พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์การแพทย์ไทย อวย เกตุสิงห์


ศ.นพ.อวย เกตุสิงห์ อดีตหัวหน้าแผนกสรีรวิทยาและภาควิชาเภสัชวิทยา เป็นผู้รวบรวมเรื่องราวการแพทย์แผนไทย เพื่อจัดแสดงในงานฉลอง 72 ปี โรงพยาบาลศิริราช และต่อมาได้จัดสร้างพิพิธภัณฑ์จนแล้วเสร็จในพ.ศ. 2522 เรื่องราวภายในของพิพิธภัณฑ์บอกเล่าเรื่องที่มาและประวัติของการแพทย์แผนไทย นอกจากนี้ยังจัดแสดงตำรายาไทยโบราณที่ส่งต่อกันมาหลายรุ่น ที่ส่วนใหญ่ในอดีต บรรดาครูหรือหมอไทยจะจารเอาไว้ในหนังสือใบลาน หมายเหตุ: ปิดดำเนินการ เนื่องจากย้ายวัตถุและเนื้อหานิทรรศการไปจัดแสดงที่ พิพิธภัณฑ์ศิริราชพิมุขสถานแทน

ที่อยู่:
ชั้น 2 อาคารอดุลยเดชวิกรม โรงพยาบาลศิริราช ถ.พรานนก แขวงศิริราช เขตบางกอกน้อย กรุงเทพฯ 10702 (ปัจจุบันปิดดำเนินการ ย้ายไปพิพิธภัณฑ์ศิริราชพิมุขสถาน)
โทรศัพท์:
0-2419-7000 ต่อ 6363
วันและเวลาทำการ:
ปิดดำเนินการ เนื่องจากย้ายวัตถุและเนื้อหานิทรรศการไปจัดแสดงที่ พิพิธภัณฑ์ศิริราชพิมุขสถานแทน
ค่าเข้าชม:
ค่าเข้าชมคนไทย 20 บาท ต่างชาติ 40 บาท เด็กและนักเรียนในเครื่องแบบเข้าชมฟรี
อีเมล:
sirirajmuseum@yahoo.com
ปีที่ก่อตั้ง:
2522
จัดการโดย:
สถานะ:

โดย:

วันที่: 10 กุมภาพันธ์ 2555

โดย:

วันที่: 10 กุมภาพันธ์ 2555

โดย:

วันที่: 10 กุมภาพันธ์ 2555

โดย:

วันที่: 10 กุมภาพันธ์ 2555

โดย:

วันที่: 10 กุมภาพันธ์ 2555

โดย:

วันที่: 10 กุมภาพันธ์ 2555

ไม่มีข้อมูล
ไม่มีข้อมูล
ไม่มีข้อมูล

ไม่มีข้อมูล

รีวิวของพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์การแพทย์ไทย อวย เกตุสิงห์

ศ.นพ.อวย เกตุสิงห์ อดีตหัวหน้าแผนกสรีรวิทยา อดีตหัวหน้าภาควิชาเภสัชวิทยาเป็นผู้รวบรวมเรื่องราวการแพทย์แผนไทย เพื่อจัดแสดงในงานฉลอง 72 ปี โรงพยาบาลศิริราช และต่อมาได้จัดสร้างพิพิธภัณฑ์จนแล้วเสร็จ เมื่อ พ.ศ. 2522 โดยสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ เสด็จมาทรงเปิดเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2522 สิ่งจัดแสดงที่สำคัญได้แก่ ประวัติและวิวัฒนาการการแพทย์ อุปกรณ์ในการปรุงยา การนวดแผนโบราณ สมุนไพรไทยนานาชนิด ฯลฯ 

