พิพิธภัณฑ์เพื่อการศึกษา วัดหนังราชวรวิหาร


ที่อยู่:
200 ซอยวุฒากาศ 42 ถ.วุฒากาศ แขวงบางค้อ เขตจอมทอง กรุงเทพฯ 10150
โทรศัพท์:
089-792-1131,087-009-2900
วันและเวลาทำการ:
เปิดทุกวัน 13.00 -16.00 น. กรุณานัดหมายล่วงหน้า
ค่าเข้าชม:
ไม่เก็บค่าเข้าชม
เว็บไซต์:
ปีที่ก่อตั้ง:
2545
ของเด่น:
วิถีวัฒนธรรมชาวสวนฝั่งธนบุรี,ภาพเก่าหลวงปู่เอี่ยม,ตาลปัตร,เครื่องสังเค็ดสมัยรัชกาลที่ 5,ตะเกียงวอชิงตัน,เครื่องมือเครื่องใช้ชาวสวน,ตำรายา
จัดการโดย:

โดย:

วันที่: 10 กุมภาพันธ์ 2555

โดย:

วันที่: 10 กุมภาพันธ์ 2555

โดย:

วันที่: 10 กุมภาพันธ์ 2555

โดย:

วันที่: 10 กุมภาพันธ์ 2555

โดย:

วันที่: 10 กุมภาพันธ์ 2555

โดย:

วันที่: 10 กุมภาพันธ์ 2555

โดย:

วันที่: 10 กุมภาพันธ์ 2555

โดย:

วันที่: 10 กุมภาพันธ์ 2555

ไม่มีข้อมูล
ไม่มีข้อมูล

ประวัติวัดหนัง ราชวรวิหาร

ชื่อผู้แต่ง: พระวิเชียรกวี(ฉัตร อินฺทสุวณฺโณ) | ปีที่พิมพ์: 2551

ที่มา: กรุงเทพฯ:วัดหนัง ราชวรวิหาร

แหล่งค้นคว้า: ศมส.

โดย: ศมส.

วันที่: 13 มีนาคม 2555

เยือนวัดหนังฯ อมตะหลวงปู่เอี่ยมพิพิธภัณฑ์ชีวิตไทย

ชื่อผู้แต่ง: มนตรี จิรพรพนิต | ปีที่พิมพ์: 25-02-2551

ที่มา: ข่าวสด

แหล่งค้นคว้า: ศมส.

โดย: ศมส.

วันที่: 13 มีนาคม 2555

พิพิธภัณฑ์ฯ วัดหนัง แขวงบางค้อ เขตจอมทอง กทม.

ชื่อผู้แต่ง: สุจิตต์ วงษ์เทศ | ปีที่พิมพ์: 4-12-2551

ที่มา: มติชนรายวัน(คอลัมน์ สยามประเทศไทย)

แหล่งค้นคว้า: ศมส.

โดย: ศมส.

วันที่: 13 มีนาคม 2555

"วัดหนัง” มนต์ขลังวัดงามย่านฝั่งธน

ชื่อผู้แต่ง: หนุ่มลูกทุ่ง | ปีที่พิมพ์: 24-02-2552

ที่มา: ASTVผู้จัดการออนไลน์

แหล่งค้นคว้า: ศมส.

โดย: ศมส.

วันที่: 13 มีนาคม 2555

ดูลิงค์ต้นฉบับ

พิพิธภัณฑ์เพื่อการศึกษาวัดหนังราชวรวิหาร

ชื่อผู้แต่ง: | ปีที่พิมพ์: 18 เมษายน 2554

ที่มา: มติชนรายวัน

แหล่งค้นคว้า: ศมส.

โดย: ศมส.

วันที่: 13 มีนาคม 2555

ดูลิงค์ต้นฉบับ

ไหว้พระงาม ชมจิตรกรรมอลังการรับปีใหม่ ในวัดย่านจอมทอง-บางขุนเทียน

ชื่อผู้แต่ง: หนุ่มลูกทุ่ง | ปีที่พิมพ์: 2 ม.ค. 2556;02-01-2013

ที่มา: ผู้จัดการออนไลน์

แหล่งค้นคว้า: ศมส.

