จารึกเหรียญเงินทวารวดี (เมืองพรหมทิน)

จารึก

จารึกเหรียญเงินทวารวดี (เมืองพรหมทิน)

QR-code edit Share on Facebook print

เวลาที่โพส โพสต์เมื่อวันที่ 13 ก.พ. 2550 13:59:58 ( อัพเดทเมื่อวันที่ 17 ม.ค. 2566 10:11:42 )

ชื่อจารึก

จารึกเหรียญเงินทวารวดี (เมืองพรหมทิน)

ชื่อจารึกแบบอื่นๆ

จารึกเมืองพรหมทิน 3, จารึกเหรียญเงินเมืองพรหมทิน 3, จารึกบนเหรียญเงินประทับตรารูปสังข์/ศรีวัตสะ, สวัสดิกะ, ทัมรุ (บัณเฑาะว์), ลบ. 21

อักษรที่มีในจารึก

ปัลลวะ

ศักราช

พุทธศตวรรษ 12

ภาษา

สันสกฤต

ด้าน/บรรทัด

จำนวนด้าน 1 ด้าน มี 1 บรรทัด

วัตถุจารึก

เงิน

ลักษณะวัตถุ

เหรียญทรงกลมแบน ด้านหนึ่งมีจารึกและตราศรีวัตสะ อีกด้านหนึ่งมีรูปสังข์และอักษรโอม

ขนาดวัตถุ

เส้นผ่าศูนย์กลาง 2.6 ซม.

บัญชี/ทะเบียนวัตถุ

1) กองหอสมุดแห่งชาติ กำหนดเป็น “ลบ. 21”
2) ในหนังสือ จารึกโบราณรุ่นแรกพบที่ลพบุรีและใกล้เคียง กำหนดเป็น “จารึกเมืองพรหมทิน 3”
3) ในหนังสือ จารึกในประเทศไทย เล่ม 1 กำหนดเป็น “จารึกเหรียญเงินเมืองพรหมทิน 3”
4) ในวารสาร ศิลปากร ปีที่ 34 ฉบับที่ 2 (มีนาคม-เมษายน 2534) กำหนดเป็น “จารึกบนเหรียญเงินประทับตรารูปสังข์/ศรีวัตสะ, สวัสดิกะ, ทัมรุ (บัณเฑาะว์)”

ปีที่พบจารึก

วันที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2524

สถานที่พบ

บ้านพรหมทินใต้ ตำบลหลุมข้าว อำเภอโคกสำโรง จังหวัดลพบุรี

ผู้พบ

นายดาบตำรวจสนิท ชวนชม อำเภอบ้านหมี่ จังหวัดลพบุรี

ปัจจุบันอยู่ที่

พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ สมเด็จพระนารายณ์ ตำบลท่าหิน อำเภอเมือง จังหวัดลพบุรี (สำรวจเมื่อ 17-20 มีนาคม 2560)

พิมพ์เผยแพร่

1) จารึกโบราณรุ่นแรกพบที่ลพบุรีและใกล้เคียง (กรุงเทพฯ : กรมศิลปากร, 2524), 18-20.
2) วารสารศิลปากร ปีที่ 28 ฉบับที่ 4 (กันยายน 2527), 55-63.
3) จารึกในประเทศไทย เล่ม 1 (กรุงเทพฯ : กรมศิลปากร, 2529), 112-115.
4) วารสารศิลปวัฒนธรรม ปีที่ 11 ฉบับที่ 7 (พฤษภาคม 2533), 110.
5) วารสารศิลปากร ปีที่ 34 ฉบับที่ 2 (มีนาคม-เมษายน 2534), 74.

ประวัติ

เหรียญเงินนี้ นายดาบตำรวจสนิท ชวนชม บ้านเลขที่ 109 ถนนอนามัย อำเภอบ้านหมี่ จังหวัดลพบุรี มอบให้พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ สมเด็จพระนารายณ์ เมื่อวันที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2524 และได้รับการอ่าน-แปลเมื่อวันที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2524 โดยหอสมุดแห่งชาติ เพื่อตีพิมพ์ในหนังสือ จารึกโบราณรุ่นแรกพบที่ลพบุรีและใกล้เคียง ซึ่งตีพิมพ์ในปีเดียวกัน

