พิพิธภัณฑ์กลางแจ้ง Bio-Geo Path ภายใต้การดูแลของคณะวิทยาศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล จัดตั้งขึ้นเพื่อเป็นแหล่งเรียนรู้ประวัติศาสตร์ของมนุษย์ด้วยตนเอง โดยจัดแบ่งพื้นที่ออกเป็นส่วน ๆ ตามไทม์ไลน์ สอดคล้องกับระยะเวลาตามช่วงหลายพันล้านปีการธรณีวิทยา บรรยากาศโลก และการกำเนิดโลก แหล่งเรียนรู้นี้เป็นที่รวบรวมวัตถุธรณีประเภทหิน แร่ ที่เป็นตัวอย่างมาตรฐานที่พบในประเทศไทย และภูมิภาคโดยการจัดแสดงหินแบบฉบับที่พบในหินยุคต่าง ๆ รวมถึงรูปจําลองซากดึกดําบรรพ์ของพืชและสัตว์นอกจากนั้นยังมีการจัดแสดงพันธุ์ไม้ที่ยังคงดํารงพันธุ์อยู่จนถึงปัจจุบัน
โดย:
วันที่: 10 กุมภาพันธ์ 2555
ชื่อผู้แต่ง: หนุ่มลูกทุ่ง | ปีที่พิมพ์: 20 กันยายน 2554
ที่มา: ASTVผู้จัดการออนไลน์
แหล่งค้นคว้า: ศมส.
โดย: ศมส.
วันที่: 13 มีนาคม 2555
แนะนำพิพิธภัณฑ์โดยทีมงานและสมาชิก
รีวิวของพิพิธภัณฑ์กลางแจ้ง Bio-Geo Path
การได้เรียนรู้เรื่องวิวัฒนาการของธรรมชาติ ช่วยขยายโลกทัศน์ของการมองโลกนี้ได้กว้างไกลขึ้น โลกของเราถือกำเนิดพร้อมระบบสุริยจักรวาลเมื่อประมาณ 4600 ล้านปีที่แล้ว ผ่านมหายุคและยุคธรณีกาลต่างๆ จนกระทั่งมาถึงยุคที่มนุษย์ครองโลกอย่างในปัจจุบัน Bio-Geo Path มีชื่อภาษาไทยว่า เส้นทางชีว-ธรณี เป็นพิพิธภัณฑ์กลางแจ้งภายในสวนของคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล วิทยาเขตพญาไทพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ประกอบด้วยองค์ความรู้ด้านชีววิทยา ด้านธรณีวิทยา ด้านพฤกษศาสตร์ การจัดแสดงประกอบด้วยรูปจำลองซากดึกดำบรรพ์ของพืชและสัตว์ มีตัวอย่างหินแร่ก้อนโตๆที่สะสมแร่ธาตุมาในแต่ละยุค หินเหล่านี้นำมาจากหลายจังหวัดในประเทศไทย
เส้นทางชีวะ-ธรณี เริ่มขึ้นในปี 2549 เกิดมาจากกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมีความคิดที่จะให้ถนนสายนี้เป็นถนนสายวิทยาศาสตร์ เพื่อให้ความรู้แก่เด็ก เยาวชนและบุคคลทั่วไป คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล จึงได้ร่วมโครงการถนนสายวิทยาศาสตร์ จัดทำเป็นเส้นทางศึกษาชีววิทยาและธรณีศาสตร์(Bio-Geo Path)การจัดแสดงแบ่งออกเป็นยุคต่างๆตามตำรา เรียกว่ามาตราธรณีกาล(Geology Time Scale)โดยมี 4 มหายุค แต่ละมหายุคก็จะแบ่งเป็นยุคย่อยๆ