โดย: ศมส.

วันที่: 27 มีนาคม 2558

ดูลิงค์ต้นฉบับ


“วัดหนัง” หรือ “วัดหนังราชวรวิหาร” ในปัจจุบันนั้น มีอายุนับย้อนไปได้ร่วมสามร้อยปี ตามประวัติวัดนั้นสร้างเมื่อ พ.ศ.2260 หรือประมาณรัชสมัยพระเจ้าท้ายสระ มีพระมหาพุทธิรักขิตกับหมื่นเพ็ชร์พิจิตรเป็นผู้สร้าง หลักฐานนี้ได้มาจาก จารึกที่ระฆังใบเก่าในวัด สมัยก่อนแถววัดหนังอยู่เขตอำเภอบางขุนเทียน จังหวัดธนบุรี เมื่อรวมธนบุรีเข้ามาเป็นกรุงเทพฯฝั่งตะวันตก วัดหนังก็ย้ายเข้ามาอยู่ในเขตจอมทอง  กรุงเทพมหานคร  ยังปรากฏป้ายเก่าของวัดขณะที่ยังสังกัดจังหวัดธนบุรีใน “พิพิธภัณฑ์เพื่อการศึกษา” ที่จัดขึ้นภายในวัดโดย พระครูสมุห์ไพฑูรย์ สุภาฑโร และบรรดาลูกศิษย์ลูกหาในย่านวัดหนังช่วยกันประกอบสร้างขึ้น ท่านพระครูเล่าเรื่องชื่อของวัดให้ฟังว่า ที่ชื่อวัดหนังนั้นสันนิษฐานได้ 2 เรื่องคือ 1) เมื่อก่อนมีการทำตัวหนัง  ที่วัดนี้เป็นจำนวนมาก กับ 2) ตั้งแต่สมัยสร้างวัดนั้น มีการทำกลองกันอย่างเป็นล่ำเป็นสัน ณ บริเวรลานวัดมีหนังตากแห้งเตรียมรอขึ้นหน้ากลองอยู่เต็มลาน ชาวบ้านร้านตลาดจึงเรียนวัดนี้ว่า “วัดหนัง”  

วัดหนังเป็นวัดเก่าแก่ในย่านนี้ และมีวัดในแถบใกล้ๆกันอีกหลายวัดจนมีเรื่องเล่าว่า วัดในแถบนี้มีวัดสามพี่น้องคือ วัดหนัง  วัดนางนอน และวัดราชโอรสารามราชวรวิหาร และที่ใกล้กันนั้นก็มีวัดศาลาครึนด้วย วัดนางนองรชวรวิหารและวัดราชโอรสารามราชวรวิหารนั้นบูรณะในสมัยรัชกาลที่ 3 ซึ่งศิลปะที่ปรากฏอยู่ที่วัดนั้นส่วนใหญ่จะเป็นศิลปะแบบจีน  มีประดับกระเบื้องจีนตามหน้าจั่วของโบสถ์และวิหารของวัด ส่วนวัดหนังนี้พระราชมารดาของรัชกาลที่ 3 ทรงให้มีการบูรณะปฏิสังขรณ์วัดหนังขึ้นใหม่ แต่ให้มีความเป็นไทยผสมอยู่มากกว่าวัดนางนองและวัดราชโอรสารามฯ แต่ก็ยังมีศิลปะแบบจีนปนอยู่บ้าง 

“พิพิธภัณฑ์เพื่อการศึกษา” ฟังดูในทีแรกเข้าใจไปว่าเป็นพิพิธภัณฑ์ที่เกี่ยวกับระบบการศึกษาของไทย แต่เมื่อมาถึงพิพิธภัณฑ์ฯ จึงทราบวัตถุประสงค์ของท่านพระครูสมุห์ไพฑูรย์ สุภาฑโร ที่ต้องการให้พิพิธภัณฑ์นี้จัดขึ้นเพื่อการศึกษา ให้ผู้เข้าชมได้มาศึกษามาเรียนรู้ ไม่ได้กล่าวถึงระบบการศึกษาโดยเฉพาะอย่างเดียว  สิ่งของจัดแสดงส่วนใหญ่กว่า 95 %  เป็นสิ่งของที่ทางวัดมีอยู่แล้ว เก่าแก่ไปตามเวลาเก็บอยู่ในห้องเก็บของ ท่านพระครูฯ เห็นว่าเก็บไว้ก็เสียเปล่า  น่าจะทำให้เกิดประโยชน์แก่คนทั่วไป 

