รายชื่อพิพิธภัณฑ์

พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ นครนายก พระบรมชนกชลพัฒน์

พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ นครนายก พระบรมชนกชลพัฒน์ เป็นพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติสังกัดกรมศิลปากร แต่เดิมนั้นคือพิพิธภัณฑ์เขื่อนขุนด่านปราการชล ที่ก่อตั้งขึ้นจากแนวพระราชดําริของสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ต่อมาพิพิธภัณฑ์มีสภาพทรุดโทรม สำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดําริ หรือ กปร. และกรมศิลปากรได้ดำเนินการปรับปรุงอาคารและการจัดแสดงภายใน ต่อมาเมื่อวันที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2564 สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ได้พระราชทานนามพิพิธภัณฑ์ใหม่ว่า “พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ นครนายก พระบรมชนก ชลพัฒน์” มีความหมายว่า พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติประจําจังหวัดนครนายก ซึ่งพระบาทสมเด็จ พระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร มีพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ พัฒนาการ ชลประทานของจังหวัด ปัจจุบันพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ นครนายก พระบรมชนกชลพัฒน์ แบ่งนิทรรศการออกเป็น 4 ส่วน ตามอาคารจัดแสดง 4 อาคาร ได้แก่ อาคาร 1 ปฐมบทการสร้างเขื่อนขุนด่าน อาคาร 2 อดีตชลประทานถึงเขื่อนขุนด่านปราการชล อาคาร 3 พระบารมีปกเกล้าชาวนครนายก อาคาร 4 น้อมสํานึกในพระมหากรุณาธิคุณ

จ. นครนายก

พิพิธภัณฑ์ศัลยศาสตร์ศิริราช

ตลอดเวลาร้อยกว่าปี ศัลยศาสตร์ศิริราช เป็นศูนย์รวมหมอผ่าตัดระดับประเทศมาอย่างต่อเนื่อง รับรักษาผู้ป่วยโรคซับซ้อนด้วยเทคโนโลยีชั้นสูงจำนวนมาก เพาะบ่มศัลยแพทย์มามากกว่า 1,000 คน ปัจจุบัน ศัลยศาสตร์ศิริราชประกอบด้วยสาขาวิชามากที่สุดถึง 10 สาขา ได้แก่ สาขาศัลยศาสตร์ศีรษะ คอ และเต้านม สาขากุมารศัลยศาสตร์ สาขาศัลยศาสตร์หลอดเลือด สาขาศัลยศาสตร์อุบัติเหตุ สาขาประสาทศัลยศาสตร์ สาขาศัลยศาสตร์ยูโรวิทยา สาขาศัลยศาสตร์ฉุกเฉินและการบริบาลผู้ป่วยนอก สาขาศัลยศาสตร์ทั่วไป สาขาศัลยศาสตร์ตกแต่ง และสาขาศัลยศาสตร์หัวใจและทรวงอก พิพิธภัณฑ์ศัลยศาสตร์ศิริราช จึงเกิดขึ้นในรูปโฉมใหม่ด้วยการจัดแสดงที่โดดเด่น ตั้งแต่ยุคแรกเริ่มของประวัติศาสตร์ศัลยศาสตร์ในประเทศไทย สู่ยุคเทคโนโลยีขั้นสูง รวบรวมเรื่องราวเกี่ยวกับวิวัฒนาการของการผ่าตัดด้านต่างๆ อย่างลึกซึ้ง ลำดับเหตุการณ์สำคัญในประวัติศาสตร์วงการศัลยกรรมไทย สู่โซนจัดแสดงประวัติศาสตร์ของชุดผ่าตัด เครื่องมือและองค์ประกอบพื้นฐานของการผ่าตัด ภายในพิพิธภัณฑ์รวม สิ่งแสดงที่น่าสนใจกว่า 100 รายการ

