พิพิธภัณฑ์ทองคำห้างทองตั้งโต๊ะกัง


ห้างทองตั้งโต๊ะกัง ถือเป็นร้านทองที่เก่าแก่ที่สุดในย่านเยาวราช โดยมีอายุถึงกว่า 140 ปีแล้ว เริ่มดำเนินกิจการมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 เจ้าของคือนายโต๊ะกัง แซ่ตั้ง บนชั้น 6 ของห้างทองนี้ได้เปิดเป็นพิพิธภัณฑ์จัดแสดงเกี่ยวกับเครื่องมือเครื่องใช้ในการทำทองและประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวกับการค้าทองคำ ได้แก่ แม่พิมพ์ (บล็อก) ในการปั๊มทองคำหลากหลายแบบ เช่น รูปตราสัญลักษณ์ต่าง ๆ มงกุฎ หัวใจ ดาว ปราสาท มังกร รูปสัตว์ต่าง ๆ เช่น ม้า แพะ กระต่าย เป็นต้น

ที่อยู่:
ชั้น 6 ห้างทองตั้งโต๊ะกัง ถ.วานิช 1 แขวงจักรวรรดิ เขตสัมพันธวงศ์ กรุงเทพฯ 10100
โทรศัพท์:
0-2224-2422, 0-2622-8640-2
โทรสาร:
0-2622-8643
วันและเวลาทำการ:
9.30 น. – 16.00 น. วันจันทร์-วันเสาร์ (ยกเว้นวันหยุดนักขัตฤกษ์) กรุณาติดต่อขออนุญาตเช้าชมล่วงหน้า
ค่าเข้าชม:
ไม่เก็บค่าเข้าชม
อีเมล:
tangtohkang@clickta.com
ปีที่ก่อตั้ง:
2551
จัดการโดย:
เนื้อหา:
ไม่มีข้อมูล

โดย: -

วันที่: 12 มิถุนายน 2555

ไม่มีข้อมูล

พิพิธภัณฑ์ทองคำฯตั้งโต๊ะกัง ตำนานทองคำแห่งเยาวราช

ชื่อผู้แต่ง: | ปีที่พิมพ์: 6/02/2551

ที่มา: ผู้จัดการออนไลน์

แหล่งค้นคว้า: ศมส.

โดย: ศมส.

วันที่: 13 มีนาคม 2555


ไม่มีข้อมูล

รีวิวของพิพิธภัณฑ์ทองคำห้างทองตั้งโต๊ะกัง

ห้างทองตั้งโต๊ะกัง  เริ่มดำเนินกิจการมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5  เจ้าของคือนายโต๊ะกัง  แซ่ตั้ง  จึงตั้งชื่อว่าห้างทองตั้งโต๊ะกัง  ด้วยความมีชื่อเสียงมาอย่างยาวนาน  สมัยก่อนจึงมีร้านทองที่มารับทองจากที่นี่ไปจำหน่ายกันอย่างแพร่หลาย  จนเรียกติดปากกันว่าทองโต๊ะกัง
           
ห้างทองตั้งโต๊ะกัง  ตั้งอยู่ในซอยวานิช 1  มีอยู่ที่เยาวราชเพียงแห่งเดียว ไม่มีสาขาที่อื่น  ตึกของห้างทองเป็นตึกเจ็ดชั้นที่มีสถาปัตยกรรมสวยงาม  ออกแบบโดยสถาปนิกชาวฮอลันดา  ส่วนการตกแต่งภายในและเฟอร์นิเจอร์เป็นแบบจีน  ตึกนี้สร้างในสมัยรัชกาลที่ 6  โดยทายาทรุ่นที่สอง  การสร้างตึกขึ้นมาใหม่ก็เพื่อรับพระราชทานตราตั้งครุฑจากรัชกาลที่ 6  ในสมัยนั้นถือว่าเป็นตึกที่สูงที่สุดในเยาวราช ตึกนี้เคยได้รับรางวัลอาคารอนุรักษ์ศิลปะสถาปัตยกรรมดีเด่น  จากสมาคมสถาปนิกสยาม  ในพระบรมราชูปถัมภ์  ปัจจุบันได้ขึ้นทะเบียนอนุรักษ์ไว้กับกรมศิลปากร
           