เมื่อประมาณปี พ.ศ.2550 เจ้าอาวาสและลูกวัดจึงมีดำริร่วมกันว่า  น่าจะทำการซ่อมแซมกุฏิของพระสงฆ์ให้ดีขึ้น และจัดสรรอาคารหลังหนึ่งที่เป็นกุฏิเก่ามาเป็นส่วนจัดแสดงสิ่งของเก่าแก่ของวัด เป็นที่น่าสังเกตว่า ตัวพิพิธภัณฑ์ตั้งอยู่ท่ามกลางหมู่กุฏิสงฆ์  แต่ท่านพระครูก็ได้เฉลยให้ฟังว่า เป็นแนวทางหนึ่งในการช่วยกันดูแล  การมีกุฏิอยู่รายรอบถือว่าเป็นการรักษาความปลอดภัยของพิพิธภัณฑ์ไปด้วยในตัว และการเข้าชมก็ต้องติดต่อมาก่อน  เพื่อจะได้เตรียมตัวเอาไว้ ท่านพระครูให้ข้อสังเกตว่า ท่านอยากให้คนที่มาดูได้รับฟังการบรรยายจากผู้ดูแลมิใช่เพียงแค่เดินเข้ามาดูแล้วก็ออกไป ไม่ได้เกิดการเรียนรู้ขึ้นเลย  การที่ผู้เข้ามาเยี่ยมชมได้รับฟังและบางครั้งก็อาจมีการแลกเปลี่ยนความคิดกัน  ถือได้ว่าเป็นการเรียนรู้ด้วยกันทั้งสองฝ่าย

 วิธีการจัดรูปแบบการจัดแสดง  ท่านพระครูฯกับบรรดาสหายก็ช่วยกันออกแบบจัดวางและลงมือจัดทำเองทุกส่วน  เรียกว่าทั้งพิพิธภัณฑ์ไม่ได้จ้างบริษัทมาทำเลยนอกจากการก่อสร้างอาคารเท่านั้น พิพิธภัณฑ์แล้วเสร็จช่วงเดือนมกราคม พ.ศ.2551 ที่ผ่านมานี่เอง แต่ยังไม่ได้เปิดอย่างเป็นทางการ กำลังรอให้พระอุโบสถที่กำลังก่อสร้างแล้วเสร็จ  และจะทูลเชิญสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ มาเปิดพร้อมกัน แต่ขณะนี้ก็สามารถเข้าชมได้ตามปกติ

ส่วนจัดแสดงต่างๆภายในพิพิธภัณฑ์ฯ แบ่งออกเป็น 2  ชั้น ชั้นล่างจัดเป็นพิพิธภัณฑ์เพื่อการศึกษาประวัติศาสตร์ของพื้นที่ในเขตจอมทอง แถบวัดหนังนี้และวิถีชีวิตในอดีตของชาวบ้านในย่านวัดหนังส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตรกรรมเป็นหลัก เช่น ทำสวนผลไม้ สวนผัก ส่วนแรกเมื่อเข้าไปเป็นเรื่องเล่าเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของพื้นที่แถบนี้ ประวัติของวัดโดยคร่าวๆ รวมถึงจัดแสดงสิ่งของโบราณที่พบภายในวัด ทั้งระฆังโบราณที่มีอายุเกือบ 300 ปี ที่อยู่คู่วัดมาตั้งแต่เริ่มแรก อิฐเก่าที่ขุดพบในบริเวณวัดลึกลงไปกว่า 1 เมตร ท่านพระครูฯ เล่าว่าบริเวณลานวัดหนังนี้ถ้าขุดลงไปจากชั้นซีเมนต์ก็จะพบชั้นของอิฐ สองระดับ ระดับแรกคาดว่าปูไว้เมื่อประมาณ 40-50 ปีที่ผ่านมา  แต่ลึกลงไปอีกคาดว่าจะเป็นอิฐตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 3 ก็เป็นได้ ขนาดของก้อนอิฐก็ไม่เท่ากันอิฐชั้นแรกก้อนเล็กๆเหมือนอิฐแดงที่ใช้กันในปัจจุบัน แต่อิฐชั้นที่สองก้อนใหญ่กว่ามาก  ท่านพระครูฯบอกว่า เปรียบเทียบกับรูปเก่าของวัดหนังที่ถ่ายเอาไว้อิฐชั้นที่สองที่อยู่ข้างใต้น่าจะเก่ากว่าสมัยรัชการที่ 5 

