พิพิธภัณฑ์ศูนย์วัฒนธรรมลาวครั่งบ้านบ่อกรุ


ที่อยู่:
วัดบ่อกรุ เลขที่ 69 หมู่ 1 บ้านบ่อกรุ ตำบลบ่อกรุ อำเภอเดิมบางนางบวช 72120
โทรศัพท์:
035-575936
วันและเวลาทำการ:
วัน-เวลาราชการ (โปรดประสานงานล่วงหน้า)
ค่าเข้าชม:
ไม่เก็บค่าเข้าชม
เว็บไซต์:
ปีที่ก่อตั้ง:
2558
ของเด่น:
ผ้าทอลาวครั่ง, หมอนขิด, หิ้งผี
จัดการโดย:
ไม่มีข้อมูล

โดย:

วันที่: 29 มีนาคม 2561

ไม่มีข้อมูล
ไม่มีข้อมูล

ไม่มีข้อมูล

รีวิวของพิพิธภัณฑ์ศูนย์วัฒนธรรมลาวครั่งบ้านบ่อกรุ

ราวยี่สิบปีกว่าปี ประมาณปี 40 เริ่มหายไปแล้ว ไม่มีแล้ว เลยคุยกันว่า หากสิ่งเหล่านี้ไม่ได้เริ่มรักษากันไว้ เราจะเอาเรื่องเก่ามาเล่าให้คนรุ่นหลังกันอย่างไร ขนาดสมเด็จพระราชินีทรงว่า ผ้าของท้องถิ่นเป็นของดี แล้วภูมิปัญญาท้องถิ่นมีของดีเยอะ ให้ช่วยรักษากัน ...เราเองเห็นว่าสมเด็จพระราชินีทรงใส่ผ้าทอ ที่เป็นลาวครั่งเป็นผ้าซิ่นตีนจก ...แล้วเรามีของที่เป็นของดีทำไมไม่รักษา เลยจุดประกาย

พระครูโกมุทสุวรรณาภรณ์ เจ้าอาวาสวัดบ่อกรุ อำเภอเดิมบางนางบวช จังหวัดสุพรรณบุรี กล่าวถึงแรงบันดาลใจที่เริ่มต้นงานอนุรักษ์ลาวครั่ง ที่ผ้าทอลาวครั่งนั้นเป็นเอกลักษณ์และเป็นแรงบันดาลใจให้ท่านพระครูเริ่มเสาะแสวงหาและสะสมชิ้นงาน ก่อนการจัดตั้งเป็นพิพิธภัณฑ์ ศูนย์วัฒนธรรมลาวครั่ง บ่อกรุแห่งนี้ ท่านกล่าวเสริมต่อไปว่า “ผ้าเป็นอัตลักษณ์ ซึ่งแสดงให้เห็นความแตกต่างระหว่างลาวครั่งกับลาวเวียง ลาวครั่งมีลายผ้าเฉพาะจริง ไม่เหมือนที่อื่น ลวดลายแสดงถึงภูมิปัญญาโบราณ ในอดีตนั้น ชาวบ้านมีวิถีว่า ทำเกษตรกรรมเสร็จแล้ว เก็บเกี่ยวแล้ว เขาถึงจะมานั่งทำกัน (ทอผ้า) เขาใช้เวลาว่างทำ ผ้าทำไว้ใช้ แต่ไม่จำเป็นว่าต้องทำไว้ขาย ส่วนมากคือทำไว้ใช้ในงานบุญ งานแต่ง งานทำบุญบ้าน หรือมอบไว้ให้กับลูกหลานเป็นที่ระลึก ไม่ได้ทำขาย เขาจะสอนลูกหลานให้จับลายอย่างนี้ อย่างลายตีนช้าง คนจะรู้ว่าผู้เฒ่าที่สอน เราคุยกับโยมสมจิตต์ (นักอนุรักษ์ในตำบลใกล้เคียง ซึ่งปัจจุบันเสียชีวิตไปแล้ว) ว่าผ้าเราขายไปข้างนอกหมด อีกหน่อยเราจะมีของดีกับท้องถิ่นว่าจะเหลืออะไรให้ลูกหลานได้เห็นบ้าง”