จ. กรุงเทพมหานคร

ศูนย์การเรียนรู้ชุมชนเขวาสินรินทร์

ศูนย์การเรียนรู้ชุมชนเขวาสินรินทร์ เดิมใช้ชื่อศูนย์การเรียนรู้สิบธันวาทำมือ แต่เมื่อเข้าร่วมโครงการคลังข้อมูลชุมชน ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร จึงเปลี่ยนชื่อเป็นศูนย์การเรียนรู้ชุมชนเขวาสินรินทร์ เพื่อนำเสนอเรื่องราวข้อมูลในชุมชนให้หลากหลายเพิ่มจากเดิมที่นำเสนอเรื่องผ้าไหมทอมืออย่างเดียว ตั้งขึ้นโดยนางคณิศร ชาวนา หัวหน้ากลุ่มผ้าไหมทอมือสิบธันวาทำมือ ที่รวมกลุ่มสมาชิกช่างทอผ้าจำหน่ายผลิตภัณฑ์ชุมชน ที่อยากทำให้เป็นมากกว่าร้านผ้าไหม อยากนำเสนอข้อมูล และจัดสาธิตการทำงานให้ผู้มาเยือนได้มาเรียนรู้กระบวนการผลิตผ้าไหมทอมือ ตลอดจนอยากให้นักเรียนนักศึกษาทั้งในและนอกพื้นที่ได้มาเรียนรู้งานขั้นตอน ประวัติของชุมชน ลักษณะสถานที่จัดแสดง จะแบ่งพื้นที่บ้าน ในห้องที่ใช้จำหน่ายผ้าไหมจัดแสดงผ้าไหมประเภทต่างๆ พื้นที่หน้าบ้านใต้ซุ้มหญ้าคาเป็นพื้นที่จัดแสดงความรู้ และพื้นที่จัดสาธิตขั้นตอนการทำผ้าไหม อุปกรณ์ในการใช้ทำผ้าไหมทอมือ

จ. สุรินทร์

ศูนย์วัฒนธรรมโรงเรียนสรรพวิทยาคม อำเภอแม่สอด

ศูนย์วัฒนธรรมโรงเรียนสรรพวิทยาคม ก่อตั้งโดยรองศาสตราจารย์ศุภพงศ์ ยืนยง ครูสอนวิชาศิลปะโรงเรียนสรรพวิทยาคม โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นฐานการรวบรวมโบราณวัตถุ ภูมิปัญญาท้องถิ่นของชาวแม่สอดและพื้นที่ใกล้เคียง นำมาจัดแสดงอย่างเป็นระบบและทำการระดมผู้รู้ ผู้เชี่ยวชาญในประวัติศาสตร์ และวัฒนธรรมของท้องถิ่นมาช่วยกันศึกษา วิเคราะห์ และสร้างองค์ความรู้ให้เกิดประโยชน์แก่ท้องถิ่น นอกจากนี้ยังเป็นแหล่งเรียนรู้สำหรับนักเรียนและผู้สนใจทั่วไปให้เข้ามาศึกษา เรียนรู้ ตามแนวคิดการศึกษาตลอดชีวิต เพื่อพัฒนาทักษะการคิด และกระบวนการเรียนรู้ โดยใช้แหล่งเรียนรู้ และวิชาประวัติศาสตร์นำทาง ภายในจัดแสดงเครื่องถ้วยสังคโลกจากแหล่งเตาต่างๆ ทั้งสุโขทัย ล้านนา และจากต่างประเทศ (จีน) เครื่องมือเครื่องใช้จำพวกเครื่องใช้ในชีวิตประจำวัน เอกสารปั๊ปสา และใบลาน ที่จารด้วยอักษรธรรมล้านนา