นอกจากนี้ยังมีภาพแผนที่ของกรุงรัตน์โกสินทร์ในอดีต เน้นคลองด่านซึ่งไหลผ่านทางหน้าวัด ที่จะลัดไปออกปากอ่าวได้ แต่ไม่เหมาะที่เรือใหญ่จะออกได้ ส่วนใหญ่ในอดีตก็จะเป็นเส้นทางการเดินเรือไปบางช้าง อัมพวา ซึ่งคลองด่านนี้พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวฯ เคยทรงเสด็จประพาสทางน้ำมาขึ้นที่ท่าน้ำหน้าวัดมาแล้ว  สมัยเดียวกับพระพุทธเจ้าหลวงนั้นเจ้าอาวาสของวัดหนังเป็นพระที่มีชื่อเสียงมาก คือ หลวงปู่เอี่ยม หรือ พระภาวนาโกศลเถระ  ท่านพระครูถ่ายทอดให้ฟังว่า “วัดหนังเราอาจจะไม่มีชื่อเสียงโด่งดัง หรือสวยงามมากนัก แต่ถ้าในตลาดพระแล้ว พระหลวงปู่เอี่ยมวัดหนัง ดังมากราคาไม่เคยตก ขี้เหร่หน่อยก็หลักแสน แต่ที่ดีจริงๆ ก็หลักล้าน ถามเซียนพระที่ไหนก็ได้” 
“บางช้างสวนนอก  บางกอกสวนใน” เป็นคำโบราณที่กล่าวถึงพื้นที่ในสองส่วนคือ พื้นที่เรือกสวนไร่นาตั้งแต่สมัยต้นรัตนโกสินทร์ของแทบบางขุนเทียน กับพื้นที่สวนของบางช้างอัมพวา จังหวัดสมุทรสงคราม เป็นคำบอกเล่าของคนเฒ่าคนแก่ที่เล่าต่อลูกหลานกันมา  ในพิพิธภัณฑ์ส่วนที่ 2 จะเล่าเรื่องอดีตของพื้นที่สวนย่านวัดหนังนี้ เป็นย่านทำสวนของกรงุเทพฯเลยก็ว่าได้ สมัยก่อนมีคนจีนอพยพเข้ามาทำสวนผักใกล้วัด   ห่างออกไปก็มีสวนลิ้นจี่ ชมพู่มะเหมี่ยว มะยม มะพร้าว หมาก พลู ที่ส่วนใหญ่คนไทยทำ  มีการจัดแสดงเครื่องไม้เครื่องมือเกษตรกรรมหลายรูปแบบที่เกี่ยวเนื่องกับการทำสวนของแทบนี้  ที่น่าสนใจและถือเป็นภูมิปัญญาที่น่ารักคือ “ตะขาบ” รูปร่างของมันไม่เหมือนตะขาบ แต่ก็เรียกตะขาบ ประโยชน์ คือ ทำให้เกิดเสียงเพื่อไล่สัตว์เล็กสัตว์น้อยที่จะมากัดกินผลไม้ในสวนให้เสียหาย วิธีการใช้คือ ผูกโยงระหว่างต้นไม้ให้ทั่วสวนแล้วลากสายมาที่บ้าน แล้วกระตุกเป็นช่วงเวลา ทำสัก 10 นาทีต่อครั้ง  ทำทั้งวันทั้งคืน จะเกิดเสียงดังมากทำให้พวกกระรอกหรือนกที่จะมากัดกินผงไม้ในสวนตกใจหนีไป  บางครั้งแต่ละสวนก็จะกระตุกตะขาบแข็งเสียงกันเป็นความสนุกพื้นบ้านที่หาไม่ได้อีกแล้ว