นี่เองได้กลายเป็นแรงบันดาลใจให้ท่านพระครูฯ ใช้เงินส่วนตัวสะสมผ้าซึ่งนับตั้งแต่ช่วงทศวรรษ 2540 จนถึงปัจจุบันมีผ้าที่เป็นสิ่งสะสมและกลายเป็นวัตถุที่จัดแสดงในพิพิธภัณฑ์กว่า 300 ผืน การฟื้นฟูและการอนุรักษ์วัฒนธรรมลาวครั่งไม่เพียงแต่การสะสมผ้าเก่าที่เป็นผ้าของสมาชิกในชุมชนเท่านั้น หากแต่ท่านพระครูยังได้ฟื้นฟูให้การทอผ้ากลายเป็นรายได้สำคัญของกลุ่มสตรีที่สามารถใช้หาเงินจุนเจือครอบครัว โดยวัดจะทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางในการรับซื้อและจำหน่ายผ้าทอลาวครั่งให้กับผู้ที่สนใจ

นอกเหนือจากการฟื้นฟูการทอผ้าลางครั่งจนกลายเป็นงานที่สร้างรายได้ให้กับชุมชน ท่านพระครูโกมุทยังเน้นวัฒนธรรมประเพณีวิถีท้องถิ่นชุมชนลาวครั่ง ซึ่งมีการส่งเสริมการแต่งกายด้วยซิ่นหมี่ขิดอันเป็นเอกลักษณ์ของลาวครั่งในงานสำคัญ ๆ รวมถึงการสืบทอดประเพณีเก่า เช่น รำฟ้อน เป่าแคน บายศรีสู่ขวัญ ทำบายศรี และงานที่มีความสำคัญอย่างยิ่งนั่นคือ “ประเพณีบุญเดือนสี่” เป็นประเพณีที่ลูกหลานจะมาแห่ผ้าห่อผ้าพระธาตุหลวง ซึ่งเป็นการจำลองเจดีย์หลวงจากฝั่งลาว และงานยกธง ในวันที่ 19 เมษายน ทุกปีไป ท่านพระครูยังได้กล่าวถึงเรื่องราวของการโยกย้ายชุมชนชาวลาวครั่งมาจากฝั่งลาว มาพึ่งพระบรมโพธิสมภารตั้งแต่แผ่นดินพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก

 สำหรับการจัดตั้งเป็นพิพิธภัณฑ์นั้น ท่านพระครูใช้ศาลาเดิมของวัด และปิดผนังเป็นกระจกโดยรอบ จนกลายเป็นอาคารชั้นเดียว เงินส่วนหนึ่งได้รับจากการบริจาคเช่นเดียวกับข้าวของที่ได้รับการเก็บรักษาไว้ภายใน “เราไปเก็บมาเอง หนึ่ง สอง บ้านที่มีของเก่าดั้งเดิมบริจาคเข้ามาในพื้นที่ เขาอยากให้เอาไว้ ด้วยจิตที่ว่า ของเก่าถ้าเราไม่เห็นประโยชน์ในปัจจุบัน อาจจะเกิดประโยชน์กับลูกหลานรุ่นหลัง เพราะสิ่งเหล่านั้นจะไม่มี ณ กาลข้างหน้า...ผู้เฒ่ารุ่นเก่าเขาใช้วิถีอย่างไร เขาเลยบริจาคกันมาแต่ละอย่างเลยเอามารวบรวมไว้ แม้กระทั่งตำราสมุนไพรโบราณ ที่ผู้เฒ่ารุ่นเก่าเขาเสียแล้วและเป็นมรดกตกทอด ก็ได้รับมา แต่เป็นตัวขอมลาวเก่า ขอมตัวธรรมโบราณ ในตอนนี้ได้รับความช่วยเหลือจากมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ที่สนใจหนังสือโบราณในการปริวรรต จะกลายเป็นประโยชน์ในอนาคต”