ดร.ณัฐพล อ่อนปาน อาจารย์ประจำภาควิชาชีววิทยา เป็นผู้บรรยายและนำชม การบรรยายของอาจารย์ทำให้เห็นว่าเรื่องวิวัฒนาการของธรรมชาติเป็นเรื่องสนุก ชวนติดตาม รูปจำลองที่โดดเด่นของที่นี่คือช้างแมมมอธ ซึ่งที่นี่ได้ออกแบบให้สร้างได้สมจริง ช้างแมมมอธต้องมีขนปกคลุมตัว รูปจำลองอื่นๆได้แก่ ไดโนเสาร์ กรามปลาฉลาม ม้าโบราณตัวเล็ก ต้นไม้โบราณ มนุษย์โบราณในแต่ละยุค
จุดแรกคือ มหายุคพรีแคมเบรียน(Precambrian Era) 542 ล้านปีที่แล้ว รูปจำลองแสดงภูเขาและทะเล ใกล้กันมีก้อนหิน ด้านบนสามารถเลื่อนดูซากดึกดำบรรพ์ของเซลล์สิ่งมีชีวิตขนาดเล็กขนาดขยายในยุคนั้น อย่างพวกไซแอโนแบคทีเรีย ตัวนี้สามารถสังเคราะห์แสงได้ ทำให้โลกมีปริมาณออกซิเจนเพิ่มขึ้น นำไปสู่กำเนิดสิ่งมีชีวิตอื่นๆในเวลาต่อมา หินที่พบในมหายุคนี้เป็นพวกหินแปร มีตัวอย่างหินไนส์ หินประเภทนี้เป็นหินแปรที่เกิดมาจากหินแกรนิต
เดินต่อมาจะเป็นมหายุคพาเลโอโซอิก(Paleozoic Era) 542-251 ล้านปีที่แล้ว เป็นยุคกำเนิดสิ่งมีชีวิตที่ซับซ้อนและหลากหลาย การแบ่งย่อยมี 6 ยุค ได้แก่ แคมเบรียน ออร์โดวิเชียน ไซลูเรียน เดโวเนียน คาร์บอนิเฟอรัสและเพอร์เมียน มีตัวอย่างของฟอสซิลไทรโลไบต์(Trilobite) มีรูปจำลองของแมงป่องน้ำยักษ์ ช่วงเวลานี้เป็นยุคของปลา ยุคของสัตว์มีกระดูกสันหลังเกิดขึ้นมาครอบครองทะเล พวกพืชจะมีพวกหวายทะนอย มีตัวอย่างซากดึกดำบรรพ์พลับพลึงทะเล ยุคคาร์บอนิเฟอรัส พวกเฟิร์นเริ่มมีใบขนาดใหญ่ รูปจำลองต้นไม้คือ เลปิโดเดนดรอน ที่เห็นเป็นรอยริ้วๆทั้งลำต้น คือรอยของใบที่หลุดร่วงไป การจำลองได้ทำตามแบบที่ค้นพบ ซึ่งซากดึกดำบรรพ์ต้นไม้ชนิดนี้ของจริงมีขนาดใหญ่โตมาก คาดว่าสูงกว่า 40 เมตร อันต่อมาที่เด็กชอบมายืนถ่ายรูปมากคือกรามฉลาม ชิ้นนี้จำลองมาเท่าของจริง อาจารย์อธิบายว่า มีการสันนิษฐานว่าพวกไทรโบไลต์สูญพันธุ์ไปก็เพราะถูกฉลามซึ่งเป็นผู้ล่ากินหมด ในยุคคาร์บอนิเฟอรัส ยุคของเฟิร์นนี้ ยังสามารถโยงเข้ากับการเกิดถ่านหินน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ แหล่งพลังงานเหล่านี้เกิดมาจากพืชปริมาณมหาศาลทับถมกัน
ต่อมาเป็นยุคกลางคือ มหายุคมีโซโซอิก ช่วง 250-65 ล้านปีที่แล้ว แบ่งออกเป็น 3 ยุค คือ ไตรแอสสิก จูแรสสิกและครีเตเชียส เป็นยุคที่เริ่มมีสัตว์เลื้อยคลาน มีไดโนเสาร์ ซากดึกดำบรรพ์ปะการัง ไม้กลายเป็นหิน กระดูกไดโนเสาร์ ในยุคนี้เมื่อผู้เข้าชมมองขึ้นไปบนยอดไม้จะเห็นไดโนเสาร์บินพวกอาร์คีออปเทอริกซ์ ซึ่งสังเกตว่ามีกรงเล็บตรงส่วนที่เป็นปีก โครงสร้างโดยทั่วไปมีลักษณะของสัตว์เลื้อยคลานอย่างไดโนเสาร์มากกว่านก
