ข่าวสารพิพิธภัณฑ์

“พิพิธบางลำพู” ขุมทรัพย์ความรู้แห่งใหม่ เปิดให้ชมฟรี!!! 2 เดือนเต็ม

“บางลำพู” ขึ้นชื่อว่าเป็นย่านการค้าเก่าแก่ทรงเสน่ห์ เป็นย่านของกินสารพัด มีความหลากหลายของวัฒนธรรมและผู้คนมายาวนาน ปัจจุบันบางลำพูยังขึ้นชื่อว่าเป็นย่านที่พัก แหล่งท่องเที่ยวและแหล่งบันเทิงที่นักท่องเที่ยวต่างชาติรู้จักกันดีอีกด้วย        แต่แท้จริงแล้ว “บางลำพู” ยังมีอะไรมากมายกว่านั้น ถ้าได้มาชม “พิพิธบางลำพู” ก็จะได้รู้จักเสน่ห์ของบางลำพูอย่างลึกซึ้งมากยิ่งขึ้น โดย “พิพิธบางลำพู” นั้น เป็นสถานที่ท่องเที่ยวแห่งใหม่บนถนนพระอาทิตย์ ซึ่งทางกรมธนารักษ์ผู้จัดสร้างได้ฉลองการเปิดใหม่ของพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ด้วยการเปิดให้ผู้สนใจเข้าชมฟรีเป็นเวลา 2 เดือน ตั้งแต่วันนี้-30 ก.ย. 57 นี้        พิพิธบางลำพู เป็นพิพิธภัณฑ์ที่เพิ่งจัดทำขึ้นใหม่โดยกรมธนารักษ์ สร้างขึ้นในพื้นที่เดิมซึ่งเคยเป็น “โรงพิมพ์คุรุสภา” หรือ “โรงเรียนช่างพิมพ์วัดสังเวช” ซึ่งอยู่บริเวณถนนพระสุเมรุ ใกล้กับป้อมพระสุเมรุนั่นเอง   หากย้อนเวลาไปในอดีตนานกว่านั้น พื้นที่แห่งนี้เดิมเป็นส่วนหนึ่งของวังหรือพระนิเวศน์สถานของสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท หรือวังหน้าในรัชกาลที่ 1ตั้งแต่สมัยที่ทรงปฏิบัติราชการในกรุงธนบุรี ซึ่งขณะนั้นยังถือเป็นเขตนอกกำแพงพระนคร และเมื่อมีการตั้งกรุงรัตนโกสินทร์และสร้างพระนครใหม่ในสมัยรัชกาลที่ 1 มีการสร้างแนวกำแพงพระนครผ่านกลางที่ และโปรดเกล้าฯ ให้สร้างป้อมพระสุเมรุเป็นป้อมใหญ่ประจำมุมพระนครทางด้านเหนือ ซึ่งเป็นชัยภูมิสำคัญในการป้องกันพระนคร        ภายหลังเมื่อสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาทเสด็จมาประทับที่พระราชวังบวรสถานมงคล (วังหน้า) แล้ว จึงพระราชทานที่พระนิเวศน์สถานเดิมตอนในกำแพงพระนคร ให้สร้างวังแก่สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงจักรเจษฎา สมเด็จพระอนุชาธิราชพระองค์เล็ก เพื่อให้ทรงช่วยกำกับดูแลการรักษาพระนครทางด้านเหนือ เรียกกันว่าวังริมป้อมพระสุเมรุ และเมื่อสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงจักรเจษฎาสิ้นพระชนม์แล้ว ไม่ปรากฏว่าโปรดให้ผู้ใดไปอยู่อีก ทางทายาทมอบที่ดินแห่งนี้ให้เป็นสมบัติของแผ่นดิน ที่ดินแห่งนี้จึงอยู่ในการดูแลของกรมธนารักษ์นับแต่นั้นมา อ่านต่อ   ข้อมูลจาก ผู้จัดการออนไลน์ วันที่ 5 สิงหาคม 2557

