ดั้งเดิมชาวไทยเบิ้งคือ คนกลุ่มเดียวกับชาวไทยโคราช แต่อพยพโยกย้ายมาตั้งถิ่นฐานบริเวณตำบลโคกสลุง มีภาษาและวัฒนธรรมหลายอย่างคล้ายกับไทยโคราช เอกลักษณ์ของไทยเบิ้งคือภาษา ที่มักจะลงท้ายประโยคด้วยคำว่า “เบิ้ง” หรือ “เติ้ง” ทำให้คนทั่วไปเรียกคนกลุ่มนี้ว่าไทยเบิ้ง การมาถึงของเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ ได้สร้างความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ให้กับชุมชนชาวไทยเบิ้งบ้านโคกสลุง ทั้งในแง่ต้องเปิดรับกระแสเงินทุนและการพัฒนา ในช่วงเวลาดังกล่าวมีนักวิชาการเริ่มเข้าไปศึกษาผลกระทบที่เกิดขึ้นในชุมชน และเป็นคนกลุ่มแรกที่แนะนำชาวบ้านให้รื้อฟื้นความเป็นไทยเบิ้งกลับมา โดยการสร้างพิพิธภัณฑ์ไทยเบิ้ง ผู้นำชุมชนจึงคิดทำพิพิธภัณฑ์พื้นบ้านและเริ่มหาของเก่าที่ชาวไทยเบิ้งไม่ใช้แล้วนำมาจัดแสดงในพิพิธภัณฑ์ เพื่อเป็นเครื่องมือในการแสดงอัตลักษณ์ของพวกเขา ต่อมาเมื่อความสนใจเรื่องพิพิธภัณฑ์ลดน้อยลง ชาวบ้านได้ทำการรื้อฟื้นการแสดงรำโทน ซึ่งได้รับความนิยมและมักได้รับเชิญไปแสดงในที่ต่างๆ รำโทนกลายเป็นเครื่องมือชิ้นใหม่ในการแสดงตัวตนของชาวไทยเบิ้ง อัตลักษณ์ของชาวไทยเบิ้งได้ย้ายตัวเองจากพิพิธภัณฑ์มาสู่การแสดงวัฒนธรรม
ชื่อผู้แต่ง: ชาญวิทย์ ตีรประเสริฐ | ปีที่พิมพ์: 2546
ที่มา: มานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
แหล่งค้นคว้า: มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
โดย: ศมส.
วันที่: 13 มีนาคม 2555
ชื่อผู้แต่ง: สุรินทร์ มุขศรี | ปีที่พิมพ์: ปีที่22ฉบับที่ 11 ก.ย. 2544
ที่มา: ศิลปวัฒนธรรม
แหล่งค้นคว้า: ศมส.
โดย: ศมส.
วันที่: 13 มีนาคม 2555
ชื่อผู้แต่ง: ภูธร ภูมะธน | ปีที่พิมพ์: 2548;2005
ที่มา: กรุงเทพฯ: บริษัทเอ.เอส.พี ดีไซน์ พริ้นติ้ง จำกัด
แหล่งค้นคว้า: ศมส.
โดย: ศมส.
วันที่: 07 มีนาคม 2557
แนะนำพิพิธภัณฑ์โดยทีมงานและสมาชิก
ชาวไทยเบิ้งกับตัวตนในพิพิธภัณฑ์พื้นบ้าน
การบรรยายเรื่อง “ชาวไทยเบิ้งกับตัวตนในพิพิธภัณฑ์พื้นบ้าน” วันที่ 28 เมษายน 2549 โดยคุณชาญวิทย์ ตีรประเสริฐ เจ้าของวิทยานิพนธ์เรื่องพิพิธภัณฑ์พื้นบ้านการแสดงทางวัฒนธรรมและกระบวนการรื้อฟื้นความเป็นไทเบิ้ง ได้เล่าถึงที่มาที่ไป ความสำคัญ รวมถึงปัญหา และทางออกของพิพิธภัณฑ์ไทยเบิ้งพื้นบ้านโคกสลุง จังหวัดลพบุรี ซึ่งถือกำเนิดขึ้นในช่วง พ.ศ. 2540 หรือช่วงที่กระแสพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นกำลังเป็นที่นิยม
ชาญวิทย์พบว่า การมาถึงของเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ ได้สร้างความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ให้กับชุมชนชาวไทยเบิ้งบ้านโคกสลุง เมื่อเงินจำนวนมากถูกโยนลงไปในชุมชนเช่น ค่าเวนคืน ค่าก่อสร้างสาธารณูปโภคต่างๆ ทำให้เกิดปัญหาความไม่โปร่งใส ปัญหาเงินชดเชยไปไม่ถึงมือชาวบ้าน รวมทั้งปัญหาการเก็งกำไรที่ดิน ปัญหาวัยรุ่น ฯลฯ ชุมชนไทยเบิ้งดูจะอ่อนแอเกินไปเมื่อต้องเปิดรับกระแสเงินทุนและการพัฒนา