ยุคครีเตเชียสเป็นยุคสุดท้ายของยุคกลาง ปลายยุคนี้เมื่อประมาณ 65 ล้านปีที่แล้ว นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่ามีอุกาบาตรลูกใหญ่มากหล่นลงมาที่อ่าวแม็กซิโก ทำให้เกิดฝุ่นละอองฟุ้งกระจายครอบคลุมไปทั่วทั้งบรรยากาศโลก ส่งผลให้ไปลดปริมาณแสงอาทิตย์ที่ส่องลงมา ทำให้ต้นไม้สังเคราะห์แสงไม่ได้ตายลง ไดโนเสาร์กินพืชไม่มีอะไรกินจึงตาย พวกไดโนเสาร์กินเนื้อก็ตายตามกัน การที่ไดโนเสาร์ตายง่ายๆ เพราะตัวใหญ่ ต้องการอาหารมาก นั่นจึงทำให้ไดโนเสาร์สูญพันธุ์ ต่อมาพวกสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมจึงยึดครองโลกแทน
ในเส้นทางนี้มีรอยเท้า มีรูปจำลองไดโนเสาร์ โดยได้อธิบายให้เห็นว่าเมื่อไดโนเสาร์ตายลง แล้วถูกทับถมโดยตะกอนเกิดการเน่าเปื่อยผุพัง พวกกระดูกถูกแทนที่ด้วยสารเคมีพวกแคลเซียม พวกซิลิกา ทำให้แข็งกลายเป็นหิน
มาถึงมหายุคใหม่คือ มหายุคซีโนโซอิก 65 ล้านปีที่แล้วจนถึงปัจจุบัน มหายุคนี้แบ่งเป็น 2 ยุค คือ เทอร์เชียรีและควอเทอร์นารี ยุคนี้พืชที่ครองโลกคือไม้ดอกที่มีความหลากหลายเพิ่มขึ้น ซึ่งจะสอดคล้องกับความหลากหลายของแมลง พวกแมลงกับพืชดอกมีวิวัฒนาการมาด้วยกัน ปัจจุบันมีแมลงเป็นล้านชนิด ส่วนพืชดอกประมาณสองแสนเจ็ดหมื่นชนิด ยุคควอเทอร์นารี(2.5 ล้านปีที่แล้ว-ปัจจุบัน)เป็นยุคที่มนุษย์กำเนิดขึ้นมา การจัดแสดงมีรูปจำลองแมมมอธ เสือเขี้ยวดาบ ใกล้กันทำเป็นฉากจำลองผนังถ้ำ เป็นวิวัฒนาการของมนุษย์ มีการค้นพบ “ป้าลูซี่”ซึ่งเป็นชื่อเรียกของโครงกระดูกมนุษย์ที่เชื่อว่าเก่าแก่ที่สุดในสปีชีส์ออสตราโลพิเธคัส อะฟาเรนซิส(Australopithecus afarensis) ส่วนมนุษย์ปัจจุบันอยู่ในสปีชีส์ โฮโม เซเปียนส์ (Homo sapiens)
เนื่องจากการจัดแสดงเป็นพิพิธภัณฑ์กลางแจ้ง เมื่อเวลาผ่านไประยะหนึ่ง ได้เริ่มมีความเสียหายจากน้ำซึมเข้าไปในป้ายแสดงข้อมูลที่มีก้อนหินจำลองและติดกระจก ทำให้ตัวหนังสือข้างในจางและพร่าเลือน ส่วนรูปจำลองที่ซ่อมแซมเป็นประจำคือช้างแมมมอธ การทำได้สมจริงได้เกิดปัญหาอยู่บ้าง ตรงที่มีบรรดานกมาดึงขนแมมมอธไปทำรังบนต้นไม้ และการที่อยู่กลางแจ้งตากแดดตากฝนก็ทำให้สีขนจาง ต้องมีการพ่นสีใหม่ งาของแมมมอธก็เคยหักลงมาเนื่องจากมีคนไปนั่งถ่ายรูป การซ่อมแซมใหญ่ทั้งหมดให้สวยเหมือนเดิม ทางพิพิธภัณฑ์ได้ให้ช่างมาประเมินปรากฏว่ามีค่าใช้จ่ายสูงมาก จึงยังไม่ได้ดำเนินการ