จ. ตาก

บ้านบานเย็น

บ้านบานเย็นเป็นหมู่เรือนเก่า 3 หลัง ที่สร้างในสมัยรัชกาลที่ 5 ถึงรัชกาลที่ 7 โดยเรือนหลังที่เก่าที่สุดสร้างโดยพระยาหิรัญยุทธกิจ (บานเย็น สาโยทภิทูร) บุตรคนหัวปีของจางวางโต (ในจอมพล สมเด็จพระราชปิตุลาบรมพงศาภิมุข เจ้าฟ้าภาณุรังษีสว่างวงศ์ กรมพระยาภาณุพันธุวงศ์วรเดช) เรือนหลังที่มีอายุรองลงมาเป็นของน้องสาวของท่านเจ้าคุณซึ่งสมรสกับขุนวิเศษสากล และเรือนหลังที่มีอายุน้อยที่สุดเป็นของบุตรสาว ซึ่งเรือนหลังนี้มีอายุกว่า 75 ปีแล้วในปัจจุบัน เพื่อรักษามรดกชิ้นสำคัญของชาติไว้ให้เป็นแหล่งเรียนรู้ที่สำคัญ ทายาทในรุ่นที่ 5 ได้แก่ รองศาสตราจารย์ โรจน์ คุณเอนก และนายรัชต์ คุณเอนก จึงได้ร่วมกันบูรณะเรือนโบราณเหล่านั้น และจัดแสดงในลักษณะของพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ท้องถิ่นที่ยังมีชีวิต

จ. กรุงเทพมหานคร

โฮงซึงหลวง

โฮงซึงหลวง เป็นสถานที่รวบรวมข้อมูลและเป็นแหล่งเรียนรู้ภูมิปัญญาดนตรีพื้นบ้านล้านนา และเป็นแหล่งผลิตเครื่องดนตรีล้านนา โดยเฉพาะ “ซึง” ซึ่งเป็นเครื่องดนตรีประเภทสายที่นิยมเล่นกันแพร่หลายในภาคเหนือ โฮงซึงหลวงริก่อตั้งในปี พ.ศ. 2546 โดยนายจีรศักดิ์ ธนูมาศ ภายในพื้นที่อาศัยของตนเองในตำบลห้วยอ้อ อำเภอลอง จังหวัดแพร่ เนื่องจากเป็นคนชื่นชอบและหลงใหลดนตรีพื้นเมือ ฝึกเล่นดนตรีพื้นเมืองมาตั้งแต่เด็กกับผู้เฒ่าผู้แก่ และรวมกลุ่มคนในชุมชนที่รักเสียงดนตรีตั้งวงดนตรีพื้นเมืองขึ้น ฝึกซ้อม และเป็นแหล่งผลิตเครื่องดนตรีพื้นเมือง โดยเฉพาะซึง ที่ได้รับการยอมรับ เพราะใช้วัตถุดิบคือไม้สักที่ให้เสียงที่หนักแน่นและชัดเจน โฮงซึงหลวงประกอบด้วยอาคารไม้ 3 หลัง หลังแรกใช้เป็นโรงเรียนเล่นดนตรี หลังที่ 2 จัดแสดงเครื่องดนตรีพื้นเมืองต้นแบบ และที่ผลิตขึ้นใหม่ และใช้บรรเลงดนตรี ส่วนหลังสุดท้ายเป็นโรงผลิตเครื่องดนตรีพื้นเมือง ผู้สนใจสามารถมาเรียนดนตรี หรือเรียนรู้การทำเครื่องดนตรี และยังจำหน่ายเครื่องดนตรีพื้นเมือง