นอกจากนี้ยังจัดแสดงเครื่องไม้เครื่องมือในสวน เช่น เชือกกล้วยที่ถักเป็น “ปลอก” ใช้คล้องกับขาอ้อมต้นหมากแล้วปีน เพื่อให้เกิดแรงเหนี่ยวจนสามารถปีนขึ้นต้นหมากได้ ท่านพระครูเล่าว่า เวลาฝนตกถ้าปีนต้นมะพร้าวก็ยังพอได้เพราะเปลือกต้นมะพร้าวค่อนข้างสาก แต่ต้นหมากนั้นมันลื่น ให้ใช้ปลอกช่วยในการปีนจะขึ้นได้ง่ายกว่า ให้มันล๊อคเท้าเอาไว้ไม่ให้ลื่นลงมาได้ นอกจากนี้ยังมีพลั่วสองแบบ แบบสานเอาไว้วักน้ำรถต้นไม้  กับแบบเหล็กเอาตักขี้เลนมาโปะบนร่อง ระหัดวิดน้ำแบบใช้แรงคน เอาไว้วิดน้ำข้ามร่อง ซึ่งความยาวของระหัดก็จะขึ้นอยู่กับขนาดของร่องด้วย กระบอกฉีดยาฆ่าแมลงแบบเก่าที่รูปร่างเหมือนท่อพีวีซีแรงดันน้ำที่เอามาใช้เล่นสงกรานต์ในสมัยนี้  และยังมีรูปถ่ายเก่าของเรือกสวนในย่านวัดหนังในอดีตให้ดู    ไม่น่าเชื่อว่า  เมื่อก่อนแถววัดหนังจะมีสวนลิ้นจี่กับเขาด้วย   ท่านพระครูฯ บอกว่าลิ้นจี่ของที่นี่จะเป็นพันธุ์เดียวกับที่อัมพวาเขาปลูกกัน ท่านสันนิษฐานว่า ที่อัมพวาน่าจะเอาพันธุ์ลิ้นจี่จากที่นี่ไปปลูกที่โน่น ผู้เขียนไม่แน่ใจเหมือนกันว่าใครปลูกก่อนกันแน่ อันนี้ต้องสืบประวัติกันอีกที

จากสวนเราก็ย้ายเข้าบ้าน  ในพิพิธภัณฑ์ได้จัดแบ่งสัดส่วนของพื้นที่ไว้หลายส่วนด้วยกัน  ส่วนหนึ่งในนั้นคือห้องครัวเตาไฟแบบสมัยก่อน โดยอนุญาตให้ผู้ชมที่สนใจได้ทดลองหยิบจับอุปกรณ์ต่างๆได้  เพื่อจะได้เข้าใจถึงวิธีใช้ข้าวของต่างๆในครัว  ถัดจากครัวซึ่งเชื่อมกับห้องนอนเล็กที่จัดไว้เหมือนมีคนอยู่จริง  เครื่องเสียงโบราณที่ยังเล่นได้ เด็กๆจะชอบทุกครั้งที่เข้าชม  ท่านพระครูได้เปิดเครื่องเสียงโบราณให้ฟัง  โครงเตียงนอนที่เจ้าของยกมาบริจาคที่วัดหนัง พระท่านก็ดัดแปลงฝาโลงมาปูแทนกระดานเตียง ถือว่าเป็นการปลงสังขารไปด้วยในตัว ด้านหน้าห้องนอนจะมีส่วนอาบน้ำเล็กๆ ที่เคยเห็นตาทวดกับยายเฒ่าอาบน้ำกันสมัยก่อน ซึ่งมีเพียงม้านั่งตัวเล็ก โอ่งน้ำแล้วก็ขันอาบน้ำเท่านั้น ฝากระดานกั้นสายตาก็ไม่มี  โล่งเสียจนน่าเสียวไส้