ความรู้เรื่องแพทย์แผนไทยนั้นกระจายตัวอยู่ทั่วประเทศไทย เรียกว่า สูตรการรักษาในบางครั้งก็สูตรใครสูตรมัน การที่โรงพยาบาลหลายแห่งให้ความสนใจนำเอาการแพทย์แผนไทยและการรักษาโรคด้วยยาสมุนไพรที่หาได้ในประเทศมาประกอบในการรักษา ถือว่าเป็นการเปิดโอกาสให้การแพทย์แผนไทยและยาสมุนไพร ได้พัฒนาองค์ความรู้ในแขนงนี้ให้ก้าวหน้ามากยิ่งขึ้น 

สถานที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์ประวัติการแพทย์แผนไทย อวย เกตุสิงห์ อยู่บนชั้นสองของอาคาร อดุลยเดชวิกรม ติดกับพิพิธภัณฑ์นิติเวชศาสตร์ เรื่องราวภายในของพิพิธภัณฑ์จะเล่าเรื่องของการแพทย์แผนไทยที่เราอาจจะคุ้นเคยกันมาตั้งแต่เด็ก เมื่อเดินเข้าไปในเขตของพิพิธภัณฑ์ จะก็พบกับป้ายอธิบายเรื่องแพทย์แผนเดิมของไทยหรือแพทย์แผนโบราณ จากนั้นก็จะเล่าเรื่องการแพทย์แผนไทย โดยจำลองบรรยากาศของร้ายขายยาไทยที่มีตู้จัดแสดงตัวอย่างสมุนไพรประเภทต่างๆ เครื่องมือในการทำยาสมุนไพร เครื่องบดยาหรือเรือบดยา ครกบดยาตั้งแต่อันเล็กจิ๋วจนถึงอันใหญ่โตเท่าครกส้มตำ แท่นบดยามีหินแท่งยาวๆ กับแท่นหินเอาไว้บดยาอีกประเภทหนึ่ง รวมถึงเครื่องหั่นที่เหมือนกรรไกรที่ยายเราใช้สมัยที่ยังกินหมากอยู่เลย หม้อต้ม หม้อกลั่นยา หม้อต้มยาส้ม หม้อต้มน้ำมันผึ้ง ที่เราอาจจะไม่เคยเห็นเลย 

นอกจากนี้ยังจัดแสดงตำรายาไทยโบราณที่ส่งต่อกันมาหลายรุ่น ส่วนใหญ่ในอดีต บรรดาครูหรือหมอไทยจะจารเอาไว้ในหนังสือใบลาน ต่อเมื่อมีวิวัฒนาการของการเขียนหนังสือ ก็บันทึกกันต่อมาเรื่อยๆ ในตู้จัดแสดงด้านข้างนั้นก็จะแนะนำให้รู้จักความเชื่อในเรื่องของการต้มยา ซึ่งทุกครั้งก็จะมีเฉลวเสียบหรือวางไว้ที่ปากหม้อ เพื่อป้องกันฤทธิ์ยาเสื่อมหากมีใครเดินผ่านบ้าน

ยังมีมุมที่เล่าถึงแปรงสีฟันของคนไทยสมัยอดีต ที่ยังไม่มีแปรงสีฟันแบบทุกวันนี้ คนโบราณมักอาศัยการกินหมาก ซึ่งเป็นภูมิปัญญาชาวบ้านชนิดหนึ่งช่วยรักษาฟัน หรือใช้ไม้ข่อยมาทำแปรงสีฟัน ซึ่งจะมีหลายลักษณะทั้งแบบแท่งไม่มีขนแปรง และแบบทีมีการทำขนแปรง โดยการทุบให้เนื้อไม้เหลือแต่เส้นใยที่แข็งๆแล้วสามารถเอามาสีทำความสะอาดฟันได้ 

ในสมัยโบราณหากแขนขาหัก วิธีการดามในยุคแรกๆ อาจจะเพียงเอาแผ่นไม้มาทาบแขน-ขาแล้วมัดเอาไว้ แต่แพทย์ไทยก็ได้พัฒนาเฝือกให้เป็นแบบที่ระบายความร้อนและโปร่งอากาศถ่ายเทได้ด้วยการใช้ไม้ไผ่มาสานหรือร้อยด้วยเชือกพอที่จะโอบรอบแขนหรือขาได้