เนื้อหาโดยสังเขป

เหรียญเงินนี้ มีสัญลักษณ์มงคล 3 อย่างคือ ด้านหน้าเป็นรูปสังข์ ล้อมรอบด้วยจุดไข่ปลาส่วนด้านหลังเป็นรูปศรีวัตสะ และทางด้านซ้ายของศรีวัตสะมีสัญลักษณ์คล้ายรูปกากบาท ซึ่งน่าจะเป็นสัญลักษณ์แทนรูปบัลลังก์ (ภัทรบิฐ) หรือ ทัมรุ (กลอง 2 หน้า) แต่อย่างไรก็ตาม สัญลักษณ์คล้ายกากบาทนี้ อ. ก่องแก้ว วีรประจักษ์ ได้อธิบายโดยอ้างอิงบทความของ ศ. ยอร์ช เซเดส์ ใน Inscriptions du Cambodge เล่ม 3 ว่า อาจหมายถึงจำนวนเลข 10 สิ่งที่น่าสังเกตอีกประการหนึ่งคือ ทางด้านขวามือของรูปศรีวัตสะก็น่าที่จะมีสัญลักษณ์มงคลอีกรูปหนึ่ง แต่อาจลบเลือนไป ทั้งนี้เนื่องจาก เมื่อพิจารณาเปรียบเทียบกับเหรียญเงินอื่นๆ ด้านที่มีรูปศรีวัตสะแล้ว จะพบว่าทางด้านซ้ายและขวาของรูปศรีวัตสะ จะนิยมทำรูปสัญลักษณ์ไว้ด้วยกันทั้ง 2 ข้าง เพื่อให้เกิดความสมดุลย์ของภาพ “รูปศรีวัตสะ” เป็นสัญลักษณ์ที่แสดงถึง “ที่ประทับของศรี” เทพีศรีเป็นเทพีแห่งความอุดมสมบูรณ์และความรุ่งเรือง ศรีวัตสะจึงเป็นสัญลักษณ์แทนองค์พระศรี หรือพระลักษมีที่ทรงอยู่ในรูป “คช-ลักษมี” โดยมีองค์ประกอบคือ พระลักษมีประทับนั่งบนดอกบัวตรงกลาง ทางด้านซ้ายและขวาของพระองค์จะมีช้าง 2 เชือก เทน้ำรดพระเศียรของพระองค์ รูปศรีวัตสะบนเหรียญเงินนี้ น่าจะเป็นสัญลักษณ์ที่แสดงถึงความอุดมสมบูรณ์ และความมั่งคั่งของรัฐที่ประทานโดยพระศรี “รูปบัลลังก์” หรือ “ภัทรปิฏะ” หรือ “ภัทรบิฐ” เป็นสัญลักษณ์ 1 ใน 108 มงคล ของอินเดียโบราณ รูปบัลลังก์ที่พบส่วนใหญ่บนเหรียญเงินทวารวดีนั้น นิยมทำเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส ภายในรูปสี่เหลี่ยมจะทำเป็นกากบาทไว้ แต่อย่างไรก็ตาม รูปลักษณะเช่นนี้ก็สามารถมองเป็นทัมรุ (กลอง 2 หน้า) ได้เช่นกัน ด้านล่างของรูปศรีวัตสะมีจารึกอักษรปัลลวะ ภาษาสันสกฤต แต่ว่ารูปอักษรนั้น จารึกแบบตัวกลับด้าน แสดงว่าประโยชน์ของเหรียญเงินนี้นั้น อาจใช้เป็นที่ประทับตราเพื่อประโยชน์บางประการ เนื่องจากเมื่อนำเหรียญเงินด้านที่มีจารึกนี้ไปประดับลงบนดินเหนียวแล้ว ก็จะได้ข้อความที่สมบูรณ์ว่า “ลพฺธวร” หรือ “ผู้ได้รับประโยชน์” นอกจากนี้ การเขียนอักษรตัวกลับที่ปรากฏอยู่บนเหรียญนี้ ทำให้เกิดแนวคิดการสังเกตรูปรอยหอยสังข์ ซึ่งอยู่อีกด้านหนึ่งของเหรียญจะเห็นว่ามีลักษณะเป็นเส้นเหมือนสระอุ ที่เป็นสระลอยหัวกลับ ซึ่งเขียนอยู่ภายใต้เส้นสามเส้นเป็นรูปโค้งเกลียวก้นหอย และมีจุดกลมๆ อยู่ตรงกลางข้างบน รูปที่ปรากฏบนเหรียญนั้นคือ เครื่องหมายของ “โอม” ที่แฝงอยู่ภายในรูปหอยสังข์อันแสดงถึงความเป็นมงคล เป็นที่รวมแห่งความเจริญหรือคุณความดีต่างๆ สำหรับความหมายของรูปสังข์นั้นคือ เป็นสัญลักษณ์ของน้ำ ซึ่งเป็นบ่อเกิดของความอุดมสมบูรณ์เป็นหนึ่งในสมบัติ 8 ประการ (อัษฏนิธิ) ของพระนางศรีลักษมี ซึ่งเป็นเทพีแห่งความอุดมสมบูรณ์ และต่อมาก็เป็นสมบัติของเทพกุเวร (เทพแห่งความมั่งคั่ง) ในประเทศอินเดีย สัญลักษณ์รูปสังข์มักปรากฏบนตราประทับของกษัตริย์สมัยคุปตะ (พุทธศตวรรษที่ 9-11) และสมัยหลังในความหมายว่าเป็นสังข์ของพระวิษณุ ดังนั้นอาจกล่าวได้ว่า “รูปสังข์” ที่ปรากฏบนเหรียญหมายถึงความมั่งคั่งที่ประทานโดยศรี ซึ่งพำนักอยู่ในพระมหากษัตริย์ที่มีทศพิธราชธรรม โดยจะนำความมั่งคั่งอุดมสมบูรณ์มาสู่บ้านเมืองที่พระองค์ปกครอง สัญลักษณ์รูปสังข์ปรากฏไม่มาก มักพบบนเหรียญโบราณของอินเดีย และมักไม่ปรากฏเดี่ยวๆ แต่จะปรากฏร่วมกับสัญลักษณ์อื่นๆ เท่าที่พบก็ปรากฏเป็นสัญลักษณ์ประกอบรูปดอกบัว บนเหรียญของพวกกทัมพะกษัตริย์พื้นเมืองของอินเดียใต้ และต่อมาก็ปรากฏบนด้านหลังของเหรียญรูปวัว ของกษัตริย์ราชวงศ์ปัลลวะ (พุทธศตวรรษที่ 11-15) จากลักษณะเหรียญที่มีตัวอักษรเว้าโค้งลงเล็กน้อยเหมือนท้องกะทะ สันนิษฐานว่า คงทำขึ้นเพื่อความสะดวก สำหรับใช้เป็นด้านที่มีการกดทับบ่อยๆ ฉะนั้นเหรียญอันนี้จึงน่าจะใช้เป็นแม่พิมพ์สำหรับกดทับดินเหนียว หรือวัตถุอื่นที่ใช้เป็นอุปกรณ์ในการกดประทับตรา เพื่อประโยชน์อย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น อาจจะใช้เป็นเครื่องหมายตอบรับแทนใบเสร็จ หรือใบรับรองหรือเพื่อใช้เป็นสัญลักษณ์ในการรับส่งวัสดุสิ่งของ ทั้งนี้เพื่อมุ่งประโยชน์ในการค้าขาย หรือแลกเปลี่ยนสิ่งของเป็นต้น อีกประการหนึ่ง อาจใช้เป็นเครื่องหมายในการผ่านด่านหรือผ่านทาง เพื่อการสัญจรไปมาระหว่างสถานที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่ง ทำนองเดียวกับหนังสือเดินทางในปัจจุบัน