เทศกาลภาพยนตร์เงียบครั้งแรกในประเทศไทย

ในโอกาสครบรอบ 30 ปี ของการตั้งหอภาพยนตร์ ขึ้นมาในประเทศไทย หอภาพยนตร์ (องค์การมหาชน) จึงมีแนวคิดริเริ่มจัดงานเทศกาลภาพยนตร์เงียบครั้งแรกขึ้นในประเทศไทย เพื่อให้คนไทยได้มีโอกาสชมภาพยนตร์เงียบชั้นดี ระดับโลก ประกอบกับเสียงเปียโนสดๆ จากนักเปียโนที่มีอาชีพเล่นเปียโนเพื่อประกอบภาพยนตร์เงียบโดยเฉพาะ   เทศกาลภาพยนตร์เงียบครั้งที่ 1 นี้ หอภาพยนตร์ ได้รับการสนับสนุนจากบริติช เคาน์ซิล ประเทศไทย  ได้คัดสรรภาพยนตร์ที่โดดเด่น 7 เรื่อง ไม่ว่าจะเป็น ผลงานภาพยนตร์ของผู้กำกับชั้นครู Alfred Hitchcock โดยเทศกาลฯ จะจัดฉาย 3 เรื่อง ได้แก่ The Pleasure Garden  (2468) ซึ่งภาพยนตร์เรื่องแรกของ Hitchcock, The Ring (2470) และ The Lodger (2470) และจัดฉายเรื่อง Prix de Beaute (2473) ผลงานการแสดงของนักแสดงภาพยนตร์เงียบชื่อดัง Louise Brooks สำหรับภาพยนตร์เงียบของเอเชีย ทางเทศกาลฯ จะจัดฉายเรื่อง The Little Toys (2476) ภาพยนตร์เงียบจากประเทศจีนที่ได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งในร้อย ภาพยนตร์จีนทีดี่ที่สุด ซึ่งจัดโดยเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติฮ่องกง   ในส่วนของนักเปียโนที่จะมาเล่นประกอบ หอภาพยนตร์ ได้รับเกียรติจาก Maud Nelissen นักเปียโนชาวเนเธอร์แลนด์ และ Mie Yanashita นักเปียโนชาวญี่ปุ่น ซึ่งทั้งสองคนเป็นนักเปียโนประกอบภาพยนตร์เงียบระดับโลก และเคยแสดงฝีมือมาแล้วทั่วโลก รวมทั้งในเทศกาลภาพยนตร์เงียบที่เมืองโพดิโอเน (Pordenone Silent Film Festival) ประเทศอิตาลี ซึ่งถือเป็นเทศกาลภาพยนตร์เงียบที่ใหญ่ที่สำคัญที่สุดในโลก และที่พิเศษสุดหอภาพยนตร์ ได้ทาบทามวาทยกรและนักเปียโนชื่อดังของไทย ทฤษฎี ณ พัทลุง มาเล่นดนตรีประกอบภาพยนตร์เรื่อง The Lodger ในรอบปิดเทศกาลฯ อีกด้วย   เทศกาลภาพยนตร์เงียบครั้งที่ 1 นี้ จะมีขึ้น ระหว่างวันที่ 7-12 สิงหาคม 2557 ณ โรงภาพยนตร์ลิโด และ วันที่ 13 สิงหาคม 2557 ณ โรงภาพยนตร์สกาล่า ผู้ที่สนใจสามารถติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.facebook.com/silentfilmthailand    ตารางฉายภาพยนตร์    โรงภาพยนตร์ลิโด้ 2  (ราคา 100 บาททุกที่นั่ง)       พฤหัสบดีที่ 7 สิงหาคม  20.00  The Pleasure Garden*  (UK / 1926 / 90 นาที)    ศุกร์ที่ 8 สิงหาคม  20.00   The Ring**  (UK / 1927 / 108 นาที)    เสาร์ที่ 9 สิงหาคม  12.00  The Water Magician**  ( Japan / 1933 / 100 นาที)  14.00  สนทนาเรื่องการแสดงดนตรีประกอบภาพยนตร์เงียบกับ Mie Yanashita และ Maud Nelissen    (ไม่เสียค่าใช้จ่าย มีล่ามแปลภาษาไทย)  16.00  Prix de Beauté * (France / 1930 / 93 นาที)  18.00  Little Toys ** (China / 1933 / 104 นาที)  20.00  Nerven * (Germany / 1919 / 109 นาที)    อาทิตย์ที่ 10 สิงหาคม  12.00  The Pleasure Garden ** (UK / 1926 / 90 นาที)  14.00  บรรยาย เรื่อง “The Silent Hitchcock” โดย ศาสตราจารย์ Charles Barr    (ไม่เสียค่าใช้จ่าย มีล่ามแปลภาษาไทย)  16.00   The Ring * (UK / 1927 / 108 นาที)  18.00  Nerven ** (Germany / 1919 / 109 นาที)  20.00  Little Toys * (China / 1933/ 104นาที)     จันทร์ที่ 11 สิงหาคม  20.00  Prix de Beauté * (France / 1930 / 93 นาที)    อังคารที่ 12 สิงหาคม  20.00  The Water Magician * (Japan / 1933 / 100 นาที)       โรงภาพยนตร์สกาล่า (ราคา 500 บาททุกที่นั่ง)      พุธที่ 13 สิงหาคม  20.00  The Lodger (UK / 1926 / 90 นาที)   แสดงดนตรีประกอบโดย ทฤษฏี ณ พัทลุง   *แสดงดนตรีประกอบโดย Maud Nelissen **แสดงดนตรีประกอบโดย Mie Yanashita   ภาพยนตร์ทุกเรื่องมีคำบรรยายภาษาไทยและภาษาอังกฤษ   ข้อมูลจาก หอภาพยนตร์ (องค์การมหาชน)  

วันแม่...ชวนแม่เที่ยว

ชวนคุณแม่เที่ยวกับกิจกรรม “วันแม่...ชวนแม่เที่ยว” ระหว่างวันที่ ระหว่างวันที่ 1 - 31สิงหาคม 2557 ณ พิพิธภัณฑ์อัญมณีและเครื่องประดับ อาคารไอทีเอฟ ทาวเวอร์ ชั้น 2   GIT เปิดให้บุคคลทั่วไป นักเรียน นิสิต นักศึกษา นักท่องเที่ยว ทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ เข้าเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์อัญมณีและเครื่องประดับฟรีโดย ไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ ตลอดทั้งเดือนสิงหาคม ในวันจันทร์-วันศุกร์ ยกเว้น วันเสาร์-อาทิตย์ ตั้งแต่เวลา 9.30 - 17.00 น.   พร้อมรับของที่ระลึกจากพิพิธภัณฑ์ โดยทางพิพิธภัณฑ์ได้จัดนิทรรศการชั่วคราว “เครื่องประดับของแม่” และจุดลงนามถวายพระพร แด่ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองในวโรกาสมหามงคล 82พรรษา มหาราชินี   สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม โทรศัพท์ 0 2634 4999 ต่อ 312 คุณธวัชชัย   ข้อมูลจาก http://www.painaidii.com

ชมฟรี!! 2 พิพิธภัณฑ์เปิดใหม่ “พิพิธบางลำพู” และ “พิพิธภัณฑ์เหรียญ”