เด็กๆ ที่บ้านอยู่ใกล้วัดมาเมียงมองอยากจะเข้ามาเล่นในพิพิธภัณฑ์ “เพิ่งถึงตรงนี้เองเหรอ” เสียงเล็กๆลอดมาจากลูกกรงหน้าต่าง จนต้องอมยิ้ม เมื่อก่อนบ้านเมืองสยามยังไม่มีไฟฟ้าใช้ เขาใช้อะไรล่ะ ก็ตะเกียงไง ตู้เรียงรายพิงข้างฝาเอาไว้ภายในมีตะเกียงรูปร่างต่างๆ น่ารักและสวยงาม เมื่อก่อนตะเกียงเล็กๆ เหล่านี้เป็นของชำร่วยเอาไว้แจกกันเมื่อมีงานในโอกาสต่างๆ ตะเกียงที่ถือว่าเด่นของส่วนจัดแสดงนี้คือตะเกียงแขวน สองดวงใหญ่ที่ท่านพระครูเล่าว่ามีใช้ในสมัยรัชกาลที่ 5 รัชกาลที่ 6 ส่วนใหญ่จะใช้จุดเวลามีการแสดง ปล่อยเชือกลงมาจุดไฟให้ติดก่อนแล้วค่อยชักขึ้นไปส่องสว่างเป็นแสงขาวนวลเจิดจ้า  ตะเกียงใหญ่ดวงนี้เป็นตะเกียงลาน ใช้น้ำมันเป็นเชื้อเพลิง แต่ต่อสายลงมามีถังเชื้อเพลิงวางอยู่ที่พื้น  ตะเกียงลานบางตัวไขลานครั้งหนึ่งสามารถเดินได้นาน 1 วัน 1 คืน 

จากนั้นจัดแสดงเรื่องราวเกี่ยวกับเรือ พาหนะที่ชาวสยามใช้กันมานานนมเต็มที แต่จะมีเด็กสักกี่คน(เด็กเมือง)ในสมัยนี้ ที่พายเรือเป็น  มีเรือสำปั้นแบบนั่งหลายคน  เรือสำปั้นเพรียว เรือสำปั้นแจว เรือสำปั้นจ้าง  เรือบด แสดงให้คุณหนูๆ ที่ไม่เคยเห็นได้เข้ามาดู 

ชั้นสองของเรือนพิพิธภัณฑ์ เป็นส่วนจัดแสดงเรื่องต่างๆของวัดหนัง อาทิ พระเครื่อง ข้าวของเครื่องใช้ของพระอาจารย์รูปต่างๆที่ได้มาจำพรรษาที่วัดหนังนี้ ที่วัดหนังนอกจากดังเรื่องเกจิอาจารย์แล้ว ยังดังในเรื่องของสมุนไพรยาโบราณ ยาไทย ตำรายาที่จารไว้บนใบลาน เครื่องยาสมุนไพรแบบต่างๆ บนชั้นสองนี้จัดแบ่งไว้เป็นสองส่วนเช่นกัน ส่วนแรก คือประวัติที่เกี่ยวเนื่องกับวัด หนังสือเรียนที่ใช้เรียนในโรงเรียนวัดหนัง ที่ลูกศิษย์วัดเก่าๆมาดูทีไรก็ต้องแอบยิ้มเพราะบางเล่มก็เป็นหนังสือของตน แบบเรียนต่างๆ คัมภีร์ใบลานที่ทางวัดเก็บไว้แต่ก็พุพังไปมาก มีดีอยู่บ้างก็เอามาจัดแสดง  พระองค์เล็กองค์น้อยที่เรียงรายอยู่ในตู้นั้นท่านพระครูมีเจตนาให้เด็กๆได้รู้จักว่าพระเครื่องดังต่างๆ นั้นมีลักษณะรูปลักษณ์อย่างไร มีพระคะแนนที่สมัยนี้คงหาไม่ได้เพราะส่งโรงงานปั๊มหมด พระคะแนนนี้จะทำขึ้นเพื่อแทนหลักนับว่า ทำได้กี่พันองค์แล้ว ในสมัยที่พระในวัดยังต้องปั้นและปั๊มพระเครื่องเองอยู่  