ที่น่าสนใจคือแบบจำลองเหตุการณ์การคลอดลูกแบบโบราณ ที่ผูกเชือกกับขื่อบ้านให้แม่คอยดึงเอาไว้เผื่อช่วยในการเบ่ง หมอตำแย จะต้มน้ำ ไว้รอท่า มีผู้ช่วยคอยรับเด็กที่กำลังจะคลอดออกมา มีเครื่องมือเครื่องไม้ต่างๆ ที่ใช้ในการทำคลอดแบบโบราณ เมื่อคลอดมาแล้วก็ต้องมีการอยู่ไฟตามความเชื่อเพื่อล้างน้ำคาวปลาออกให้หมด ให้แม่มีน้ำนมมากๆให้ลูกกิน กันไม่ให้แม่เด็กเกิดอาการสะท้านร้อนสะท้านหนาว บรรดาแม่ๆ และผู้ใหญ่ในบ้านมักจะเล่าให้ฟังว่า หากผู้หญิงคนไหนไม่อยู่ไฟหลังคลอดลูกจะเป็นคนขี้หนาว เวลาอากาศหนาวๆ จะมือเท้าเย็น และหนาวเร็วกว่าคนอื่น นอกจากนั้นยังทำให้สุขภาพของแม่อ่อนแอลงเรื่อยๆ ด้วย และมีการจัดแสดงชุดการนึ่งท้องหรือชุดอยู่ไฟของญี่ปุ่นเปรียบเทียบให้ดู ซึ่งน่าจะมีความคิดในแนวเดียวกัน

นอกเหนือจากนี้ในพิพิธภัณฑ์ยังจัดแสดงความรู้เกี่ยวกับท่าฤาษีดัดตน ที่มาจากจารึกวัดโพธิ์ ซึ่งได้รับการยกย่องเป็นมรดกความทรงจำของโลกทางด้านความรู้โดยองค์การยูเนสโก (UNESCO)

นอกจากเรื่องราวทางด้านการแพทย์แผนไทยที่ได้จัดให้ชมแล้ว ยังมีการจัดแสดงความเชื่อทางไสยศาสตร์เกี่ยวกับเรื่องของการรักษาในอดีต ทั้งเรื่องของตุ๊กตาลวงผี เมื่อบ้านไหนมีเด็กเกิดใหม่ เพื่อลวงไม่ให้ผีมาเอาลูกไป หรือเรื่องของเฉลวที่จะช่วยป้องกันความเสื่อมของฤทธิ์ยา รูปปั้นหรือรูปหล่อของครูแพทย์ตามความเชื่อแบบโบราณจนมาถึงปัจจุบัน มีการนำเอายาสมุนไพรโบราณหรือยาแผนไทยมาจัดจำหน่ายในรูปแบบของยาสมัยใหม่ เช่น ยาอม ยาดม ยาบำรุงเลือดต่างๆ 

อนึ่ง ภายในโรงพยาบาลศิริราชยังมีพิพิธภัณฑ์ที่น่าสนใจอีก 5 แห่งได้แก่ พิพิธภัณฑ์นิติเวชศาสตร์ สงกรานต์ นิยมเสน พิพิธภัณฑ์ปรสิตวิทยา พิพิธภัณฑ์พยาธิวิทยาเอลลิส พิพิธภัณฑ์กายวิภาคศาสตร์คองดอน และพิพิธภัณฑ์ก่อนประวัติศาสตร์และห้องปฏิบัติการ สุด แสงวิเชียร

เมธินีย์ ชอุ่มผล เรื่อง
เสาวลักษณ์ วรายุ ภาพ


สำรวจวันที่ 27 ธันวาคม 2551

ชื่อผู้แต่ง:
-