พิพิธภัณฑ์พระ ประยูรภัณฑาคาร


พิพิธภัณฑ์พระ ประยูรภัณฑาคาร ตั้งอยู่ภายในวัดประยุรวงศาวาสวรวิหาร เดิมอาคารพิพิธภัณฑ์เป็นหอพรินทรปริยัติธรรมศาลาที่สร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2428 เพื่อเป็นที่ศึกษาพระปริยัติธรรมของพระภิกษุสามเณร ต่อมาในปี พ.ศ. 2459 กระทรวงธรรมการ ได้ใช้หอพรินทรปริยัติธรรมเป็นห้องสมุดประชาชนแห่งแรกในประเทศไทย หลังจากนั้นในปี พ.ศ.2550 มีการค้นพบพระบรมสารีริกธาตุองค์เดิมและวัตถุโบราณ จึงได้อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุของประเทศศรีลังกามาประดิษฐานไว้ พร้อมกับพระพุทธรูปและพระเครื่องในกรุที่ค้นพบ แล้วจัดทำเป็นพิพิธภัณฑ์เพื่อให้บุคคลทั่วไปได้เข้าชม

ที่อยู่:
วัดประยุรวงศาวาสวรวิหาร ถ.ประชาธิปก เขตธนบุรี กรุงเทพฯ 10600
โทรศัพท์:
02-465-5592
วันและเวลาทำการ:
เปิดทุกวัน 9.00-21.00 น.
ค่าเข้าชม:
ไม่เก็บค่าเข้าชม
อีเมล:
watprayoon@msn.com
ปีที่ก่อตั้ง:
2551
จัดการโดย:

โดย:

วันที่: 10 กุมภาพันธ์ 2555

โดย:

วันที่: 10 กุมภาพันธ์ 2555

โดย:

วันที่: 10 กุมภาพันธ์ 2555

โดย:

วันที่: 10 กุมภาพันธ์ 2555

โดย:

วันที่: 10 กุมภาพันธ์ 2555

โดย:

วันที่: 10 กุมภาพันธ์ 2555

โดย:

วันที่: 10 กุมภาพันธ์ 2555

ไม่มีข้อมูล

ชมเสาอิฐแกนกลางเจดีย์หนึ่งเดียวแห่งรัตนโกสินทร์ ที่“วัดประยูรฯ” คุณค่าสมรางวัลอนุรักษ์ยอดเยี่ยมจากยูเนสโก

ชื่อผู้แต่ง: หนุ่มลูกทุ่ง | ปีที่พิมพ์: 27 ก.ย. 2556;27-09-2013

ที่มา: ผู้จัดการออนไลน์

แหล่งค้นคว้า: ศมส.

โดย: ศมส.

วันที่: 18 มีนาคม 2558


ไม่มีข้อมูล

รีวิวของพิพิธภัณฑ์พระ ประยูรภัณฑาคาร

เมื่อก้าวเข้าไปยังบริเวณวัดประยุรวงศาวาสวรวิหาร สิ่งแรกที่โดดเด่นสะดุดตาคือ พระบรมธาตุมหาเจดีย์องค์ใหญ่สีขาวความสูงกว่า 60 เมตร ล้อมรอบด้วยพระเจดีย์องค์เล็กอีก 18 องค์โดยรอบ การบูรณปฏิสังขรณ์ครั้งล่าสุดทำเมื่อปี พ.ศ.2549 ในครั้งนั้นได้ทำให้ค้นพบกรุพระพุทธรูปโบราณและกรุพระเครื่อง อันเป็นที่มาของการก่อตั้งพิพิธภัณฑ์พระ ประยูรภัณฑาคาร