จ. แพร่

พิพิธภัณฑ์ชุมชนช่อระกา

พิพิธภัณฑ์ชุมชนช่อระกา ตั้งอยู่ภายในวัดดาวเรือง โดยใช้พื้นที่ด้านบนของศาลาการเปรียญเป็นสถานที่จัดแสดง ที่มาของพิพิธภัณฑ์เริ่มมาจากความตั้งใจและความร่วมมือระหว่างวัด ชาวบ้าน โครงการวัดบันดาลใจ สถาบันอาศรมศิลป์ ที่ต้องการแสดงให้เห็นความสำคัญของวัด ในฐานะพื้นที่สั่งสมเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ อันเป็นจุดเริ่มต้นของรากเหง้าทางวัฒนธรรมในแต่ละท้องถิ่น เป็นแหล่งรวบรวมภูมิปัญญาที่มีความสำคัญทั้งต่อพุทธศาสนาและวิถีชีวิตของผู้คน นำไปสู่การเก็บรวบรวมข้อมูลประวัติศาสตร์ มรดกวัฒนธรรมและองค์ความรู้ด้านภูมิปัญญาท้องถิ่นของชุมชุน โดยมีศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) ให้คำแนะนำเรื่องวิธีการเก็บข้อมูลชุมชน และด้วยจิตอาสาของเหล่านักออกแบบอาสาสมัครนำโดยสตูดิโอไดอะลอก นำไปสู่การจัดทำพิพิธภัณฑ์ และนำเสนอนิทรรศการแรกที่ชื่อว่า "ฮู้บ่ช่อระกา" ผู้ชมจะได้ทำความรู้จักชุมชนช่อระกาผ่านเรื่องเล่ามรดกวัฒนธรรมที่โดดเด่นของชุมชน อาทิ ข้าวและการทำนา อาหาร ภูมิปัญญาการทอผ้า

จ. ชัยภูมิ

ศูนย์ส่งเสริมศิลปาชีพระหว่างประเทศ

ศูนย์ส่งเสริมศิลปาชีพระหว่างประเทศ (องค์การมหาชน) ก่อตั้งเมื่อปี พ.ศ.2546 มีวัตถุประสงค์ในการส่งเสริมสนับสนุนให้มีการประกอบอาชีพผสมผสาน เพื่อสร้างผลิตภัณฑ์ศิลปหัตถกรรมพื้นบ้านตามโครงการส่งเสริมศิลปาชีพในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร และส่งเสริมสนับสนุนด้านการตลาดสำหรับผลิตภัณฑ์ดังกล่าวทั้งในประเทศและต่างประเทศ ภายในมีหอนิทรรศการจำนวน 6 เรื่อง ได้แก่ 1. หอเกียรติยศ จัดแสดงประวัติและผลงานของบุคคลผู้ได้รับการเชิดชูเกียรติจาก SACICT ในฐานะครูศิลป์ของแผ่นดิน ครูช่างศิลปหัตถกรรม และทายาทช่างศิลปหัตถกรรม 2.หอศิลปาชีพ จัดแสดงนิทรรศการ “คู่พระบารมี” บอกเล่าเรื่องราวของจุดเริ่มต้นของ “มูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพ ในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ” การดำเนินงานและผลงานของมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพฯ และการดำเนินงานศูนย์ส่งเสริมศิลปาชีพระหว่างประเทศ 3.หอหัตถศิลป์ระหว่างประเทศ จัดแสดงนิทรรศการ “หัตถกรรมที่ใกล้สูญหาย” โดยแบ่งประเภทงานศิลปหัตถกรรมออกเป็น 3 ประเภท ได้แก่ งานเครื่องมุก งานเครื่องไม้ และงานจักสาน 4.หอสุพรรณ-พัสตร์ จัดแสดงนิทรรศการ “เครื่องเงิน-เครื่องทอง และเครื่องแต่งกายในสมัยอยุธยา” 5.หอนวัตศิลป์ พื้นที่จัดแสดงงานศิลปหัตถกรรมที่ SACICT ศึกษา รวบรวม และวิเคราะห์แนวโน้มเพื่อเป็นต้นทางในการพัฒนางานหัตถศิลป์และนวัตศิลป์ในมิติต่างๆ 6.จัดแสดงนิทรรศการ “ยืนเครื่องโขน : ศาสตร์สร้างศิลป์ มรดกแผ่นดินร่วมวัฒนธรรม”นำเสนอเรื่องราวความเป็นมาของการแสดงโขนในประเทศต่างๆ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