คุณไชยกิจ ตันติกาญจน์  ผู้สืบทอดกิจการรุ่นที่ 4 ได้กล่าวถึงการมาเป็นพิพิธภัณฑ์อยู่ที่ชั้น 6 ของห้างทองตั้งโต๊ะกัง  เริ่มมาจากว่าตึกนี้ได้มีสภาพทรุดโทรม  และตั้งแต่ชั้น 4 ขึ้นไปได้ถูกปิดร้างอยู่ถึง 30-40 ปี เนื่องจากคุณปู่และคุณพ่อได้ไปพักอาศัยที่อื่น  ตึกนี้จะเป็นเฉพาะสถานที่ทำงาน  และพบว่ามีเครื่องมือช่างทำทองสมัยก่อนอยู่เป็นจำนวนมากมาย  ซึ่งปัจจุบันได้มีการนำเครื่องจักรแบบใหม่เข้ามาช่วยทำให้ผลิตได้รวดเร็วกว่าเดิม  จึงมีความคิดว่าอยากให้คนรุ่นหลังทราบว่าการทำทองตั้งแต่รุ่นแรกๆทำกันอย่างไร  ลำบากแค่ไหนกว่าจะได้ทองรูปพรรณในแต่ละแบบ  เมื่อทำการซ่อมแซมตึกจึงได้ใช้พื้นที่ชั้นบนทำเป็นพิพิธภัณฑ์  การลงทุนบูรณะตัวตึกและตกแต่งทำห้องพิพิธภัณฑ์ใช้งบประมาณส่วนตัวประมาณสิบล้านบาท
           
ผู้นำชมพิพิธภัณฑ์คือ  คุณกิตติ  ฤทธิ์ฉิ้ม  พนักงานทั่วไป  พิพิธภัณฑ์อยู่บริเวณชั้น 6  ของตึก  การจัดแสดงในพิพิธภัณฑ์มีแม่พิมพ์ในการปั๊มทองคำที่มีลูกค้ามาสั่งทำ  บล็อคนี้มีเป็นจำนวนมากหลากหลายแบบ  ได้แก่  รูปตราสัญลักษณ์ต่างๆ มงกุฎ หัวใจ  ดาว ปราสาท มังกร  รูปสัตว์ต่างๆเช่น ม้า  แพะ  กระต่าย  เป็นต้น  คุณกิตติอธิบายว่าบล็อกในช่วงแรกจะทำมาจากตะกั่ว  ต่อมาเป็นบล็อกโลหะ  ใกล้กันที่เห็นเป็นแผ่นกระจกวางซ้อนกัน กระจกเหล่านี้เป็นกระจกบานประตูหน้าต่างที่อยู่กับตัวตึกมาตั้งแต่แรกสร้างมามากกว่า 80 ปี  ในการซ่อมแซมได้มีความพยายามหากระจกที่มีลายและสีใกล้เคียงกับของเดิมมาแทนที่ของเดิมที่ชำรุดเสียหายเป็นจำนวนมาก
           
ในการชั่งทองคำในสมัยก่อนใช้เป็นแบบตราชั่งไม้โบราณ  ปัจจุบันเป็นตราชั่งดิจิตอลที่มีความละเอียดสูง วิธีการใช้ตราชั่งไม้โบราณ  ทำโดยใส่ตุ้มถ่วงน้ำหนักไว้ด้านใดด้านหนึ่ง  แล้วอีกด้านก็ใส่ทองคำ  ชั่งให้ระดับทั้งสองข้างสมดุลกัน  โดยดูจากเข็มที่ตราชั่งให้อยู่ตรงกลาง  ตุ้มมีน้ำหนักตั้งแต่ 100-200  มิลลิกรัม   หน่วยน้ำหนักทองคำปัจจุบันเป็นกรัม  ถือเป็นหน่วยสากล  ส่วนหน่วยเป็นบาทใช้ในประเทศไทย  น้ำหนักของทองรูปพรรณ 1 บาทเท่ากับ 15.16 กรัม  ทองคำแท่งน้ำหนัก  1  บาทเท่ากับ  15.244  กรัม