นายนริศ ชัยสูตร อธิบดีกรมธนารักษ์ กล่าวในการเปิดพิพิธภัณฑ์ทั้งสองแห่งว่า เพื่อร่วมนโยบายคืนความสุขให้กับคนไทย ในส่วนของกรมธนารักษ์จึงเปิดให้เข้าชมพิพิธภัณฑ์เปิดใหม่ทั้งสองแห่งได้ฟรีเป็นเวลา 2 เดือน คือ “พิพิธภัณฑ์เหรียญ” และ “พิพิธบางลำพู”   สำหรับ “พิพิธภัณฑ์เหรียญ” ตั้งอยู่บนถนนจักรพงษ์ แขวงชนะสงคราม เขตพระนคร โดยกรมธนารักษ์ได้ตระหนักถึงคุณค่าและความสำคัญของเหรียญกษาปณ์ไทย ในฐานะที่เป็นเงินตราที่หมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ และยังเปรียบเสมือนบันทึกทางประวัติศาสตร์ที่บอกเล่าถึงวิถีชีวิต สังคม เศรษฐกิจ และศิลปวัฒนธรรมไทย ทางกรมธนารักษ์จึงมีนโยบายในการปรับเปลี่ยนอาคารสำนักบริหารเงินตรา ซึ่งเดิมใช้เป็นอาคารสำนักงาน รวมทั้งให้บริการแก่ประชาชนในการจ่ายแลกเหรียญกษาปณ์หมุนเวียนเหรียญกษาปณ์ที่ระลึก และเหรียญที่ระลึก มาเป็น “พิพิธภัณฑ์เหรียญ” เพื่อเป็นศูนย์การเรียนรู้ประวัติศาสตร์ซึ่งเป็นสินทรัพย์ล้ำค่าของแผ่นดิน        นายนริศกล่าวต่อว่า ภายในพิพิธภัณฑ์เหรียญแบ่งพื้นที่จัดแสดงออกเป็น 3 ชั้น โดยชั้นที่ 1 พร้อมเปิดให้ประชาชนเข้าชมฟรีตลอดระยะเวลา 2 เดือน ส่วนชั้นที่ 2-3 ซึ่งจะประกอบไปด้วยส่วนจัดแสดงต่างๆ รวมถึงมีห้องสมุดและห้องกิจกรรมการเรียนรู้เกี่ยวกับเหรียญ ขณะนี้ยังอยู่ในช่วงของการก่อสร้าง คาดว่าจะแล้วเสร็จพร้อมเปิดให้ประชาชนเข้าชมในช่วงปลายปี 2559   ส่วน “พิพิธบางลำพู” ตั้งอยู่บนถนนพระอาทิตย์ ริมคลองบางลำพู ใกล้กับป้อมพระสุเมรุ โดยกรมธนารักษ์ดำเนินการบูรณะซ่อมแซมอาคารโรงพิมพ์คุรุสภา (โรงเรียนช่างพิมพ์วัดสังเวช) ซึ่งเป็นโรงพิมพ์คุรุสภาและเป็นสถานที่ฝึกสอนช่างพิมพ์แห่งแรกของประเทศไทย มีประวัติศาสตร์มาอย่างยาวนานตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 1และได้ขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานอาคารจากกรมศิลปากรเมื่อปี 43 เปิดเป็นแหล่งท่องเที่ยวบริเวณเกาะรัตนโกสินทร์ และศูนย์การเรียนรู้เชิงการศึกษาวัฒนธรรมชุมชน ซึ่งถือเป็นภารกิจหนึ่งของกรมธนารักษ์        ภายในมีการจัดแสดงนิทรรศการให้สอดคล้องตามเนื้อหาประวัติศาสตร์ อาทิ นิทรรศการเฉลิมพระเกียรติ 82 พรรษา มหาราชินี นิทรรศการแสดงบทบาทภารกิจของกรมธนารักษ์ การจัดแสดงประวัติความเป็นมาและวิถีชุมชนบางลำพู นิทรรศการป้อมและกำแพงเมืองแห่งพระนคร และการจัดแสดงประวัติการพิมพ์รวมถึงประวัติโรงเรียนช่างพิมพ์วัดสังเวช เป็นต้น นอกจากนี้ ยังเป็นที่ตั้งของห้องสมุดชุมชนบางลำพู ตลอดจนเพิ่มพื้นที่สีเขียวให้เป็นที่พักผ่อนหย่อนใจ และลานกิจกรรมอเนกประสงค์ให้กับชาวกรุงเทพมหานคร   นอกจากนั้น พิพิภัณฑ์ทั้งสองแห่งยังมีจุดเด่นตรงที่ใช้เทคโนโลยีร่วมในการจัดแสดง อีกทั้งยังมีการออกแบบพื้นที่ภายในบริเวณพิพิธภัณฑ์เหรียญแบบ “ยูนิเวอร์แซล ดีไซน์” เพื่อให้ทุกคนสามารถเข้าเยี่ยมชมได้ ไม่ว่าจะเป็นผู้สูงอายุ ผู้พิการ หรือเด็ก พร้อมจัดทำอักษรเบรลล์เพื่อบรรยายรายละเอียดของส่วนจัดแสดงให้แก่ผู้พิการทางสายตา และอำนวยความสะดวกให้นักท่องเที่ยวทั้งไทยและต่างประเทศด้วยการจัดทำบรรยายเสียงข้อมูล 7ภาษา ได้แก่ ภาษาไทย จีน ญี่ปุ่น เกาหลี อังกฤษ เยอรมัน และภาษาฝรั่งเศส พิพิธภัณฑ์ทั้งสองแห่งเปิดให้เข้าชมฟรีเป็นเวลา 2 เดือน นับตั้งแต่วันที่ 1 ส.ค.-30 ก.ย. 2557 เข้าชมได้ทุกวันไม่มีวันหยุด เปิดตั้งแต่เวลา 10.00-18.00 น. สามารถดูรายละเอียดของ “พิพิธภัณฑ์เหรียญ” ได้ที่ www.facebook.com/coinmuseumthailand หรือโทร. 0-2282-0818 และ “พิพิธบางลำพู” ได้ที่ www.facebook.com/pipitbanglamphu หรือโทร. 0-2629-1850   ข้อมูลจาก ผู้จัดการออนไลน์ วันที่ 30 กรกฎาคม 2557  

"พิพิธบางลำพู" พิพิธภัณฑ์สื่อผสมแห่งใหม่ของกรมธนารักษ์บนถนนพระอาทิตย์

บริเวณถนนพระอาทิตย์มีสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์หลายแห่งเป็นจุดดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติ ล่าสุดกรมธนารักษ์ในยุคของนายนริศชัยสูตร อธิบดีคนล่าสุด เตรียมเปิดพิพิธภัณฑ์ใหม่อีกหนึ่งแห่ง   สำหรับพิพิธภัณฑ์ใหม่นี้มีชื่อว่า "พิพิธบางลำพู" เป็นพิพิธภัณฑ์สมัยใหม่ซึ่งประยุกต์การแสดงวัตถุและการเล่าเรื่องเชิงประวัติศาสตร์เข้ากับการแสดงวิถีชุมชนบางลำพูเดิมอย่างน่าสนใจ   นายนริศเปิดเผยว่าพื้นที่เดิมของพิพิธภัณฑ์มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์เคยเป็นที่ประทับของกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาทและถือเป็นอาคารที่ได้รับการอนุรักษ์ จนในปัจจุบัน กรมธนารักษ์ปรับปรุงอาคาร 2หลังที่อยู่ในพื้นที่ข้างป้อมพระสุเมรุให้เป็นพิพิธภัณฑ์ จัดแสดงนิทรรศการภารกิจ, ผลงานและสิ่งของที่เกี่ยวกับกรมธนารักษ์ รวมถึงแสดงนิทรรศการเรื่องพื้นที่ แสดงความสำคัญของคูเมือง ประตูเมือง ซึ่งเคยอยู่ในพื้นที่สมัยรัตนโกสินทร์ ที่สำคัญคือพิพิธภัณฑ์มีจุดเด่นที่การแสดงวิถีชุมชนในพื้นที่บางลำพูตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบันด้วย   พิพิธภัณฑ์แห่งใหม่ของกรมธนารักษ์เป็นหนึ่งในพิพิธภัณฑ์ซึ่งนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยนำเสนออย่างหน้าต่าง "magic mirror" ซึ่งให้ผู้เข้าชมได้รับรู้ข้อมูลและได้เห็นภาพจากสถานที่จริงในพื้นที่ซึ่งอยู่ภายนอกหน้าต่าง และอีกหลายพื้นที่ในพิพิธภัณฑ์ยังมีเทคโนโลยีทันสมัยอีกหลายอย่างที่จะช่วยให้ผู้เข้าชมมีส่วนร่วมในการเลือกดูข้อมูลด้วย   พิพิธบางลำพูจะเริ่มเปิดให้เข้าชมตั้งแต่เดือนสิงหาคมเป็นต้นไป โดยในช่วงเดือนสิงหาคมถึงกันยายนจะเปิดให้เข้าชมฟรีทุกวันตั้งแต่เวลา 10.00-18.00 น. คลิกดูคลิปพิพิธบางลำพู   ข้อมูลจาก มติชนออนไลน์ วันที่ 29 กรกรฎาคม 2557  