จ. พระนครศรีอยุธยา

ขัวศิลปะ

ขัวศิลปะเกิดขึ้นจากการรวมตัวของศิลปินเชียงราย เมื่อปี พ.ศ. 2532 ที่wด้แสดงผลงานศิลปะร่วมกัน ณ ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย จากนั้น ใน พ.ศ. 2546 กลุ่มศิลปินเชียงรายรวมตัวกันแสดงนิทรรศการศิลปะอีกครั้งเพื่อเทิดพระเกียรติในหลวง โดยใช้ชื่อนิทรรศการว่า “สล่าเชียงรายเฉลิมพระเกียรติในหลวง 75 พรรษา” ที่ศูนย์ศิลปหัตถกรรมเชียงราย และในปีถัดมา พ.ศ.2547 ศิลปินรวมตัวกันเรียกร้องการสร้างหอศิลปะร่วมสมัยบนเกาะกลางแม่น้ำกกที่เชียงราย โดยการจัดนิทรรศการศิลปะ “เชียงรายศิลป์เพื่อหอศิลป์” ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ กรุงเทพฯ และนับตั้งแต่ พ.ศ. 2547 เป็นต้นมา กลุ่มศิลปินเชียงรายได้ก่อตั้งเป็นสมาคมศิลปินเชียงรายขึ้น เพื่อดำเนินงานด้านศิลปวัฒนธรรมในจังหวัดเชียงรายอย่างต่อเนื่อง ในเดือนเมษายน พ.ศ. 2555 อ.เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ มอบเงินทุนตั้งต้น 500,000 บาท สำหรับก่อตั้งกองทุนศิลปินเชียงราย เพื่อสนับสนุนส่งเสริมการทำงานของศิลปินและการศึกษาของนักศึกษาศิลปะในจังหวัดเชียงราย โดยการเลือกตั้งคณะกรรมการขึ้นมาบริหารกองทุน จากการประชุมของคณะกรรมการ มีความประสงค์ให้กองทุนศิลปินเชียงรายมีความงอกงามและยั่งยืน จึงจำเป็นต้องหารายได้ คณะกรรมการจึงมีมติว่าจะทำธุรกิจร่วมกัน โดยใช้ระบบการร่วมทุนในหมู่พี่น้องศิลปินและผู้ที่รักศิลปะทุกท่าน คณะกรรมการได้เลือกทำเลที่ตั้งของอาคารให้เช่าแห่งหนึ่งเพื่อลงทุนทำธุรกิจเพื่อส่วนรวม ตั้งชื่อโครงการว่า “ขัวศิลปะ” ซึ่งขัวในภาษาเหนือ แปลว่า สะพาน “ขัวศิลปะ” คือ สะพานที่จะเชื่อมศิลปะสู่สังคม ขัวศิลปะ ไม่ใช่องค์กรธุรกิจ แต่คือองค์กรการศึกษา ที่ทำธุรกิจเล็กๆ เพื่อจะเลี้ยงดูตัวเอง คือบ้านของศิลปินที่เปิดประตูต้อนรับทุกท่าน ในพื้นที่ของขัวศิลปะ ผู้มาเยือนสามารถเยี่ยมชมนิทรรศการศิลปะซึ่งจัดเป็นประจำในส่วนของแกลลอรี นอกจากนี้ยังมีส่วนของร้านอาหารไว้บริการ

จ. เชียงราย

พิพิธภัณฑ์พระรามเก้า

“โครงการพิพิธภัณฑ์พระรามเก้า” เป็นโครงการเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 80 พรรษา 5 ธันวาคม 2550 เพื่อแสดงให้เห็นหลักการคิด วิธีการทรงงานและกระบวนการค้นหาคำตอบ ตามกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ที่ทรงนำไปแก้ปัญหาหรือพระราชทานแก่พสกนิกรในพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วราชอาณาจักร ตลอดจนเป็นแบบอย่างแก่ผู้สนใจชาวต่างประเทศ และเป็นแหล่งเรียนรู้ด้านความเข้าใจในความสำคัญและปัญหาของระบบนิเวศ การบริหารจัดการทรัพยากรดิน น้ำ ป่า เพื่อให้มนุษย์อยู่ร่วมกับระบบนิเวศธรรมชาติอย่างยั่งยืน ตั้งอยู่ภายในเทคโนธานี คลองห้า เป็นหนึ่งในกลุ่มพิพิธภัณฑ์ของอพวช.

