จารึกอักษรปัลลวะ ภาษาบาลี บนพระพิมพ์ 3

จารึก

จารึกอักษรปัลลวะ ภาษาบาลี บนพระพิมพ์ 3

QR-code edit Share on Facebook print

เวลาที่โพส โพสต์เมื่อวันที่ 13 ก.พ. 2550 13:59:58 ( อัพเดทเมื่อวันที่ 19 ส.ค. 2566 09:55:02 )

ชื่อจารึก

จารึกอักษรปัลลวะ ภาษาบาลี บนพระพิมพ์ 3

อักษรที่มีในจารึก

ปัลลวะ

ศักราช

พุทธศตวรรษ 11-12

ภาษา

บาลี

ด้าน/บรรทัด

จำนวนด้าน 1 ด้าน มี 1 บรรทัด

วัตถุจารึก

ดินเผา

ลักษณะวัตถุ

พระพิมพ์ (ปางสมาธิ)

บัญชี/ทะเบียนวัตถุ

1) พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ อู่ทอง กำหนดเป็น “65/2506”
2) ในวารสาร Fragile Palm Leaves no. 7 (December 2545/2002) กำหนดเป็น “จารึกหลังพระพิมพ์พุทธสาวก 3”

ปีที่พบจารึก

ระหว่างการขุดแต่งโบราณสถานในวันที่ 5 สิงหาคม ถึง 3 กันยายน พ.ศ. 2506

สถานที่พบ

เจดีย์หมายเลข 11 เมืองโบราณอู่ทอง ตำบลอู่ทอง อำเภออู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี

ผู้พบ

นายสมศักดิ์ รัตนกุล (ผู้ควบคุมการสำรวจและขุดแต่งโบราณสถาน)

ปัจจุบันอยู่ที่

พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ อู่ทอง ตำบลอู่ทอง อำเภออู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี

พิมพ์เผยแพร่

1) รายงานการสำรวจและขุดแต่งโบราณวัตถุสถานเมืองเก่าอู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี (พระนคร : ศิวพร, 2509), 16-17.
2) Fragile Palm Leaves no. 7 (December 2545/2002) : 11-14.

ประวัติ

พระพิมพ์องค์นี้ถูกพบในการขุดแต่งเจดีย์หมายเลข 11 ในเมืองโบราณอู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี โดยกรมศิลปากร ในระหว่างวันที่ 5 สิงหาคม ถึง 3 กันยายน พ.ศ. 2506 นอกจากนี้ยังมีการพบโบราณวัตถุอื่นๆ ในบริเวณเจดีย์ดังกล่าว ได้แก่ พระพุทธรูปสำริดปางเสด็จลงจากดาวดึงส์ 4 องค์ เสาหินแปดเหลี่ยม และแท่นหินสี่เหลี่ยมจำหลักลวดลาย โดยทั้งหมดถูกกล่าวถึงใน รายงานการสำรวจและขุดแต่งโบราณวัตถุสถานเมืองเก่าอู่ทอง จังหวัด สุพรรณบุรี ซึ่งตีพิมพ์เนื่องในโอกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินทรงเปิดพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ อู่ทอง เมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2509 โดยในรายงานดังกล่าวมีการอ่าน-แปลจารึกที่ปรากฏด้านหลังพระพิมพ์องค์นี้ด้วย ต่อมาในวันที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2545 ปีเตอร์ สกิลลิ่ง (Peter Skilling) และศานติ ภักดีคำ ได้เดินทางไปที่พิพิธภัณฑ์ฯ ดังกล่าวเพื่อเก็บข้อมูลเกี่ยวกับพระพิมพ์ จึงได้พบพระพิมพ์องค์นี้รวมถึงองค์อื่นๆ ที่ยังไม่ได้มีการอ่าน-แปล จึงได้ทำการอ่าน-แปลทั้งหมดลงในบทความชื่อ “จารึกพระสาวกและจารึกพระเจ้าศุทโธทนะพบใหม่ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ อู่ทอง จ. สุพรรณบุรี” ตีพิมพ์ในวารสาร Fragile Palm Leaves เมื่อเดือนธันวาคม พ.ศ. 2545