เมื่อเข้าสู่อาคารพิพิธภัณฑ์ สิ่งจัดแสดงได้รับการจัดเก็บรักษาไว้ในตู้ไม้ ส่วนใหญ่เป็นตู้บริจาค จากทางเข้าประตูทางซ้ายมือเป็นข้าวของเครื่องใช้ของวัด เช่นปั้นชา เครื่องทองเหลือง และเครื่องกระเบื้องต่าง ๆ จากนั้น เป็นมุมของการบอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับความเชื่อของชุมชนหิ้งผี ซึ่งเป็นที่นับถือในแต่ละครัวเรือน หมายถึงผีบรรพบุรุษ รวมถึงการจัดชุดบายศรีสู่ขวัญ ภัทญา (กบ) อัยรัตน์ หนึ่งในสมาชิกชมรมอนุรักษ์วัฒนธรรมลาวครั่งกล่าวเพิ่มเติมด้วยว่า สำหรับผู้ที่มาเยือนยังบ้านบ่อกรุ หากประสานงานไว้ล่วงหน้า ก็สามารถสาธิตการทำบายศรีสู่ขวัญอันเป็นเอกลักษณ์ของชาวลาวครั่งด้วย “ยาวที่มีแขกบ้านแขกเมืองมาเยือน มีพิธีบายศรีสู่ขวัญ โดยปกติ เรามีการทำพิธี มีหมอสู่ขวัญให้เรา มีเครื่องตั้ง เหล้า ไก่ อาหารคาวหวาน ผลไม้ มีดนตรีประกอบคือหมอแคน อย่างน้อยต้องมีหมอแคนหนึ่งคน เพื่อมาเป่าประโคมรับขวัญ”

สิ่งสะสมที่ปรากฏโดยส่วนใหญ่เป็นผ้าทอที่จัดเรียงไว้ในตู้ ผ้าแต่ละผืนได้รับการพับและแสดงลาวลายในลักษณะต่าง ๆ ภัทญา อัยรัตน์ กล่าวว่าผ้าทั้งหมดมีการขึ้นทะเบียนโดยอาสาสมัครที่สนใจเกี่ยวกับเรื่องผ้าทอ จึงทำให้ทราบว่ามีผ้าเอกลักษณ์ลาวครั่งกว่า 300 ผืน “ผ้าที่เป็นหมี่โลด หมายถึงการทอไปทีเดียว ไม่มีการสลับกับขิด บางผืนเป็นหมี่สับขิด ส่วนหมี่ตา หมายถึง ลายผ้าที่เป็นช่องยาวลง และสลับขิด อีกส่วนหนึ่งเป็นหมี่น้อย ลักษณะใกล้เคียงกับผ้าลาวเวียง” นอกเหนือจากผ้าทอเป็นผืนที่เป็นสิ่งสะสมแล้ว ยังมีการจัดแสดงเครื่องแต่งกายทั้งหญิงและชาย แสดงให้เห็นเสื้อผ้าทั้งที่เป็นทางการ ผ้าซิ่นที่มีองค์ประกอบของหัว ตัว และตีนซิ่น ส่วนของผู้ชายเป็นผ้าโจงกระเบนและเสื้อแขนกระบอกกระดุมหน้า ภัทญา อัยรัตน์ ให้คำอธิบายเกี่ยวกับเครื่องแต่งกายด้วยว่า