วัฒนธรรมชุมพรจัดงาน “รักบ้านเรา” อนุรักษ์ชุมชนตลาด 100 ปี ชมวัฒนธรรม 3 ประเทศ

วัฒนธรรมจังหวัดชุมพร แถลงข่าวจัดงานมหกรรมวัฒนธรรมจังหวัดชุมพร “รักบ้านเรา ครั้งที่ 1” ณ ชุมชนตลาดล่าง 100 ปี อ.สวี ระหว่างวันที่ 24-25 กรกฎาคม 2557 เพื่ออนุรักษ์ชุมชนตลาดเก่าแก่ อายุกว่า 100 ปี ซึ่งตัวอาคารมีรูปแบบด้านสถาปัตยกรรมและเอกลักษณ์ของชุมชนที่ยังสมบูรณ์ จำลองตลาดย้อนยุค การแต่งกายของชาวชุมชนสมัยเมื่อ 60 ปีก่อน จำลองห้องเรียนย้อนยุค แสดง แสง สี เสียง ตระการตา พร้อมโชว์ของดีบ้านฉัน ทั้ง 8 อำเภอร่วมจัดแสดง และชมการแสดงสานสัมพันธ์วัฒนธรรมของประเทศเมียนมาร์ และประเทศฟิลิปปินส์   นายบำรุง อุชุภาพ ประธานสภาวัฒนธรรมจังหวัดชุมพร กล่าวว่า ชุมชนตลาดล่าง 100 ปี ตั้งอยู่ในพื้นที่ หมู่ที่ 5 ตำบลนาโพธิ์ อำเภอสวี หรือหลังสถานีรถไฟสวี ติดกับแม่น้ำสวี เป็นชุมชนที่อยู่อาศัยดั้งเดิม มีประวัติความเป็นมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2466 เมื่อ นายมุตัน แซ่ฮุ่น คหบดีชาวจีน ได้ซื้อที่ดินจากชาวบ้านเพื่อสร้างโรงสีข้าว โรงเลื่อยและอาคารพาณิชย์ห้องแถวไม้สองชั้น ตลอดแนวสองฝากถนนวานิชบำรุง เพื่อเป็นบ้านพักอาศัยและค้าขายจนกลายเป็นชุมชนตลาดร้านค้าที่สมบูรณ์มากขึ้น   โครงสร้างอาคารมีลักษณะทางสถาปัตยกรรมที่มีเอกลักษณ์ของชุมชน คือ ช่องทางเดินใต้พื้นชั้นบน กว้าง 1.20-1.50 เมตร เสาลอย ด้านอาคารเป็นเสาสี่เหลี่ยมจัตุรัส ใช้ไม้เป็นวัสดุ มีการตกแต่งเซอะร่องย่อมุมตามแบบสถาปัตยกรรมภาคใต้ และเมื่อปี พ.ศ.2556 ได้รับโล่รางวัลด้านสถาปัตยกรรมดีเด่นจากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี “โครงการแนวทางอนุรักษ์มรดกทางสถาปัตยกรรม” ได้รับการอนุเคราะห์สนับสนุนจากกองทุนวิจัย สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง สำหรับกิจกรรมภายในงานระหว่างวันที่ 24-25 กรกฎาคม 2557 บริเวณชุมชนตลาดล่าง 100 ปีนั้น ชมการแสดงศิลปวัฒนธรรม “ของดีบ้านฉัน”ทั้ง 8 อำเภอ ประกอบด้วย      1. อำเภอเมือง ชมนิทรรศการ ประเพณี แข่งขันเรือยาวขึ้นโขนชิงธง ชิงถ้วยพระราชทานฯ คลองในหลวงหัววัง-พนังตัก ศิลปะการแสดงมโนราศียาภัย ผ้าทอไทยทรงดำ      2. อำเภอสวี ชมนิทรรศการประเพณีขึ้นผ้าห่มพระบรมธาตุ ศิลปะการแสดงเพลงนา เมนูข้าวไร่ ผ้าไหมพื้นเมือง      3. อำเภอท่าแซะ ชมนิทรรศการประเพณีขึ้นถ้ำรับร่อ ศิลปะการแสดงเรือบก ชิมข้าวต้มใบกะพ้อกับกล้วยเล็บมือนาง ผ้าทอมือสันตินิมิต      4. อำเภอปะทิว ประเพณีปิดทองแก้สินบนปี ขึ้นถ้ำเขาพลู ศิลปะการแสดงยักมาลัย ชมเคยกุ้ง ชิมแกงส้มทุเรียนกุ้งสด      5. อำเภอหลังสวน ชมนิทรรศการประเพณีแห่พระแข่งเรือขึ้นโขนชิงธงชิงโล่และถ้วยพระราชทาน ชมการแสดงกลองยาวรุ่งศรีรัตน์ ชมชิมห่อหมกปลา แกงไตปลา      6. อำเภอทุ่งตะโก ชมนิทรรศการประเพณีสรงน้ำพระธาตุมุจลินทร์ ศิลปะการแสดงเพลงบอก เพลงนา ทอผ้าพื้นเมือง      7. อำเภอละแม ชมนิทรรศการประเพณีห่มผ้าพระธาตุเจดีย์เขาน้อย ศิลปะการแสดงกลองยาว การแสดงดนตรีไทย ชิมกล้วยหอมทองฉาบ      8. อำเภอพะโต๊ะ นิทรรศการล่องแพพะโต๊ะ การแสดงระบำร่อนแร่ ชิมแกงส้มหยวกกล้วยป่าหมูสามชั้น และยำผักพื้นบ้าน   นายบำรุง กล่าวต่อว่า เชิญชวนทุกท่านได้มาชิมอาหารพื้นเมือง ชมการประกวดธิดาวัฒนธรรม เที่ยวชมชุมชนตลาดล่าง 100 ปี สถานที่จริง สถาปัตยกรรมเก่าแก่เป็นเอกลักษณ์ประจำถิ่น หาดูได้ยาก กับบรรยากาศจำลอง แสง สี เสียง พร้อมทั้งสานสัมพันธ์ ระหว่าง 3 ประเทศไว้ด้วยกันด้วยการแลกเปลี่ยนการแสดงทางวัฒนธรรม ไทย เมียนมาร์ (พม่า) และฟิลิปปินส์   วันที่ 24 กรกฎาคม 2557 ชมและร่วมพิธีเปิดยิ่งใหญ่ พร้อมขบวนแห่รอบอำเภอสวี นำโดยดุริยางค์โรงเรียนสวีวิทยา ขบวนสามล้อถีบ ขบวนรถยนต์โบราณรุ่นและยี่ห้อต่างๆ สมัยสงครามโลก ขบวนของสภาวัฒนธรรมทั้ง 8 อำเภอ ดำเนินการโดย สภาวัฒนธรรมจังหวัดชุมพร สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดชุมพร องค์การบริหารจังหวัดชุมพร เทศบาลตำบลนาโพธิ์ สพป.ชพ 2/สมาคมผู้บริหารศึกษา อำเภอสวี สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ นายบำรุง อุชุภาพ ประธานสภาวัฒนธรรมจังหวัดชุมพร โทร.08-6129-0143 ข้อมูลจาก หนังสือพิมพ์บ้านเมือง วันที่ 11 กรกรฎาคม 2557  