วัดประยุรวงศาวาสวรวิหาร เป็นวัดที่สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาประยุรวงศ์ (ดิศ บุนนาค) เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งเป็นเจ้าพระยาพระคลัง ว่าที่กรมท่า และสมุหพระกลาโหม ได้อุทิศสวนกาแฟสร้างเป็นวัดขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2371 ซึ่งมีอาณาเขตติดกับบ้านสมเด็จเจ้าพระยาฯ ครั้นเมื่อ พ.ศ. 2375 ได้ถวายเป็นพระอารามหลวงในสมัยรัชกาลพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชทานนามว่า "วัดประยุรวงศาวาส "ชาวบ้านนิยมเรียกว่า "วัดรั้วเหล็ก" เพราะมีรั้วเหล็กเป็นกำแพงวัดอยู่เป็นบางตอน รั้วเหล็กนี้สูงประมาณ 3 ศอกเศษ ทำเป็นรูปอาวุธคือ หอก ดาบ และขวาน (ขวานสามหมื่น ปืนสามกระบอก หอกสามแสน) มีลักษณะเป็นกำแพงและซุ้มประตูเล็กๆ เป็นตอนๆ 

อาคารสวยงามที่เห็นเชื่อมมาจากพระบรมธาตุมหาเจดีย์ คืออาคารที่ทำการพิพิพิธภัณฑ์ เดิมเจ้าพระยาภาสกรวงศ์ (พร บุนนาค) ได้สร้างศาลาต่อมุขพระบรมธาตุมหาเจดีย์นี้ขึ้น เพื่อเป็นที่ศึกษาพระปริยัติธรรมของพระภิกษุสามเณร เมื่อปี พ.ศ.2428 โดยอุทิศแด่ท่านลูกอินผู้มารดาและสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาประยูรวงศ์ ผู้บิดา เมื่อครั้งมารดามีอายุ 61 ปี จารึกนามศาลานั้นว่า "พรินทรปริยัติธรรมศาลา" 

ต่อมา พ.ศ.2459 กระทรวงธรรมการ (ปัจจุบันคือกระทรวงศึกษาธิการ) ได้ใช้หอพรินทรปริยัติธรรมศาลาเป็นห้องอ่านหนังสือสำหรับประชาชนในวัดเป็นแห่งแรก อยู่ในการกำกับดูแลของโรงเรียนหนังสือไทย สำนักวัดประยุรวงศาวาสวรวิหาร หอพรินทรปริยัติธรรมศาลาจึงเป็นห้องสมุดประชาชนแห่งแรกในประเทศไทย กรมศิลปากรได้ขึ้นทะเบียนอาคารหลังนี้เป็นศิลปโบราณสถานวัตถุของชาติ เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ.2492

ใน พ.ศ.2550 วัดประยุรวงศาวาสวรวิหาร ได้ทำการบูรณปฎิสังขรณ์หอพรินทรปริยัติธรรมศาลา จนแล้วเสร็จใน พ.ศ.2551 และจัดเป็นพิพิธภัณฑ์พระ มีชื่อว่า ประยูรภัณฑาคาร ที่แสดงพระกรุและของมีค่าที่ค้นพบบนองค์พระบรมธาตุมหาเจดีย์ และที่ผู้อื่นถวายสมทบในภายหลังด้วย และในโอกาสเดียวกันที่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารี เสด็จฯมาเป็นองค์ประธานในพิธีสมโภชพระอารามหลวง 180 ปี ได้ทรงประกอบพิธีเปิดพิพิธภัณฑ์พระ ประยูรภัณฑาคาร ในวันที่ 11 ธันวาคม พ.ศ.2551  

การค้นพบกรุเกิดขึ้นในวันที่ 4 พฤศจิกายน 2550 ตามความตั้งใจแรกของท่านเจ้าอาวาสคือ ศาสตราจารย์ ดร. พระธรรมโกศาจารย์ (ประยูร ธมฺมจิตฺโต) ท่านต้องการนำพระบรมสารีริกธาตุที่ได้อัญเชิญมาจากประเทศศรีลังกามาประดิษฐานไว้ส่วนบนของพระบรมธาตุมหาเจดีย์ ทำให้พบกรุที่ 1 ภายในกรุมีพระพุทธรูปโบราณถึง 270 องค์ อีกทั้งยังพบพระบรมสารีริกธาตุองค์ดั้งเดิมที่มีทองคำหุ้มอยู่ แล้วใส่ไว้ในภาชนะที่เรียกว่า “อูบ” ใกล้กันนั้นมีกระดานชนวนเขียนเรื่องราวเกี่ยวกับฤกษ์ยามและคำทำนายการค้นพบกรุนี้ เมื่อถอดความออกมาใจความตอนหนึ่งบอกว่า “พระสมุห์ปุ่น ดวงฤกษ์พระธรรมประจุพระเจดีย์...พระพุทธศาสนา 2450 เป็นส่วนอดีต 2549 เป็นส่วนอนาคต ขอให้เป็นปัจจัยแด่พระวิริยะอิกโพธิญาณในอนาคตกาลเทอญฯ”

อีกสองวันต่อมา ได้พบกรุที่ 2 ซึ่งบรรจุพระเครื่องเป็นจำนวนมาก โดยพระเครื่องจะอยู่ในบาตร ภายในบาตรพบแผ่นทองขนาดเท่าฝ่ามือ 3 แผ่น ทุกแผ่นมีจารึกภาษาไทยข้อความเดียวกันว่า “วันพุธที่ 1 มีนาคม 2504 ตรงกับวันมาฆบูชา เพ็ญกลางเดือน 4 ได้ทำการบรรจุพระบรมสารีริกธาตุที่พระเจดีย์นี้พร้อมด้วยพระเครื่อง 25 พุทธศตวรรษและพระเครื่องประเภทต่างๆ” ซึ่งพระเครื่องในกรุนี้มีนับพันองค์

ภายหลังจากค้นพบพระบรมสารีริธาตุองค์เดิมและวัตถุโบราณ ท่านเจ้าอาวาสได้อัญเชิญลงมา แล้วเททองเป็นรูปเจดีย์ทองคำ น้ำหนักกิโลกับสองขีด แล้วนำพระบรมสารีริกธาตุบรรจุ แล้วอัญเชิญประดิษฐานที่เดิม ส่วนพระบรมสารีริกฐาตุของประเทศศรีลังกาได้ตั้งไว้ในห้องพิพิธภัณฑ์ พร้อมกับพระพุทธรูปและพระเครื่องในกรุที่ 1 และกรุที่ 2 ท่านให้จัดทำเป็นพิพิธภัณฑ์ในห้องตรงฐานพระเจดีย์แล้วให้ชื่อว่า พิพิธภัณฑ์พระ ประยูรภัณฑาคาร 

คุณจตุพร สุปินะ ผู้ดูแลพิพิธภัณฑ์นี้ได้บอกว่า นอกจากพระพุทธรูปโบราณและพระเครื่องภายในกรุแล้ว ในเวลาต่อมาได้มีญาติโยมนำพระพุทธรูปมาให้ทางวัดเก็บรักษาด้วย ซึ่งคิดเป็นหนึ่งในสามของทั้งหมด และเนื่องจากที่นี่มีวัตถุโบราณมากมาย จึงได้จัดระบบการรักษาความปลอดภัยไว้อย่างเข้มงวด มีทั้งทีวีวงจรปิด มีรปภ.รักษาความปลอดภัยตลอด 24 ชม. และด้านหน้าวัดยังมีป้อมตำรวจ ที่ผ่านมายังไม่มีปัญหาการโจรกรรม ถ้าเคยมีจะเป็นการโจรกรรมตู้บริจาคในพระวิหาร

คุณสมพงษ์ หน่ออาย หนึ่งใน รปภ.ของพิพิธภัณฑ์ ได้ชี้ให้ดูสิ่งของจัดแสดงตู้หนึ่งตรงผนังด้านล่าง ทำให้ทราบว่าข้างบนสุดมีร่องรอยการขุดหาสมบัติ มีการทิ้งหลักฐานไว้เป็นขวดโซดา ชะแลง หนังสือพิมพ์ ถ่านไฟฉาย และก็มีกระดูกที่เผาแล้วแต่ไม่ปรากฏนาม การที่มีคนเข้าไปได้เนื่องจากข้างในจะเป็นซุงโอบด้วยอิฐ เป็นขนาดใหญ่ประมาณสี่คนโอบ และจะมีไม้ค้ำยัน ไม้ค้ำยันนี้สามารถไต่ขึ้นไปได้ เมื่อเวลาผ่านไปก่อนการบูรณะได้ปรากฏว่าแกนกลางนี้ล้ม ไม้ค้ำยันก็อยู่ในสภาพทรุดโทรม