จ. ปทุมธานี

หอวัฒนธรรมไทยญ้อคลองน้ำใส

แต่เดิมพื้นที่ตำบลคลองน้ำใสเป็นที่ตั้งถิ่นฐานของคนไทญ้อ คนไทยญ้อหรือในเชิงวิชาการใช้คำว่าไทญ้อ ในพื้นที่ตำบลน้ำใสอพยพมาจากเวียงจันทร์และท่าอุเทน เข้ามาอยู่ในประเทศกัมพูชา เมื่อมีปัญหาเรื่องดินแดนจึงอพยพมาอยู่ตามแนวชายแดนไทย วัฒนธรรม ประเพณี ความเชื่อและรูปแบบการดำรงชีวิต คล้ายกับกลุ่มคนไท-ลาวทั่วไป ต่างกันที่สำเนียงในการออกเสียง พูดภาษาญ้อ ไม่มีภาษาเขียน นับถือศาสนาพุทธแต่ยังมีพิธีกรรมต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการไหว้ผี ประเพณีสำคัญคือการแห่หอปราสาทผึ้งในช่วงออกพรรษา หอวัฒนธรรมไทยญ้อคลองน้ำใส ตั้งอยู่ภายในโรงเรียนอพป.คลองน้ำใส อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว ริเริ่มโดยพ่อใหญ่สีทา บัวคำศรี ปราชญ์ชุมชนคลองน้ำใส ที่ให้แนวคิดในการสร้างเฮือนไทญ้อ เพื่อรวบรวมข้าวของเครื่องใช้ดั้งเดิม นำเสนอวิถีชีวิตและประเพณีความเชื่อ มีวัตถุประสงค์เพื่อสำหรับเป็นแหล่งเรียนรู้และสืบสานวิถีวัฒนธรรมคนไทญ้อบ้านคลองน้ำใส มีการระดมทุนก่อสร้างอาคารและการบริจาคข้าวของเครื่องใช้จากคนในหมู่บ้านตั้งแต่ปี พ.ศ. 2555 แล้วเสร็จในปี พ.ศ. 2559 โดยบริหารจัดการดูแลโดยโรงเรียนอพป.คลองน้ำใส

จ. สระแก้ว

บ้านนครใน

บ้านนครใน ตั้งอยู่ในเขตเมืองเก่าสงขลา บ้านนครในประกอบด้วยบ้านเก่าทรงจีน 1 หลัง ที่ได้รับการบูรณะแล้ว และอาคารชิโนยูโรเปี้ยน สร้างใหม่อีก 1 หลัง ผู้ก่อตั้งคือคุณกระจ่าง จารุพฤกษ์พันธ์ นักธุรกิจและอดีตสมาชิกวุฒิสภา สงขลา ที่ซื้อบ้านเก่าบนถนนนครใน แล้วนำมาปรับปรุงใหม่เป็นพิพิธภัณฑ์ ตัวอาคารยาวทะลุ 2 ถนนคือนครนอกและนครใน อาคารมีความโดดเด่นเชิงสถาปัตยกรรม ด้านในจัดแสดงเครื่องเรือนเก่า เตียงไม้แบบจีนโบราณ ฯลฯ เนื่องจากคุณกระจ่างเคยได้เห็นความรุ่งเรืองแถบเมืองเก่าสงขลา แต่ในระยะหลังพบว่าบ้านเก่าและตึกแถวหลายหลังถูกปล่อยร้างและบางหลังเริ่มผุพัง เมืองเงียบเหงาเพราะคนย้ายออก จึงติดต่อซื้อตึกเพื่อบูรณะและจัดทำเป็นพิพิธภัณฑ์ โดยต้องการกระตุ้นให้คนหันมาให้ความสนใจพัฒนาเมืองสงขลาให้คึกคักและเป็นจุดท่องเที่ยวสำคัญของเมือง

จ. สงขลา