เทศกาลชมดอกปทุมมา ทิวลิปไทย รับสายฝน

ศิลปินนักจัดดอกไม้ไทยที่มีชื่อเสียงในระดับนานาชาติ สกุล อินทกุล ผู้ก่อตั้งพิพิธภัณฑ์วัฒนธรรมดอกไม้ ชวนเที่ยวงาน “เทศกาลชมดอกปทุมมา ทิวลิปไทย รับสายฝน” ระหว่างวันที่ 25 กรกฎาคม ถึงวันที่ 24 สิงหาคมนี้ ระหว่างเวลา 10.00-18.00 น. หยุดทุกวันจันทร์ ณ พิพิธภัณฑ์ดอกไม้ถนนสามเสน ซอย 28   อิ่มตาและอิ่มใจไปกับดอกปทุมมาและดอกกระเจียวหลากสีนานาพันธุ์ ในบรรยากาศแสนคลาสสิก ของบ้านโบราณ สมัยรัชกาลที่ 6สถาปัตยกรรมแบบยุคโคโลเนียล ท่ามกลางสวนเมืองร้อนอันร่มรื่นสวยงาม พร้อมชมงานอาร์ตอินสตอลเลชั่นดอกกระเจียวที่สวยงาม แปลกตา ประทับใจหลายชิ้น ฝีมือออกแบบโดย สกุล อินทกุล Floral Artist ไทยที่มีชื่อเสียงในระดับนานาชาติ เพื่อจินตนาการ เสริมสร้างแรงบันดาลใจ   ทั้งนี้ สกุล อินทกุล เป็นศิลปินนักจัดดอกไม้ที่มีชื่อเสียงอันดับต้นๆ ของประเทศไทยเเละในระดับโลก มีผลงานให้เห็นตั้งแต่โรงแรม รีสอร์ท อีเว้นท์งานแต่งงาน ไปจนถึงเทศกาลระดับนานาชาติ โดยฝากผลงานสร้างชื่อไว้มากมาย เช่น เทศกาลภาพยนตร์นานาชาติแห่งกรุงโรม เมื่อปี พ.ศ.2550 หรืองานเเต่งงานของดาราฮ่องกงชื่อดังอย่าง เหลียงเฉาเหว่ย เป็นต้น   นอกจากนี้ ยังพิสูจน์ฝีมือโดยการคว้ารางวัลจากสถาบันดัง อย่าง ยูเนสโก(Unesco) เเละ จี-มาร์ก (G-mark) สร้างความภาคภูมิใจให้ประเทศไทยเป็นอย่างมาก ตลอดช่วงชีวิตการทำงานในฐานะศิลปินนักจัดดอกไม้ ที่มีโอกาสเดินทางไปจัดดอกไม้ และได้สัมผัสคลุกคลีอยู่ในวัฒนธรรมต่างๆ ทั่วโลกโดยเฉพาะโซนเอเชีย เช่น อินเดีย, จีน, ทิเบต, ญี่ปุ่น, อินโดนีเซีย (บาหลี) และลาว เป็นต้น ได้เก็บเกี่ยวประสบการณ์เหล่านั้น มาเขียนหนังสือเกี่ยวกับดอกไม้ การจัดดอกไม้นานาชาติ ไว้อีกหลายเล่ม   สำหรับพิพิธภัณฑ์ดอกไม้แห่งนี้เกิดขึ้นจากแรงบันดาลใจของ สกุล อินทกุลที่ตั้งใจให้เป็นที่แสดงชิ้นงานเกี่ยวกับวัฒนธรรมดอกไม้-ใบไม้ โดยรวบรวมได้มาจากทุกทวีป ทำให้ภายในพิพิธภัณฑ์เต็มไปด้วยเรื่องราวของวัฒนธรรมของดอกไม้แห่งแรกในประเทศไทยและแห่งเดียวของโลก ที่ซึ่งบรรจุชิ้นงานและหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวกับการจัดดอกไม้จากอดีตถึงปัจจุบัน   สำหรับคนรักศิลปะจัดดอกไม้สามารถมาจับจ่ายซื้อของพร้อมร่วมกิจกรรมงานออกร้านบันดาลใจจากดอกไม้ในสุดสัปดาห์แรก วันเสาร์และอาทิตย์ที่ 26-27 กรกฎาคม 2557 ของงาน “เทศกาลชมดอกปทุมมา ทิวลิปไทย รับสายฝน” บัตรเข้าชมงานราคา 150 บาท เด็กลดครึ่งราคา รายละเอียดเพิ่มเติมสอบถามได้ที่ โทร.02-6693633-4 หรือที่ www.floralmuseum.com   ข้อมูลจาก หนังสือพิมพ์แนวหน้า วันที่ 21 กรกรฎาคม 2557