ในตู้จัดแสดงใกล้กันก็มีเครื่องถ้วยชามเบญจรงค์สมัยต่างๆ อาทิ  อยุธยา  รัตนโกสินทร์ ให้เห็นความแตกต่างของเบญจรงค์อยุธยาที่ได้เดินลายทอง แต่ของรัตนโกสินทร์ก็จะลงทองตามเส้นตัดขอบของภาชนะด้วย  ส่วนเล็กๆติดกันจัดแสดงตาลปัตรพัดยศ รูปร่างต่างๆ ที่พระอาจารย์ พระผู้ใหญ่ในวัดได้รับพระราชทานจากพระมหากษัตริย์พระองค์ก่อนๆ  และยังจัดแสดงเครื่องของแปดอย่างพระบวชใหม่จะต้องมีประกอบเวลาไปขอพระอุปชาบวชคือ เครื่องอัฐบริขาร เข็ม ด้าย หม้อกรองน้ำ สบง สังฆาติ จีวร ปคตเอว มีดโกน  

ห้องสุดท้ายของพิพิธภัณฑ์ เป็นห้องที่จัดแสดงหุ่นขี้ผึ้งของหลวงปู่เอี่ยม พระเกจิอาจารย์ที่โด่งดังของวัดหนังในช่วงสมัยรัชกาลที่ 5 พร้อมทั้งเครื่องของใช้ประจำกายของหลวงปู่ นอกเหนือจากนั้นก็จะเป็นรูปภาพในอดีตของวัด เครื่องของใช้ของหลวงปู่ช้วน ย่าม พระเครื่ององค์เล็กๆ ที่หลวงปู่ช้วน เป็นพระตะกั่วองค์เล็ก ซึ่งในปัจจุบันการหล่อพระเครื่องตะกั่วแบบนี้ไม่ค่อยทำกันแล้วเนื่องจากสารพิษจากตะกั่วจะเข้าสู่ร่างกาย ทำให้เกิดโรคร้ายแรงได้

การท่องเที่ยววัดหนังราชวรวิหารในวันนี้สนุกมากจริงๆ เพราะได้เรียนรู้เรื่องราวหลายอย่างที่ชาวสวนในอดีต  ข้าวของเครื่องใช้ที่ไม่ค่อยจะเห็นแล้วในสมัยนี้ ที่นี่ยังเป็นสถานที่เล่นพร้อมหาความรู้ไปด้วยในตัวของเด็กๆในละแวกวัด เพราะได้ดู  ได้จับต้อง ได้ลองเล่น  สร้างการเรียนรู้ที่จะจดจำไปได้อีกนาน
 

เมธินีย์  ชอุ่มผล  เรื่อง
มัณฑนา  ชอุ่มผล ภาพ
สำรวจวันที่ 29 กรกฎาคม 2551
 
ชื่อผู้แต่ง:
-

"วัดหนัง” มนต์ขลังวัดงามย่านฝั่งธน

ย่านฝั่งธนบุรี นับว่ามีวัดเก่าแก่ วัดสวยๆงามๆที่ซ่อนกายแฝงเร้นอยู่ตามเรือกสวน ตามชุมชน เป็นจำนวนไม่น้อย หนึ่งในนั้นก็คือ "วัดหนังราชวรวิหาร" หรือ"วัดหนัง" ที่ฉันได้มีโอกาสเดินทางมาเยือนในทริปนี้ วัดหนัง ถือเป็นวัดสำคัญอีกวัดในฝั่งธนฯ เป็นวัดเก่าแก่ริมคลองด่าน มีประวัติว่าสร้างตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา ในรัชกาลสมเด็จพระสรรเพ็ชญ์ที่ 9 (พระเจ้าท้ายสระ) ก่อนหน้าที่จะมาเป็นวัดพระอารามหลวงนี้วัดหนังเป็นวัดร้างอยู่กว่า 200 ปี จนมารุ่งเรืองขึ้นเมื่อสมเด็จพระศรีสุลาลัย พระบรมราชชนนีในพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 ทรงสถาปนาวัดขึ้นใหม่ทั้งพระอาราม ด้วยเหตุนี้เองที่วัดหนังไม่ได้เป็นสถาปัตยกรรมแบบไทยผสมจีนตามแบบพระราชนิยมของรัชกาลที่ 3 แต่เป็นวัดแบบไทยๆ เพราะพระบรมราชชนนีของพระองค์ทรงสถาปนาขึ้น
ชื่อผู้แต่ง:
-