ถัดจากนั้นเป็นไหน้ำกรดที่ใช้เก็บน้ำกรดในสมัยก่อน  เพื่อใช้ในการสกัดทองคำบริสุทธิ์ที่สั่งทำมาเป็นพิเศษจากจังหวัดราชบุรี  กรดที่ใช้ในการทำทองมี 3 ชนิด  ได้แก่ กรดดินประสิว  กรดกำมะถัน  กรดเกลือ  ส่วนที่อยู่ในจานเป็นเม็ดโลหะ  นั่นคือทองแดง  ซึ่งเป็นส่วนผสมอย่างหนึ่งในการทำให้ทองเป็น 96.5% เพื่อทำเป็นทองรูปพรรณได้ง่ายขึ้น 
ถัดจากนั้นจะเป็นป้ายร้านสมัยก่อนและตราครุฑ  สังเกตดีดีจะเห็นความแตกต่างที่ตัวเขียนภาษาไทยและภาษาอังกฤษที่อันหนึ่งเขียนว่าตั้งโต๊ะกัง  อีกอันเขียนตั้นโต๊ะกัง   คุณกิตติให้ความเห็นว่าน่าจะเกิดมาจากการฟังผิดเพี้ยน  ใกล้กันมีพิมพ์ดีด  ลูกคิด  ภาพเก่า  ใบเสร็จ  บรรจุภัณฑ์ใส่ทองให้ลูกค้าง  เริ่มแรกเป็นกล่องกระดาษ  จากนั้นมาเป็นกล่องสังกะสี  แล้วมาเป็นพลาสติก
           
อีกส่วนจัดแสดงที่วางเป็นโต๊ะเรียงกันอยู่  คือโต๊ะที่ช่างทำทองสมัยก่อนใช้  บนโต๊ะมีเครื่องมือมากมายเป็นประเภทปากคีบ  คีมหนีบ  ค้อน  ตะไบ  กรรไกร  เหล็กตอก ฯลฯ บนโต๊ะของช่างทำทองที่เห็นเป็นกำไลเรียงกัน  อันนั้นคือกำไลหวายดำ  ในสมัยก่อนถือเป็นเครื่องรางของขลังที่คนสมัยก่อนนิยมกัน โดยจะนำมาหุ้มทองเป็น 3 ช่วง
           
ส่วนที่อยู่บนฝาผนังมีภาพของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี  ในครั้งที่เสด็จมาทดลองทำทองด้วยพระองค์เอง  ซึ่งเก้าอี้ที่พระองค์มาประทับนั่ง  ทางห้างทองตั้งโต๊ะกังได้นำมาตั้งไว้บูชาบริเวณด้านหน้าทางเข้าร้านทองชั้นล่าง  อีกภาพหนึ่งเป็นภาพของตึกเก่าก่อนที่จะบูรณะ  ซึ่งจะเห็นว่าบริเวณนั้นยังไม่มีตึกสูงเข้ามาเบียด  แล้วก็มีภาพต้นตระกูลบรรพบุรุษผู้ก่อตั้งห้างทองตั้งโต๊ะกัง  ส่วนที่เป็นแผ่นทองเหลืองขนาดใหญ่  นั่นคือป้ายร้านในสมัยก่อน  เราจะเห็นช่องให้เติมราคาทอง  ซึ่งราคาทองสมัยนั้นจะค่อนข้างคงที่ไม่เปลี่ยนแปลงผันผวนมากเหมือนปัจจุบัน
           
ในการเข้าชมพิพิธภัณฑ์นี้  ผู้สนใจยังสามารถชมการหลอมทองผลิตเป็นทองคำแท่งออกจำหน่าย  เริ่มตั้งแต่การหลอมด้วยอุณหภูมิ 1064 องศาเซลเซียส  จนกระทั่งการตีตรา  และการทำทองรูปพรรณ  ซึ่งช่างต้องมีความชำนาญและปราณีต
           