'เวียดนาม' มอบ 'มิก-21' ให้ ทอ.ไทยนำเข้าพิพิธภัณฑ์

วันที่ 18 ก.ค. ที่พิพิธภัณฑ์กองทัพอากาศ พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง ผบ.ทอ.ในฐานะรองหัวหน้าคณะรักษาความมั่นคงแห่งชาติ (คสช.) รับผิดชอบด้านเศรษฐกิจ ได้เป็นประธานรับมอบเครื่องบินขับไล่สกัดกั้นความเร็วเหนือเสียง แบบมิกโกยัน-กูเรวิช มิก-21 บิส (MIG-21 Bis) หมายเลข 5202 พร้อมเครื่องมือเครื่องบินและอุปกรณ์อำนวยความสะดวกที่จำเป็น รวมทั้งอุปกรณ์ประจำตัวนักบินประกอบด้วยชุดบินหมวกบินและรองเท้านักบิน ของกระทรวงกลาโหมเวียดนาม   โดยมี น.อ.พิเศษ วู๋ โฮ่ย อาน รองเจ้ากรมช่างอากาศ กองทัพอากาศและป้องกันภัยทางอากาศเวียดนาม เป็นผู้มอบเพื่อนำมาตั้งแสดง ณ พิพิธภัณฑ์กองทัพอากาศไทยเพื่อเป็นการส่งเสริมความร่วมมือระหว่างกองทัพอากาศไทยกับกองทัพอากาศเวียดนาม ความสัมพันธ์อันดีของทั้งสองประเทศ เพื่อสอดคล้องกับการเข้าสู่ประชาคมอาเซียนในปี 2558   น.อ.พิเศษ วู๋ โฮ่ย อาน กล่าวว่า เครื่องบินขับไล่แบบมิก 21 ทางกองทัพเวียดนามใช้ในสงครามต่อต้านกองทัพสหรัฐอเมริกา และสามารถทำลายเครื่องบินสหรัฐฯจำนวนมากโดยเฉพาะเครื่องบินแบบ บี 52 ทั้งนี้ หวังว่ากองทัพอากาศไทยจะเผยแพร่เกียรติภูมิของเครื่องบินขับไล่ มิก 21 ให้กับข้าราชการและคนไทยได้รับทราบ และขอให้กองทัพไทยและกองทัพอากาศทั้งสองประเทศมีความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้น รวมถึงประชาชนคนไทยและคนเวียดนามที่มีความสัมพันธ์ที่ดีตามขึ้นไปด้วย   ด้าน พล.อ.อ.ประจิน กล่าวว่า รู้สึกมีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้เดินทางมารับมอบเครื่องบิน มิก-21 จากกองทัพอากาศของเวียดนาม ซึ่งนำมามอบให้กับกองทัพอากาศของไทย เพื่อมาตั้งแสดงให้ข้าราชการของกองทัพอากาศไทย และบุคคลทั่วไปได้ศึกษา นับเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง และยั้งเป็นการแสดงความสัมพันธ์ของกองทัพทั้งสองประเทศ   ทั้งนี้ ในช่วงสองปีที่ผ่านมา ทางกองทัพอากาศไทย และกองทัพอากาศเวียดนาม ได้เน้นถึงความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ได้มีการแลกเปลี่ยนการเยือนระหว่างผู้นำทั้งสองประเทศ ซึ่งก่อนหน้านี้ รมว.กลาโหม ของไทยเยือนเวียดนาม และได้เข้าพบ รมว.กลาโหมเวียดนาม และได้มีการพูดคุยเรื่องที่จะนำเครื่องบินมิก มาติดตั้งในพิพิธภัณฑ์กองทัพอากาศไทย หลังจากนั้นก็มีการสานต่อ โดยผู้บัญชาการทหารอากาศทั้งสองประเทศ ซึ่งทางกองทัพเวียดนามก็ได้ส่งเครื่องบินดังกล่าวมาให้เพื่อเป็นการตอบแทนและสานสัมพันธ์ ระลึกถึงความเป็นทหารอากาศด้วยกัน   ข้อมูลจาก ไทยรัฐออนไลน์ วันที่ 18 กรกรฎาคม 2557

โจรกรรมพระพุทธรูปล้ำค่า 7 องค์ พิพิธภัณฑ์วัดเทพเจริญ

วันที่ 17 กรกฎาคม ร.ต.อ.นพดล ภักดีสว่าง พนักงานสอบสวนเวร สภ.ท่าแซะ อ.ท่าแซะ จ.ชุมพร รับแจ้งว่ามีคนร้ายบุกเข้าไปโจรกรรมพระพุทธรูป 7 องค์ที่เก็บรักษาไว้ในพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นภายในวัดเทพเจริญ หรือ วัดถ้ำรับร่อ ต.ท่าข้าม เป็นวัดที่ได้รับการประกาศเป็นโบราณสถานเมื่อปี 2479 และยังเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญแห่งหนึ่งของจังหวัดชุมพร   พร้อมด้วยพ.ต.อ.ภาสกร ณ พิกุล ผกก.สภ.ท่าแซะ และเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐาน ภ.จว.ชุมพร รุดไปตรวจสอบ พบร่องรอยคล้ายคนร้ายใช้เครื่องมือตัดเหล็กสายยูที่คล้องประตูหน้าออกก่อนเข้าไปโจรกรรมทรัพย์สิน โดยไม่ได้ไขกุญแจ   ส่วนทรัพย์สินที่หายไปประกอบด้วย พระพุทธรูปปางมารวิชัย รูปแบบศิลปะรัตนโกสินทร์ เนื้อโลหะสีดำ หน้าตักกว้าง 12 นิ้ว สูง 15 นิ้ว อายุไม่ต่ำกว่า 100 ปี 1องค์ พระแก้วมรกตจำลอง ปางสมาธิและปางมารวิชัย หน้าตักกว้าง 4-5 นิ้ว สูงประมาณ 6-7 นิ้ว  3 องค์ และ พระพุทธรูปไม้ ประทับยืน ปางห้ามญาติ ปิดทอง สูงประมาณ 13 นิ้ว  3องค์ วางอยู่บนชั้นจัดแสดงในส่วนพระพุทธรูป ยังไม่สามารถประเมินมูลค่าทรัพย์สินที่ถูกโจรกรรมไปได้   นายวรรณา วรดิษฐ์  หนึ่งในกรรมการวัดเทพเจริญ เปิดเผยว่า วัดเทพเจริญมีกรรมการวัด 5คน มีพระภิกษุจำพรรษาจำนวน 9 รูป แต่ช่วงกลางวันพระส่วนใหญ่รับนิมนต์ออกไปปฏิบัติศาสนกิจนอกวัด บางรูปที่ไม่ได้รับนิมนต์ก็มีอายุมากแล้วจึงอาจดูแลไม่ทั่วถึง ที่ผ่านมาไม่เคยมีเหตุการณ์เกิดขึ้น และไม่เคยมีพนักงานรักษาความปลอดภัย ส่วนคนร้ายอาจเป็นได้ทั้งคนในพื้นที่หรือคนต่างถิ่น แต่คงต้องให้เจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจสอบให้แน่ชัดก่อน   สำหรับพระพุทธรูปที่หายไปเป็นพระเก่าที่ประเมินมูลค่าไม่ได้1 องค์ ส่วนอีก 6 องค์เป็นพระพุทธรูปที่มีอายุหลายสิบปี คงต้องนำกล้องวงจรปิดเข้ามาติดตั้งรอบๆ วัด โดยเฉพาะที่อาคารพิพิธภัณฑ์ และนำตู้แดงเข้ามาติดตั้งเพื่อให้ตำรวจเข้ามาตรวจสอบ ของที่จัดแสดงในพิพิธภัณฑ์ส่วนใหญ่ชาวบ้านนำมามอบให้วัด และจากการตรวจสอบไม่พบร่องรอยการงัดแงะ คาดว่าคนร้ายคงใช้เครื่องมือตัดสายยูเหล็กเข้าไป   ข้อมูลจาก มติชนออนไลน์ วันที่ 17 กรกรฎาคม 2557