ในช่วงเวลานี้เองที่นักวิชาการเริ่มเข้าไปศึกษาผลกระทบที่เกิดขึ้นในชุมชน และเป็นคนกลุ่มแรกที่แนะนำชาวบ้านว่า ต้องรื้อฟื้นความเป็นไทยเบิ้งกลับมา รวมทั้งยังแนะว่าควรจะต้องสร้างพิพิธภัณฑ์ไทยเบิ้ง ผู้ใหญ่แดงซึ่งเป็นผู้นำชุมชนจึงคิดทำพิพิธภัณฑ์พื้นบ้าน โดยตระเวนหาของเก่าที่ชาวไทยเบิ้งไม่ใช้แล้วนำมาจัดแสดงในพิพิธภัณฑ์ เพื่อเป็นเครื่องมือในการแสดงอัตลักษณ์ของพวกเขา
อย่างไรก็ดี พิพิธภัณฑ์ไทยเบิ้งมีวงจรชีวิตไม่ต่างจากพิพิธภัณฑ์พื้นบ้านในที่อื่น คือ มักได้รับความสนใจแค่ช่วงแรกเท่านั้น จึงมีการรื้อฟื้นการแสดงรำโทน ซึ่งได้รับความนิยมและมักได้รับเชิญไปแสดงในที่ต่างๆ กล่าวได้ว่า รำโทนกลายเป็นเครื่องมือชิ้นใหม่ในการแสดงตัวตนของชาวไทยเบิ้ง อัตลักษณ์ของชาวไทยเบิ้งได้ย้ายตัวเองจากพิพิธภัณฑ์มาสู่การแสดงวัฒนธรรม
ชาญวิทย์ปิดท้ายว่า การแสดงออกซึ่งตัวตนวัฒนธรรมท้องถิ่น ไม่จำเป็นจะต้องนำเสนอผ่านรูปแบบพิพิธภัณฑ์อย่างเดียวเท่านั้น รวมทั้งเสนอว่า การทำพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นให้เป็นที่ยอมรับของคนนอก คนในท้องถิ่นต้องให้การยอมรับเสียก่อน จึงจะทำให้กระบวนการนำเสนอวัฒนธรรมท้องถิ่น ไม่ได้เป็นแค่เพียงกิจที่ทำตามๆ กันไป แต่เป็นกระบวนการสร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชนจริงๆ
ข้อมูลจาก: การบรรยายเรื่อง “ชาวไทยเบิ้งกับตัวตนในพิพิธภัณฑ์พื้นบ้าน” โดยคุณชาญวิทย์ ตีรประเสริฐ วันที่ 28 เมษายน 2549 คลิกชมวิดีโอ
รีวิวของพิพิธภัณฑ์พื้นบ้านไทยเบิ้งโคกสลุง
ถัดมาเป็นเรื่องเข้าวัดเข้าวา เด็กๆ นำชุดพื้นเมืองของชาวไทยเบิ้งของหญิงและชายมาแขวนครบชุดอธิบายการแต่งกายไปวัด หญิงจะนุ่งโจงกระเบนเสื้อสีขาว ใช้ผ้าขาวม้าแทนสไบ ส่วนผู้ชายนุ่งกางเกงขาก๊วย เสื้อแขนสั้นและผ้าขาวม้าพาดบ่า หิ้วกระเตงหรือตะกร้าใส่ข้าวปลา อาหารและน้ำไปทำบุญ
เรื่องที่ 3 คือสุขภาพกายสุขภาพใจ เป็นความเชื่อของคนไทยเบิ้งว่าถ้ามีใครเจ็บป่วยไข้ จะมีหมอรักษาเฉพาะของการเจ็บป่วยนั้นๆ เช่น หมอสมุนไพร หมอตำแย หมอรักษาโรค หมอให้กำลังใจ หมอสมุนไพร หมอรักษาโรคจะจ่ายยาสมุนไพรให้แล้วแต่อาการ ส่วนคนที่มีความกังวลทุกข์ใจจนป่วย ก็จะไปหาหมอบูน คือการเสี่ยงทายดูดวงว่าการเจ็บไข้ได้ทุกข์นั้นมาจากสาเหตุใดต้องแก้อย่างไร ต้องมีของมาไหว้หมอบูน และค่าครู หมอบูนก็จะเสี่ยงทายจากการใช้ไข่ต้มวางบนข้าวสาร แล้วเคาะให้ไข่ตั้งหรือลักษณะของไข่ออกมาเป็นอย่างไรก็จะทำนาย ให้ไปแก้ด้วยวิธีต่างๆ อีกส่วนหนึ่งเป็นกระแตะสำหรับเซ่นไหว้พ่อหลวงเพ็ชรสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำหมู่บ้านที่ชาวไทยเบิ้งนับถือมาก ในวันขึ้น 6 ค่ำ เดือน 6 ทุกปีชาวบ้านจำทำกระแตะภายในประกอบไปด้วย อีหุ่น หรือตุ๊กตาดินเหนียวปั้นเป็นรูปคนตามจำนวนสมาชิกในบ้าน ช้างม้า วัว ควาย ข้าวดำ ข้าวแดง เงิน 12 ทอง 15 (ใช้ดินเหนียวปั้นแทน) เกลือก้อน พริกเม็ด ปลาร้าตัว ไปเซ่นไหว้ เพื่อแสดงความเคารพ และให้อยู่กันอย่างร่มเย็นเป็นสุข
แนะนำพิพิธภัณฑ์โดยสื่อออนไลน์
แนะนำพิพิธภัณฑ์โดยบล็อก
แนะนำพิพิธภัณฑ์โดยสารานุกรมไทย
วิถีชีวิตท้องถิ่นและภูมิปัญญา ชาติพันธุ์วิทยา ไทยเบิ้ง โคกสลุง
พิพิธภัณฑ์พื้นบ้านโคกกะเทียม
จ. ลพบุรี
พิพิธภัณฑ์วัดโคกหม้อ
จ. ลพบุรี
พิพิธภัณฑ์หอโสภณศิลป์
จ. ลพบุรี