เนื้อหาโดยสังเขป

กล่าวถึงพระนามของพุทธสาวกองค์ใดองค์หนึ่งระหว่าง พระมหากัสสปะ หรือ มหากัจจายนะ พระมหากัสสปะ เป็นบุตรกบิลพราหมณ์แห่งมหาติตถคาม แคว้นมคธ เดิมชื่อปิปผลิมาณพ สมรสกับนางภัททกาปิลานี โดยการจัดการของผู้ใหญ่ ทั้งสองไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกันในโลกียวิสัย เมื่อบิดามารดาเสียชีวิตหมดแล้ว จึงแยกกันไปออกบวช โดยนางภัททาปิลานีไปบวชเป็นภิกษุนี ส่วนปิปผลิมาณพได้ฟังโอวาทจากพระพุทธเจ้า 3 ประการ หลังจากอุปสมบทแล้ว 7 วัน ก็ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ พระมหากัสสปะเถระทรงเป็นผู้มีบทบาท ในเรื่องของการทำสังคายนาพระธรรมวินัยเป็นครั้งแรก โดยเป็นผู้คัดเลือกพระอรหันต์ผู้ทรงอภิญญาจำนวน 500 รูป สังคายนาพระธรรมวินัยให้เป็นแบบฉบับ และถ่ายทอดสืบมาโดยการท่องจำ พระมหากัสสปะเป็นผู้เคร่งครัดในธุดงควัตร และเป็นเอตทัคคะด้านมีวาทะขัดเกลา (ธูตวาทะ) ส่วนพระมหากัจจายนะนั้น เป็นบุตรของปุโรหิตเมืองอุชเชนี เป็นคนรูปงาม ศึกษาเล่าเรียนจนจบไตรเพทตั้งแต่ยังหนุ่ม เมื่อได้ฟังธรรมเทศนาจากพระพุทธเจ้า ก็สำเร็จเป็นพระอรหันต์ ต่อมาได้รับการยกย่องว่าเป็นเอตทัคคะด้านการขยายความ เนื่องจากทรงแสดงภัทเทกรัตตสูตร ที่พระพุทธเจ้าตรัสโดยย่อให้พระสมิทธิฟังอย่างละเอียด พระสมิทธิมีความเข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง พระพุทธองค์จึงทรงสรรเสริญว่า ถ้าให้ตถาคตแสดง ก็จะแสดงเช่นเดียวกับกัจจายนะ จึงได้รับการยกย่องเป็นเอตทัคคะด้านดังกล่าว

ผู้สร้าง

ไม่ปรากฏหลักฐาน

การกำหนดอายุ

กำหนดอายุจากรูปอักษรปัลลวะซึ่งมีอายุราวพุทธศตวรรษที่ 11-12

ข้อมูลอ้างอิง

เรียบเรียงข้อมูลโดย : พันธุ์ทิพย์ ธีระเนตร, โครงการฐานข้อมูลจารึกในประเทศไทย, ศมส., 2547, จาก :
1) กรมศิลปากร, รายงานการสำรวจและขุดแต่งโบราณวัตถุสถาน เมืองเก่าอู่ทอง อำเภออู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี (พระนคร : ศิวพร, 2509), 16-17.
2) ปีเตอร์ สกิลลิ่ง และศานติ ภักดีคำ, “จารึกพระสาวกและจารึกพระเจ้าศุทโธทนะพบใหม่ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ อู่ทอง,” Fragile Palm Leaves no. 7 (December 2545/2002) : 11-14.

ภาพประกอบ

ภาพถ่ายจารึกจาก : Fragile Palm Leaves no. 7 (December 2545/2002)