ไปรษณีย์ไทยเปิดปฏิบัติการอ๊บอ๊บ...จับกบใส่แสตมป์

นายสมรักษ์ เหมวิมล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด (ปณท) กล่าวในโอกาสจัดกิจกรรม “ปฏิบัติการอ๊บ อ๊บ จับกบใส่แสตมป์” ณ พิพิธภัณฑ์ธรรมชาติวิทยา อพวช. รังสิต คลอง 5 โดยภายในงานมีการเปิดตัวแสตมป์ชุดสัตว์สะเทินน้ำสะเทินบก พร้อมทั้งนิทรรศการและกิจกรรมให้ความรู้เกี่ยวกับสัตว์สะเทินน้ำ สะเทินบก และสิ่งมีชีวิตชนิดต่างๆ   “แสตมป์ชุดดังกล่าวเป็นภาพสัตว์สะเทินน้ำสะเทินบก 4 ชนิด ที่พบเห็นได้ในประเทศไทย ได้แก่ คางคกหัวราบ อึ่งกรายหัวแหลม ปาด และ กบบัว ซึ่งถือเป็นครั้งแรกที่ได้นำภาพสัตว์เหล่านี้มาทำเป็นแสตมป์ สำหรับความพิเศษของแสตมป์ชุดนี้ ได้แก่การใช้เทคนิคสปอตยูวีบนตัวสัตว์ทำให้ภาพมีสีสันสดใสดูสมจริง เพิ่มความมีชีวิตชีวาให้กับสัตว์สะเทินน้ำสะเทินบกทั้ง 4ชนิด ผู้สนใจสามารถเป็นเจ้าของแสตมป์ชุดนี้ได้ตั้งแต่วันที่ 10 ก.ค. 57 เป็นต้นไป ในราคาดวงละ 5 บาท แผ่นชีทที่ระลึก 35 บาท และซองวันแรกจำหน่าย 31 บาท รวมถึงยังได้นำนิทรรศการแสตมป์ที่เกี่ยวข้องกับสัตว์หลายชนิดมาจัดแสดงอีกด้วย”   นายสาคร ชนะไพฑูรย์ รองผู้อำนวยการ รักษาการแทนผู้อำนวยการองค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ (อพวช.) กล่าวว่าพิพิธภัณฑ์ธรรมชาติวิทยาเป็นหนึ่งในแหล่งเรียนรู้ของ อพวช. ที่นำเสนอความรู้เกี่ยวกับวิวัฒนาการและความหลากหลายทางชีวภาพของสิ่งมีชีวิต นอกจากนี้ยังเป็นสถานที่เก็บรักษาและให้บริการตัวอย่างอ้างอิงทางวิชาการที่เกี่ยวข้องกับธรรมชาติวิทยา ตลอดจนเป็นศูนย์ศึกษาด้านอนุกรมวิธานและงานวิจัยด้านความหลากหลายทางชีวภาพของประเทศ   “ในการจัดทำแสตมป์ครั้งนี้ อวพช.โดยพิพิธภัณฑ์ธรรมชาติวิทยา ได้ส่งนักวิชาการที่มีความรู้ความชำนาญเฉพาะทางประกอบด้วย นายสัญชัย เมฆฉาย นายวัชระ สงวนสมบัติ และนายยุทธพงษ์ รัศมี ในการให้ภาพถ่ายและข้อมูล เช่น ความถูกต้องของชื่อวิทยาศาสตร์ การจัดท่าทาง ความถูกต้องของลักษณะและสีสันของภาพ โดยเน้นชนิดที่สวยงาม แปลก เพื่อให้คนทั่วไปได้เห็นถึงความสำคัญของสัตว์กลุ่มนี้ในระบบนิเวศ รวมถึงมีทัศนคติที่ดีต่อสัตว์กลุ่มกบเขียด ซึ่งหวังว่าในอนาคต อพวช. และไปรษณีย์ไทย จะได้ร่วมกันสร้างสรรค์แสตมป์ในแบบต่าง ๆ โดยเฉพาะการให้ความรู้ในด้านธรรมชาติวิทยาเพื่อกระตุ้นให้ผู้พบเห็นเกิดความสนใจศึกษาหาข้อมูลร่วมถึงอนุรักษ์พันธุ์พืชและสัตว์ต่างๆ ต่อไป”   ภายในงานยังมีการโชว์แสตมป์ชุดนกกลางคืนที่เรืองแสงได้เมื่ออยู่ภายใต้แสงอัลตราไวโอเล็ต บริการถ่ายภาพแสตมป์ จำหน่ายแสตมป์และสิ่งสะสม สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ฝ่ายตลาดตราไปรษณียากร โทร. 0 2831 3853, 0 2831 3856, 0 2573 5463, หรือทางไลน์ stampinlove   ข้อมูลจาก ThaiPR.net วันที่ 16 กรกฎาคม 2557

เปิดบ้านศิลปากร “พิพิธภัณฑ์เรือพระราชพิธี แห่งเดียวในโลก”

นายเอนก สีหามาตย์ อธิบดีกรมศิลปากร เป็นประธานในกิจกรรมเปิดบ้านศิลปากร พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เรือพระราชพิธี เตรียมพัฒนาเป็นพิพิธภัณฑสถานและศูนย์การศึกษาเรือพระราชพิธี เพื่อเป็นแหล่งเรียนรู้รองรับการจัดการศึกษาของชาติทุกระดับ ทุกรูปแบบ และเป็นแหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมสำคัญระดับโลก โดยมี พล.ร.ต.ทักษิณ ฤกษ์สังเกตุ ผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพเรือ เป็นผู้แทนผู้บัญชาการทหารเรือ ร่วมกิจกรรม   นายเอนก สีหามาตย์ อธิบดีกรมศิลปากร กล่าวว่า พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เรือพระราชพิธี เป็นหน่วยงานราชการส่วนกลางสังกัดสำนักพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ จัดแสดงเรื่องราวเกี่ยวกับเรือพระที่นั่งและเรือพระราชพิธีที่ใช้ในขบวนพยุหยาตราทางชลมารคหรือทางน้ำของพระมหากษัตริย์ไทย จำนวน 8 ลำ จากเรือทั้งหมด 52 ลำ ซึ่งเรือพระราชพิธีเหล่านี้มีประวัติความเป็นมายาวนาน แต่ละลำทำด้วยฝีมือประณีตงดงาม ล้วนทรงคุณค่าสูงยิ่งทางศิลปกรรม เป็นมรดกทางวัฒนธรรมล้ำค่าของชาติและของโลก ดังนั้น กรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม จึงเสนอโครงการพัฒนาพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เรือพระราชพิธี เพื่อให้เป็นพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติที่รวบรวมเรือพระราชพิธีทั้งที่มีอยู่ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เรือพระราชพิธี และที่กระจัดกระจายอยู่ในที่อื่นๆ ให้มาอยู่ในที่เดียวกัน ปรับปรุงพัฒนาการจัดแสดงให้มีมาตรฐานน่าสนใจ ในลักษณะศูนย์ศึกษาเรือพระราชพิธีของชาติ ปรับปรุงภูมิทัศน์โดยรอบให้มีความเป็นระเบียบสวยงาม พัฒนาเส้นทางเข้าถึงพิพิธภัณฑ์ให้มีความสะดวก ปลอดภัย และมีหลายทางเลือก เพื่อให้พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เรือพระราชพิธีเป็นพิพิธภัณฑสถานที่มีความสมบูรณ์ มีมาตรฐาน มีศักยภาพในการรองรับการขยายตัวทั้งในด้านศึกษาเรียนรู้และการท่องเที่ยวต่อไป   ทั้งนี้ จากการหารือกับหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นกองทัพเรือ กรมการท่องเที่ยว กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ทุกหน่วยงานมีความยินดีและพร้อมให้ความร่วมมือกับกรมศิลปากรในการดำเนินโครงการดังกล่าว ซึ่งผลจากการดำเนินแผนพัฒนาพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เรือพระราชพิธี จะทำให้เรือพระราชพิธี มีการจัดแสดงและสถานที่เก็บรักษาที่เหมาะสม มีความสง่างาม สามารถเปิดพื้นที่แหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมสำคัญระดับโลก มีกิจกรรมที่สามารถตอบสนองความต้องการของชุมชนทั้งในระดับพื้นที่และการท่องเที่ยวระดับชาติ คาดว่าจะมีผู้เข้าชมทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ ไม่น้อยกว่า 1 แสนคนต่อปี โดยโครงการนี้เป็นหนึ่งในโครงการที่กรมศิลปากรดำเนินการตามนโยบายของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ในการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะยาว   ข้อมูลจาก หนังสือพิมพ์บ้านเมือง วันที่ 14 กรกฎาคม 2557