ผู้สร้าง

ไม่ปรากฏหลักฐาน

การกำหนดอายุ

กำหนดอายุตามรูปแบบอักษรปัลลวะ อายุราวพุทธศตวรรษที่ 12

ข้อมูลอ้างอิง

เรียบเรียงข้อมูลโดย : ตรงใจ หุตางกูร, โครงการฐานข้อมูลจารึกในประเทศไทย, ศมส., 2547, จาก :
1) ก่องแก้ว วีระประจักษ์ และชะเอม แก้วคล้าย, “จารึกเมืองพรหมทิน 3,” ใน จารึกโบราณรุ่นแรกพบที่ลพบุรีและใกล้เคียง (กรุงเทพฯ : กรมศิลปากร, 2524), 18-20.
2) ภูธร ภูมะธน, “เหรียญเงินตราสมัยทวารวดีพบที่จังหวัดลพบุรี,” ศิลปากร 28, 4 (กันยายน 2527) : 55-63.
3) ก่องแก้ว วีระประจักษ์ และชะเอม แก้วคล้าย, “จารึกเหรียญเงินเมืองพรหมทิน 3,” ใน จารึกในประเทศไทย เล่ม 1 : อักษรปัลลวะ หลังปัลลวะ พุทธศตวรรษที่ 12-14 (กรุงเทพฯ : หอสมุดแห่งชาติ กรมศิลปากร, 2529), 112-115.
4) ภูธร ภูมะธน, “ทวารวดี ชื่อกษัตริย์? หรือ ชื่อเมือง?,” ใน ศิลปวัฒนธรรม 11, 7 (พฤษภาคม 2533), 104-113.
5) เมธินี จิระวัฒนา, “เหรียญตรารุ่นเก่าที่พบในประเทศไทย ระหว่างพุทธศตวรรษที่ 11-15,” ศิลปากร 34, 2 (มีนาคม-เมษายน 2534) : 69-86.
6) ผาสุข อินทราวุธ, “3.3.2 การใช้เหรียญโลหะมาตรฐานเป็นสื่อกลางการค้าขาย,” ใน ทวารวดี การศึกษาเชิงวิเคราะห์จากหลักฐานทางโบราณคดี (กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์อักษรสมัย, 2542), 124-133.

ภาพประกอบ

ภาพถ่ายจารึกจาก : วารสารศิลปากร ปีที่ 34 ฉบับที่ 2 (มีนาคม-เมษายน 2534)