จากพิพิธภัณฑ์มีประตูอีกด้านหนึ่ง เปิดเข้าไปยังระเบียงของพระบรมธาตุพระมหาเจดีย์ ตรงนี้มีพระพุทธรูป สามารถบูชาโดยใช้เทียนประจำวันเกิด และจุดธูปเทียนบูชาพระบรมสารีริกธาตุ ตรงฐานพระมหาเจดีย์ที่เห็นเป็นซุ้มประตูเป็นจำนวนมาก นั่นคือสถานที่บรรจุอัฐิของต้นตระกูลบุญนาคผู้สร้างวัด ถ้าเงยหน้าขึ้นไปข้างบนจะมองเห็นส่วนที่เก็บพระบรมสารีริกธาตุ 

หลังเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์ สถานที่สำคัญของวัดยังมีพระวิหาร อันเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปหล่อปางมารวิชัย สมัยสุโขทัย หน้าตักกว้าง 4.25 เมตร สูง 5.70 เมตร มีพระนามว่า พระพุทธนาค เป็นพระพุทธรูปโบราณคู่กับพระศรีศากยมุนี พระประธานในพระวิหารวัดสุทัศนเทพวราราม ภายในอาณาบริเวณวัดยังมีเขามอหรือเขาเต่าที่เป็นสวนสวยร่มรื่น

สาวิตรี ตลับแป้น /ผู้เขียน /ถ่ายภาพ

ข้อมูลจาก : 
สำรวจภาคสนามเมื่อวันที่ 20 เดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554
http://www.watprayoon.org/index.php?topgroupid=1&subgroupid=484&groupid=9 [Accessed 22/04/2011]
http://th.wikipedia.org/[Accessed 22/04/2011]

การเดินทาง : ถ้ามาทางฝั่งธนบุรี เข้าถนนประชาธิปก ชิดขวา(ก่อนขึ้นสะพานปกเกล้า) จะมีทางเบี่ยงด้านซ้าย (ก่อนขึ้นสะพานพุทธยอดฟ้าฯ) เป็นทางเข้าวัด มาทางฝั่งพระนคร ให้ขึ้นสะพานปกเกล้า เมื่อลงจากสะพานให้ชิดซ้าย เพื่ออ้อมใต้สะพาน ขับมาตามทาง จะพบประตูทางเข้าวัดประยูรฯอยู่ด้านขวา (ด้านซ้ายจะเป็นสะพานพุทธยอดฟ้าฯ)
ชื่อผู้แต่ง:
-

ชมเสาอิฐแกนกลางเจดีย์หนึ่งเดียวแห่งรัตนโกสินทร์ ที่“วัดประยูรฯ” คุณค่าสมรางวัลอนุรักษ์ยอดเยี่ยมจากยูเนสโก

หากใครเคยนั่งเรือหรือนั่งรถผ่านแถวสะพานพุทธยอดฟ้าฯ ถ้ามองไปทางฝั่งธนฯ ก็คงจะเคยเห็นเจดีย์สีขาวสะอาดชูยอดแหลมขึ้นสู่ท้องฟ้า เจดีย์องค์ที่เห็นนี้ก็คือ "พระบรมธาตุมหาเจดีย์" ของวัดประยุรวงศาวาสวรวิหาร ที่เมื่อปี 2550 เคยมีข่าวพบกรุพระบรมสารีริกธาตุและกรุพระต่างๆ ภายในองค์เจดีย์จนมีผู้ให้ความสนใจกันมากมาย มาในปีนี้พระบรมธาตุมหาเจดีย์องค์นี้ก็มีชื่อเสียงขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง เมื่อยูเนสโกได้ประกาศผลการประกวดโครงการอนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรมในภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก ประจำปี 2556
ชื่อผู้แต่ง:
-

ชื่อผู้แต่ง:
-