ฝ้ายนั้นใช้ในชีวิตประจำวัน เรียกว่า ผ้าซิ่นฝ้าย บางคนทอผสมฝ้ายแกมไหม ทอตัวเป็นฝ้าย แล้วในลายโดยใช้ไหม ...ถ้าสังเกตให้ดี ไหมจะวาว ๆ ไหมหากยังไม่ย้อมสีจะเป็นสีขาว เสร็จแล้วจะไปย้อม สีหลัก ๆ ดำ แดง เขียวสีซิ่ว ซึ่งเป็นเปลือกไม้ ขมิ้นหรือแก่นคูนได้สีเหลือง ส่วนครั่งได้สีแดง ทำไมเรียกเราว่าลาวครั่ง เพราะเราย้อมด้วยครั่ง ครั่งที่เป็นสัตว์
ที่สำคัญวันแต่งงาน เจ้าสาว หรือแม่ หรือยาย ต้องช่วยกันทอซิ่น เป็นผืนที่มีความสำคัญในวันแต่งงาน ให้เจ้าสาวใส่
[ในหุ่น] บางทีจะมีผ้าเบี่ยงอีก เป็นผ้าข้าวม้า เป็นผ้าทอ แต่ไม่มีบันทึก เมื่อจำความได้ บางครั้งใส่เสื้อแบบนี้บ้าง แต่ซิ่นใช้ เป็นซิ่นตีนแดง ไม่สักขิด ส่วนอันนี้ เสื้อผู้ชาย วิธีการนุ่งผ้า เราจะนุ่งเป็นโสร่ง เมื่อเราต้องออกไปกิจกรรมนอกบ้าน จะมานุ่งใหม่ เป็นโจงกระเบน เพื่อเป็นการให้เกียรติกับสถานที่ที่เราเดินไป นุ่งเป็นโจงกระเบนให้เรียบร้อย
ผู้เขียนเห็นภาพเก่าภาพหนึ่งประดับไว้หน้าเหนือตู้ไม้ที่เก็บหมอนขิดซึ่งเป็นชิ้นงานสะสมอีกส่วนหนึ่งของพิพิธภัณฑ์ ภัทยา อัยรัตน์ ให้คำอธิบายว่า ภาพถ่ายหมู่ดังกล่าวเป็นงานฌาปนกิจอดีตเจ้าอาวาส หรือ หลวงพ่อมณเฑียร ราวปี 2523-2524 เป็นงานพระราชทานเพลิงศพ ของอดีตเจ้าอาวาสองค์ที่สี่ “การแต่งกายเอกลักษณ์ของท้องถิ่นที่ใส่ผ้าซิ่นตีนแดงมา ซึ่งเป็นชุดเครื่องแต่งกายของเราในการรับไฟพระราชทาน”

เมื่อผู้เขียนสอบถามถึงภาพในอนาคตของพิพิธภัณฑ์ศูนย์วัฒนธรรมลาวครั่ง บ่อกรุ ท่านพระครูโกมุทสุวรรณาภรณ์กล่าวถึงความร่วมมือกับโรงเรียนภายในชุมชน ในปัจจุบัน มีการถ่ายทอดการทอผ้าให้กับลูกหลานของชุมชน ในวันข้างหน้า ศูนย์วัฒนธรรมแห่งนี้จะต้องพร้อมสำหรับการถ่ายทอดความรู้ต่าง ๆ เกี่ยวกับวัฒนธรรมลาวครั่ง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของผ้าทอ การใช้ภาษาลาวซี ลาวครั่ง การแต่งกาย ประเพณีสารทลาว การแต่งงานที่จะต้องพิธีบูชาผีเทวดาผีเจ้านาย และที่สำคัญ คือการถ่ายทอดความหมายของประเพณีการยกธงสงกรานต์ ที่เกี่ยวข้องกับการตั้งถิ่นฐานในบ้านบ่อกรุ ซึ่งเป็นอาณาบริเวณที่มีความอุดมสมบูรณ์ การยกธงจึงสะท้อนให้เห็นการเอาฤกษ์เอาชัยและความสำเร็จในการตั้งถิ่นฐานแห่งนี้.

ชีวสิทธิ์ บุณยเกียรติ เขียน
สำรวจวันที่ 15 มกราคม 2561
ชื่อผู้แต่ง:
-