ดร.ณัฐพลได้แนะนำว่าหลังจากเดินชมเส้นทาง Geo-Bio Path แล้ว ถ้าอยากเห็นไดโนเสาร์ตัวโตให้ไปชมที่พิพิธภัณฑ์ธรณีวิทยา กรมทรัพยากรธรณี อยู่ฝั่งตรงข้าม จะทำให้ได้ความรู้เกี่ยวกับซากดึกดำบรรพ์และด้านธรณีวิทยาอย่างครบถ้วน
----------------------------------------------------
สาวิตรี ตลับแป้น /ผู้เขียน /ถ่ายภาพ
สำรวจภาคสนาม วันที่ 27 กรกฎาคม 2555
----------------------------------------------------
การเดินทาง : Bio-Geo Path เป็นพิพิธภัณฑ์กลางแจ้งในสวนด้านหน้าของตึกคณะวิทยาศาสตร์ มหาลัยมหิดล ติดกับถนนพระราม 6 โดยจะเลียบไปตามแนวรั้วของประตู 3 ของมหาวิทยาลัย ประตูด้านนี้มีร้านหนังสือนายอินทร์เป็นจุดมองเห็นได้ชัด
-----------------------------------------------
อ้างอิง : ข้อมูลการสัมภาษณ์เมื่อวันที่ 27 เดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2555
เส้นทางชีวะ-ธรณี(Bio-Geo Path).(2549) ค้นเมื่อ 30 สิงหาคม 2555.จาก http://www.sc.mahidol.ac.th/CSR/?p=40
ASTV ผู้จัดการออนไลน์.(2554).รู้ไหมว่า “ป้าลูซี่”จัดอยู่ในสปีชีส์อะไร.ค้นเมื่อ 22 กันยายน 2555,จาก http://board.palungit.com/f2/
Bio-Geo Path(Blog.Aj.Joe).(2550).ค้นเมื่อ 30 สิงหาคม 2555,จากhttp://nuttpo.wordpress.com/2011/08/12/bio-geo-path
แนะนำพิพิธภัณฑ์โดยสื่อออนไลน์
ท่องโลกดึกดำบรรพ์กลางมหานคร ที่ “พิพิธภัณฑ์ Bio-Geo Path”
ยังจำได้ว่า ตอนเด็กฉันเคยสงสัยว่าโลกเป็นมาอย่างไร และมนุษย์เราเกิดมาจากอะไร แต่เมื่อเข้าเรียนก็พอจะได้เรียนเรื่องเหล่านี้มาบ้าง แต่พูดตามตรงก็คือฉันแทบจะลืมไปหมดแล้ว เพราะมันเป็นการเรียนที่ผ่านการท่องจำเป็นหลัก จนมาวันนี้ หลังจากที่ฉันได้นั่งรถผ่านเส้นทางถนนพระราม 6 ช่วงถนนสายวิทยาศาสตร์อยู่บ่อยครั้ง ทำให้เห็นว่าที่มหาวิทยาลัยมหิดล วิทยาเขตพญาไท มีสวนไม้ใหญ่เหมือนสวนป่าน่าเดินเล่นเป็นอย่างมาก เมื่อมีโอกาสได้มาต่อรถ ฉันจึงเดินเข้าไปชมอย่างที่เคยตั้งใจไว้แนะนำพิพิธภัณฑ์โดยบล็อก
แนะนำพิพิธภัณฑ์โดยสารานุกรมไทย
ฟอสซิล ธรณีวิทยา ช้างแมมมอธ สัตว์ดึกดำบรรพ์ พืชดึกดำบบรพ์ กลางแจ้ง ชีววิทยา แร่ธาตุ
พิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นกรุงเทพมหานคร เขตบางรัก
จ. กรุงเทพมหานคร
ศูนย์ศิลปวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยศรีปทุม
จ. กรุงเทพมหานคร
พิพิธภัณฑ์ธนาคารไทย
จ. กรุงเทพมหานคร