ไหว้พระงาม ชมจิตรกรรมอลังการรับปีใหม่ ในวัดย่านจอมทอง-บางขุนเทียน

ผู้ที่อยากมาสักการะพระเกจิทั้งสามสามารถมากราบไหว้ได้ที่วิหารหลวงปู่ ใกล้กับศาลาการเปรียญ และไม่ควรพลาดชม "พิพิธภัณฑ์เพื่อการศึกษาวัดหนังราชวรวิหาร" พิพิธภัณฑ์ที่เป็นความร่วมมือระหว่างบ้านกับวัด ซึ่งมีทั้งข้าวของมีค่าเก่าแก่ของวัด และเครื่องมือเครื่องใช้ที่แสดงให้เห็นถึงวิถีชีวิตในอดีต จัดแสดงได้อย่างน่าชมสมกับเป็นต้นแบบของพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นในเมืองไทย
ชื่อผู้แต่ง:
-

พิพิธภัณฑ์วัดหนัง

วัดหนังตั้งอยู่ริมคลองด่าน เป็นวัดเก่าแก่ ใหญ่โตโอ่อ่า และเป็นวัดหลวงมาแต่ครั้งรัชกาลที่ ๓ ปัจจุบันวัดหนังแบ่งเขตสังฆวาส (ที่อยู่ของสงฆ์) ออกเป็นสามคณะ คือ คณะเหนือ กลาง และใต้ ในหมู่กุฏิของคณะเหนือ มีอาคารหลังหนึ่งขึ้นป้ายเป็น “พิพิธภัณฑ์เพื่อการศึกษา” กุฏิสงฆ์หลังนี้เดิมทีเป็นเรือนของแม่ครูหมัน (ครูมัลลี คงประภัศร์) ครูโขนละคร ที่หนีสงครามโลกครั้งที่สองมาปลูกเรือนอยู่ละแวกนี้
ชื่อผู้แต่ง:
-

พิพิธภัณฑ์เพื่อการศึกษา วัดหนังราชวรวิหาร

จริงๆ ที่นี่เป็นทริปเดียวกับที่ไปวัดนางนอง และวัดราชโอรส เดินไปเดินมากำลังหาทางจะไปพระอุโบสถ ปะป๊าเดินนำหน้าไปก่อนแล้วมาตามแม่กับลูกไป...ที่นี่...พิพิธภัณฑ์เพื่อการศึกษาวัดหนังราชวรวิหาร....จัดตั้งขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อรวบรวมของมีค่าของวัด และชุมชนในเขตจอมทอง อันเป็น เอกลักษณ์ของท้องถิ่น โดยจัดแสดงเป็นกลุ่มย่อย ตามลักษณะสภาพความเป็นจริง ของชาวสวน ย่านชุมชนข้าหลวงเดิมซึ่งเป็นชุมชนที่มีความสัมพันธ์เกี่ยวเนื่องกับราชวงศ์จักรีในอดีต รูปแบบการนำเสนอมุ่งเน้นความเป็นไทยท้องถิ่น ที่มีการทำอาชีพเกษตรกรรมในเมืองธนบุรี คือการทำสวนผลไม้ ที่มีประวัติความเป็นมายาวนาน และในอีกหลายๆแง่มุม ทั้งความเป็นอยู่ รวมถึงเกร็ดความรู้เล็กๆ น้อยๆ ซึ่งจะทำให้ผู้เข้าชมสัมผัส และเข้าถึงสิ่งเหล่านั้นได้ โดยมีวิทยากรเป็นคนท้องถิ่น ซึ่งมีความรู้และประสบการณ์ คอยให้คำแนะนำ พร้อมการสาธิตอธิบาย อย่างถูกต้อง
ชื่อผู้แต่ง:
-