โพสต์เมื่อวันที่ 13 ก.พ. 2550 13:59:58 ( อัพเดทเมื่อวันที่ 20 เม.ย. 2567 18:16:46 )
ชื่อจารึก |
จารึกอักษรปัลลวะ ภาษาบาลี บนพระพิมพ์ 2 (สาริปุตโต) |
อักษรที่มีในจารึก |
ปัลลวะ |
ศักราช |
พุทธศตวรรษ 11-12 |
ภาษา |
บาลี |
ด้าน/บรรทัด |
จำนวนด้าน 1 ด้าน มี 1 บรรทัด |
วัตถุจารึก |
ดินเผา |
ลักษณะวัตถุ |
พระพิมพ์ (ปางสมาธิ) |
บัญชี/ทะเบียนวัตถุ |
1) พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ อู่ทอง กำหนดเป็น “64/2506” (ใช้เลขทะเบียนเดียวกับ “จารึกอักษรปัลลวะ ภาษาบาลี บนพระพิมพ์ 1 (เมตฺเตยโก)”) |
ปีที่พบจารึก |
ระหว่างการขุดแต่งโบราณสถานในวันที่ 5 สิงหาคม ถึง 3 กันยายน พ.ศ. 2506 |
สถานที่พบ |
เจดีย์หมายเลข 11 เมืองโบราณอู่ทอง ตำบลอู่ทอง อำเภออู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี |
ผู้พบ |
นายสมศักดิ์ รัตนกุล (ผู้ควบคุมการสำรวจและขุดแต่งโบราณสถาน) |
ปัจจุบันอยู่ที่ |
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ อู่ทอง ตำบลอู่ทอง อำเภออู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี |
พิมพ์เผยแพร่ |
1) รายงานการสำรวจและขุดแต่งโบราณวัตถุสถานเมืองเก่าอู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี (พระนคร : ศิวพร, 2509) : 16-17. |
ประวัติ |
พระพิมพ์องค์นี้ถูกพบในการขุดแต่งเจดีย์หมายเลข 11 ในเมืองโบราณอู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี ในระหว่างวันที่ 5 สิงหาคม ถึง 3 กันยายน พ.ศ. 2506 นายสมศักดิ์ รัตนกุล ผู้ควบคุมการสำรวจและขุดแต่งโบราณสถาน ระบุว่า พบในบริเวณทิศใต้ของเจดีย์ นอกจากนี้ยังมีการพบโบราณวัตถุอื่นๆ ในบริเวณเจดีย์ดังกล่าว ได้แก่ พระพุทธรูปสำริดปางเสด็จลงจากดาวดึงส์ 4 องค์ เสาหินแปดเหลี่ยม และแท่นหินสี่เหลี่ยมจำหลักลวดลาย โดยทั้งหมดถูกกล่าวถึงใน รายงานการสำรวจและขุดแต่งโบราณวัตถุสถานเมืองเก่าอู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี ซึ่งตีพิมพ์เนื่องในโอกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินทรงเปิดพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ อู่ทอง เมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2509 โดยในรายงานดังกล่าวมีการอ่าน-แปลจารึกที่ปรากฏด้านหลังพระพิมพ์องค์นี้ด้วย ต่อมาในวันที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2545 ปีเตอร์ สกิลลิ่ง และศานติ ภักดีคำ ได้เดินทางไปที่พิพิธภัณฑ์ ฯ ดังกล่าวเพื่อเก็บข้อมูลเกี่ยวกับพระพิมพ์ จึงได้พบพระพิมพ์องค์นี้รวมถึงองค์อื่นๆ ที่ยังไม่ได้มีการอ่าน-แปล จึงได้ทำการอ่าน-แปลทั้งหมดลงในบทความชื่อ “จารึกพระสาวกและจารึกพระเจ้าศุทโธทนะพบใหม่ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ อู่ทอง จ. สุพรรณบุรี” ตีพิมพ์ในวารสาร Fragile Palm Leaves เมื่อเดือนธันวาคม พ.ศ. 2545 |
เนื้อหาโดยสังเขป |
กล่าวถึงพระนามของพระสารีบุตร ซึ่งเป็นอัครสาวกเบื้องขวา และเอตทัคคะผู้มีปัญญามาก เป็นชาวเมืองราชคฤห์ซึ่งใช้ชีวิตอย่างสำราญจากการชมมหรสพต่างๆ วันหนึ่งเกิดความเบื่อหน่าย เห็นว่าชีวิตไร้แก่นสาร จึงชวนเพื่อนสนิทชื่อ โกลิตะ ไปสมัครเป็นลูกศิษย์ของอาจารย์สัญชัยเวลัฏฐบุตร ซึ่งเป็นเจ้าสำนักปรัชญาที่มีชื่อเสียงจนจบ แต่ทั้งสองเห็นว่าวิชาการต่างๆ ที่ตนเรียนรู้ยังไม่ใช่แนวทางที่ดีที่สุด จึงแยกย้ายกันออกแสวงหาอาจารย์ที่สอนแนวทางที่ดีกว่า วันหนึ่งพระสารีบุตรได้พบพระอัสสชิเถระขณะโปรดสัตว์ เห็นกิริยาอันน่าเลื่อมใสจึงเข้าไปนมัสการขอให้ท่านแสดงธรรมให้ฟัง พระอัสสชิจึงแสดงคาถาอันเป็นแก่นแห่งอริยสัจ 4 ว่า เย ธมฺมา เหตุปฺปภวา ตสํ เหตุํ ตถาคโต (อาห) เตสญฺจ โย นิโรโธ จ เอวํวาที มหาสมโณ ธรรมเหล่าใดเกิดแต่เหตุ พระตถาคตตรัสเหตุแห่งธรรมเหล่านั้น และการดับเหตุแห่งธรรมเหล่านั้น พระมหาสมณะมีวาทะอย่างนี้ พระสารีบุตรได้ฟังคาถาดังกล่าวจึงเกิด “ดวงตาเห็นธรรม” ได้บรรลุโสดาปัตติผล จึงไปกล่าวคาถานี้ให้โกลิตะฟังและได้บรรลุเช่นกัน ทั้งสองจึงเข้าบวชในพุทธศาสนาและบรรลุเป็นพระอรหันต์ พระสารีบุตรบรรลุช้ากว่า โกลิตะหรือพระโมคคัลลานะ 7 วัน โดยบรรลุในวันเพ็ญเดือนมาฆะ ซึ่งมีการประชุมใหญ่อันเรียกว่า “จาตุรงคสันนิบาต” ณ เวฬุวัน พระพุทธเจ้าได้ประทานโอวาทปาติโมกข์แก่พระอรหันต์ 1,250 รูป พระสารีบุตรเป็นเถระรูปแรกที่มีความคิดในการสังคายนาพระธรรมวินัย แต่ยังไม่สำเร็จลุล่วงท่านก็นิพพานไปเสียก่อน โดยก่อนที่จะนิพพานนั้น พระสารีบุตรและพระจุนทะซึ่งเป็นน้องชาย ได้กลับไปยังตำบลนาลันทา บ้านเกิดของท่าน เพื่อโปรดมารดาซึ่งยังไม่ได้นับถือพุทธศาสนาให้บรรลุธรรม |
ผู้สร้าง |
ไม่ปรากฏหลักฐาน |
การกำหนดอายุ |
กำหนดอายุจากรูปอักษรปัลลวะซึ่งมีอายุราวพุทธศตวรรษที่ 11-12 |
ข้อมูลอ้างอิง |
เรียบเรียงข้อมูลโดย : พันธุ์ทิพย์ ธีระเนตร, โครงการฐานข้อมูลจารึกในประเทศไทย, ศมส., 2547, จาก : |
ภาพประกอบ |
ภาพถ่ายจารึกจาก : Fragile Palm Leaves no. 7 (December 2545/2002) |