ่งส่วนใหญ่คนในชุมชนก็เป็นเครือญาติเกี่ยวพันกัน
สิ่งแรกที่พระอาจารย์สุทัศน์เริ่มทำในการฟื้นฟูวัฒนธรรมมอญในหมู่บ้านเสากระโดงคือ การรื้อฟื้นประเพณี “แห่โหน่” ราวปี พ.ศ. 2539 จากงานเล็กๆ ในปีแรกที่ชวนหมู่ญาติมาช่วยกันทำโหน่เพื่อแห่และถวายเป็นพุทธบูชา ต่อมาอบต.เข้ามาสนับสนุนงาน จนกลายเป็นงานประเพณีใหญ่มีอัตลักษณ์ เป็นที่รู้จักและจัดขึ้นทุกปีเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน
“โหน่” เป็นภาษามอญหมายถึงผืนผ้า หรือที่ชุมชนมอญอื่นนิยมเรียก “ธงตะขาบ” โหน่เป็นสัญลักษณ์ความศรัทธา เชื่อว่าบูชาโน่ได้อานิสงค์แรง การแห่โหน่ที่วัดทองบ่อ ทำในช่วงวันสงกรานต์ คือ ทุกวันที่ 14 เมษายน
ในช่วงเวลาไล่เรี่ยกันที่ท่านรื้อฟื้นประเพณีแห่โหน่ ท่านเริ่มเก็บข้าวของใช้ภายในวัดไม่ให้สูญหาย เพื่อต้องการจะจัดทำเป็นพิพิธภัณฑ์ต่อไป โดยใช้ศาลาการเปรียญหลังเก่าที่สร้างมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2455 เป็นอาคารจัดแสดง ของจัดแสดงนอกจากเป็นของเก่าแก่ของวัดแล้ว อาทิ ตู้พระไตรปิฎก ธรรมาสน์ คัมภีร์ใบลานภาษามอญ พระพุทธรูป เครื่องถ้วยกระเบื้อง ยังมีของสะสมส่วนตัว ของบริจาค และของที่จัดซื้อมาใหม่ อาทิ พระพุทธรูปมอญ ข้าวของเครื่องใช้ในครัวเรือน เครื่องจักสาน เครื่องปั้นดินเผา เครื่องมือเครื่องใช้ในการเกษตร การทำนา เครื่องสีฝัด เรือพาย เป็นต้น
ป้ายหน้าอาคารจัดแสดงเขียนไว้ว่า “พิพิธภัณฑ์พื้นบ้านวัดทองบ่อและศูนย์ศึกษาชุมชนชาวมอญ” ซึ่งพระอาจารย์ให้เหตุผลว่า
“ทำมาคนเดียว...มันไม่ใช่พิพิธภัณฑ์อย่างเดียว ตั้งใจให้เป็นที่ศึกษาชาติพันธุ์ด้วยโดยเฉพาะมอญ เข้ามาแล้วก็ต้องรู้ว่ามอญคือใคร ต้องรู้ว่ามอญมีประเทศหรือเปล่า ไม่ใช่มอญมาอยู่อพยพมาอะไรมา เขามีอาณาจักรมาตั้งกี่พันปีมาแล้ว ก็ให้ความรู้เป็นข้อมูลการศึกษา เพราะเราภูมิใจว่าเป็นมอญที่ช่วยพระนเรศวรกู้ชาติ ”
น่าเสียดายว่าในวันที่ผู้เขียนไปเยือนเมื่อปลายปี พ.ศ. 2561 อาคารและข้าวของที่จัดแสดงภายในแลดูทรุดโทรม ของบางส่วนถูกนำออกมาจากในตู้โชว์ไม้และบรรจุอยู่ในตะกร้าพลาสติก บนพื้นกระดานมีฝุ่นเกาะหนาและมีเศษใบไม้แห้งที่ถูกพัดปลิวเข้ามาภายในอาคารกระจายอยู่ตามพื้นศาลา ซึ่งได้คำตอบจากพระอาจารย์ว่า อาคารได้รับความเสียหายครั้งน้ำท่วมใหญ่ปี พ.ศ. 2554 ทางการอนุมัติงบมาปรับปรุงกระเบื้องมุงหลังคา ดีดอาคารให้สูงขึ้น ทำตู้ไม้จัดแสดง จึงต้องย้ายวัตถุและนำมาเก็บไว้ในตะกร้าใบใหญ่ ยังไม่มีโอกาสนำของออกมาจัดแสดงหรือใส่ตู้โชว์
นอกจากนี้ปลายปี พ.ศ. 2555 องค์การบริหารส่วนจังหวัดพระนครศรีอยุธยาอนุมัติงบประมาณมาดำเนินการปรับปรุงซ่อมแซมทางเดินเท้าและภูมิทัศน์ อย่างไรก็ดีท่านอาพาธ และมีแนวคิดในการจัดการดูแลพิพิธภัณฑ์และบริเวณภายในวัดไม่ตรงกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จึงหยุดชะงักมาพัฒนาพิพิธภัณฑ์นับแต่ครั้งนั้น ซึ่งท่านเปรยว่าพิพิธภัณฑ์วัดทองบ่อยังไม่สามารถไปถึงความเป็นศูนย์ศึกษาชุมชนชาวมอญดังที่ท่านตั้งเป้าหมายไว้ ซึ่งพระอาจารย์แจ้งว่า ในอนาคตทางชุมชนและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น อาจจะมีการหารือเพื่อดำเนินการปรับปรุงและคงจะเปิดให้เข้าชมได้ในอนาคตต่อไป
ข้อมูลจาก
พระครูอาทรพิพัฒนโกศล(สุทัศน์ สุทสฺสโน) เจ้าอาวาสวัดทองบ่อ, 2561. [บทสัมภาษณ์] (30 ตุลาคม 2561).
ภาสกร อินทุมาร. “พระอาจารย์สุทัศน์แห่งวัดทองบ่อ” ใน วารสารเสียงรามัญ ปีที่ 4 ฉบับที่ 19 (มกราคม-มีนาคม) 2552, หน้า 22-25.
สุภรณ์ โอเจริญ. 2541, มอญในเมืองไทย. กรุงเทพฯ: สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย และมูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์.
องค์ บรรจุน. “มอญกรุงเก่า” ใน วารสารเสียงรามัญ ปีที่ 4 ฉบับที่ 19 (มกราคม-มีนาคม) 2552, หน้า 3-11.
องค์ บรรจุน. “วัดมอญในเมืองไทย” ใน วารสารเสียงรามัญ ปีที่ 4 ฉบับที่ 19 (มกราคม-มีนาคม) 2552, หน้า 18-21.
รีวิวของพิพิธภัณฑ์พื้นบ้านวัดทองบ่อและศูนย์ศึกษาชุมชนมอญ
แนะนำพิพิธภัณฑ์โดยสื่อออนไลน์
แนะนำพิพิธภัณฑ์โดยบล็อก
แนะนำพิพิธภัณฑ์โดยสารานุกรมไทย
วัด ชาติพันธุ์ มอญ วัดทองบ่อ พระนครศรีอยุธยา คัมภีร์งาช้าง
พิพิธภัณฑ์พระอุบาลีมหาเถระ
จ. พระนครศรีอยุธยา
หมู่บ้านญี่ปุ่น
จ. พระนครศรีอยุธยา
พิพิธภัณฑ์เรือไทย
จ. พระนครศรีอยุธยา