ฉกภาพจิตรกรรมล้ำค่า "อังคาร กัลยาณพงศ์" ทายาทขอคืนทำ "พิพิธภัณฑ์"

จากกรณีนางอุ่นเรือน กัลยาณพงศ์ ภรรยาอังคาร กัลยาณพงศ์ ศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์ ปี พ.ศ.2532 และเจ้าของรางวัลวรรณกรรมสร้างสรรค์ยอดเยี่ยมแห่งอาเซียน หรือซีไรต์ (S.E.A.Write) ปี พ.ศ.2529 จากผลงานกวีรวมเล่ม ปณิธานกวีŽ ผู้มีผลงานทั้งในด้านกวีนิพนธ์และภาพเขียน ออกมาเปิดเผยว่า ภาพเขียนล้ำค่าของอังคารจำนวนมากถูกลูกจ้างในบ้านลักเอาไปขายให้กับร้านทำกรอบรูปแห่งหนึ่งขณะรวบรวมภาพเพื่อทำพิพิธภัณฑ์ซึ่งหลังจากทราบว่าภาพหายไปก็พยายามติดต่อขอภาพคืน แต่ได้รับการปฏิเสธนั้น ล่าสุด เมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม น.ส.อ้อมแก้ว กัลยาณพงศ์ บุตรสาวของอังคาร กัลยาณพงศ์ เปิดเผยกับมติชนว่า ภาพของบิดาหายไปจริง โดยหลังจากบิดาเสียชีวิต ครอบครัวก็เตรียมทำพิพิธภัณฑ์ภาพเขียนของบิดา จึงมีการค้นหารวบรวมภาพกระทั่งทราบว่าภาพหายไปเมื่อช่วงเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา โดยภาพเก็บไว้ที่บ้านพักในซอย 59 พระราม 9 กทม. จึงได้เรียกคนงานในบ้านชื่อ อ้นŽ มาสอบถาม เนื่องจากเป็นคนที่มีหน้าที่ดูแลหลายๆ อย่างในบ้าน ทั้งขับรถให้บิดานั่งสมัยมีชีวิตอยู่ และทำหน้าที่คล้ายเลขานุการจัดการทุกๆ อย่างในบ้าน แต่หลายปีก่อนอ้นเคยลักเอาภาพไปขาย พอจับได้ รับสารภาพ ทั้งบิดาและครอบครัวของตนก็ให้อภัย ในครั้งนี้เมื่อพบว่าภาพหายไปอีก จึงเค้นถามอีกครั้งจนอ้นสารภาพว่าลักเอาภาพไปขายจริง โดยขายให้กับร้านกรอบรูปชื่อสุทธาศิริ ตั้งอยู่ย่านบางพลัด กทม. โดยร้านนี้เป็นร้านที่บิดาสั่งซื้อไม้มาทำกรอบรูปเป็นประจำ โดยปกติจะทำกรอบรูปที่บ้าน แต่ซื้อไม้ประกอบมาจากร้านแห่งนี้  ตรวจสอบทราบว่ามีภาพที่ถูกลักเอาไปประมาณ 20 ภาพ ซึ่งล้วนเป็นภาพฝีมือบิดาที่มีคุณค่ามาก นอกจากนี้ยังมีภาพสเกตช์ในแฟ้มที่ยังถูกลักเอาไปด้วย มูลค่านับล้านบาทŽ น.ส.อ้อมแก้วกล่าว น.ส.อ้อมแก้วกล่าวต่อว่า ปกติแล้วภาพของบิดาหากขายมูลค่าหลักแสนบาท แต่ทราบว่าภาพเขียนที่ อ้นŽ ลักเอาไปขายนั้น ขายให้ร้านดังกล่าวในราคาถูก และทราบว่ามีการอ้างว่ามารดาของตนให้นำไปขาย มีการโอนเงินเข้าในบัญชีธนาคารชื่อมารดา แต่เป็นบัญชีที่เลิกใช้แล้ว และอ้นได้ขโมยบัตรเอทีเอ็มไปกดเอาเงินจากการขายภาพเขียนไปทั้งหมด ซึ่งหลังจากจับได้อ้นก็ยอมรับ แต่ไม่สามารถใช้เงินคืนได้ ครอบครัวของตนไม่อยากแจ้งความ ให้อภัยอ้นได้ ไม่อยากให้ต้องถูกจับกุมติดคุก    เนื่องจากเป็นคนเก่าแก่ที่ทางครอบครัวดูแลมาตั้งแต่เด็กจนถึงตอนนี้เพียงหวังว่าอยากได้ภาพเขียนเหล่านั้นคืน เพราะเป็นภาพที่มีคุณค่ามาก  ทางครอบครัวได้ให้ญาติที่เป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจช่วยประสานงาน แต่ไม่แจ้งความพยายามติดต่อเจรจาขอภาพคืน แต่ไม่ได้รับความร่วมมือ ใครสงสัยว่าได้ซื้อของอังคาร กัลยาณพงศ์ ไปโดยไม่ถูกต้องอยากให้ติดต่อประสานกับครอบครัวโดยตรง    อนึ่ง อังคาร กัลยาณพงศ์ ได้เสียชีวิตลงอย่างสงบด้วยวัย 86 ปี เมื่อเวลา 01.30 น. วันที่ 25 สิงหาคม พ.ศ.2555 หลังจากป่วยเป็นโรคหัวใจและโรคเบาหวานเรื้อรังมานาน   ข้อมูลจาก มติชนรายวัน วันที่ 12 กรกฎาคม 2557