การผลิตทองรูปพรรณสาเหตุที่ต้องใช้ทอง 96.5 % เนื่องมาจากว่าสามารถทำลวดลายได้มากกว่าและมีความแข็งแรงมากกว่าใช้ทอง 99.99 %  อย่างทองรูปพรรณของห้างทองตั้งโต๊ะกังจะมีความโดดเด่นอยู่ตรงที่สร้อยคอ  ที่ทำออกมาแล้วจะใส่สบาย  เพราะว่าช่างที่ทำจะใช้ความประณีตเป็นพิเศษ  ปัจจุบันแนวโน้มการจำหน่ายทองรูปพรรณค่อนข้างลดน้อยลง  คนจะนิยมซื้อทองคำแท่งกันมากกว่า  ซึ่งก็ส่งผลทำให้จำนวนของช่างทำทองลดน้อยลงไปด้วย
           
ในการเปิดให้เข้าชม  เมื่อก่อนนี้มีการเปิดห้องชั้น 4  สิ่งของจัดแสดงมีพวกหยก  จานโบราณ  ปรากฏว่ามีของมีค่าสูญหาย   จึงได้ปิดห้องนี้   จะเปิดเฉพาะห้องชั้นบน
-----------------------------------------------------
สาวิตรี  ตลับแป้น /ผู้เขียน /ถ่ายภาพ
ข้อมูลจาก  :  สำรวจภาคสนามเมื่อวันที่  8  เดือนสิงหาคม  พ.ศ. 2554
----------------------------------------------------
การเดินทาง :พิพิธภัณฑ์ทองคำตั้งโต๊ะกัง  อยู่ในซอยวานิช 1  ย่านเยาวราช  การเดินทางสะดวกรวดเร็วด้วยรถไฟฟ้าใต้ดินมาลงที่สถานีหัวลำโพงแล้วต่อรถตุ๊กๆหรือแท็กซี่ไปเยาวราช
-----------------------------------------
อ้างอิง  : พิพิธภัณฑ์ห้างทองโต๊ะกัง. http://www.creativeculturethailand.com/
                     detail_page.php?sub_id=4332 [Accessed  12/09/2011]
               พิพิธภัณฑ์ทองคำฯตั้งโต๊ะกัง ตำนานทองคำแห่งเยาวราช http://www.manager.co.th/
                     Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9510000014828 [Accessed  12/09/2011]
              รอบรู้เรื่องทองคำ.http://www.arunsawat.com/board/index.php?
                     topic=2894.0;wap2 [Accessed  12/09/2011]
ชื่อผู้แต่ง:
-

พิพิธภัณฑ์ทองคำฯตั้งโต๊ะกัง ตำนานทองคำแห่งเยาวราช

พอใกล้ถึงวันตรุษจีน หรือวันปีใหม่ของชาวจีนและชาวไทยเชื้อสายจีนทั้งหลาย มองไปทางไหนก็มีแต่สีแดงกับสีทอง โดยเฉพาะแถวๆ ย่านเยาวราชนั้น สีแดงกับทองเต็มพรืดไปหมดโดยสีแดงนั้นเป็นสีมงคลของชาวจีน เชื่อกันว่าหากใส่เสื้อผ้าสีแดงในวันตรุษจีนจะทำให้พบแต่ความโชคดี ส่วนสีทองนั้นก็เป็นสีมงคลเช่นกัน มีความหมายถึงความเจริญรุ่งเรือง และแน่นอนว่าหมายถึงทองคำที่ตอนนี้ราคาพุ่งขึ้นสูงถึงบาทละ 14,000 แล้วด้วย พูดถึงเรื่องทองขึ้นมา ฉันก็นึกได้ว่า ที่ย่านเยาวราชนี้เป็นย่านที่มีร้านทองมากที่สุด คือมีถึง 132 ร้านด้วยกัน แต่มีร้านทองร้านหนึ่งที่น่าสนใจ และถือว่าเป็นร้านทองที่เก่าแก่ที่สุดในย่านนี้ โดยมีอายุถึงกว่า 140 ปีแล้ว นั่นก็คือ "ห้างทองตั้งโต๊ะกัง" ซึ่งวันนี้ฉันก็ได้แวะเวียนมาเยี่ยมชมห้างทองแห่งนี้ แต่ไม่ได้มาซื้อทองแต่อย่างใดเพราะสตางค์ในกระเป๋ามีไม่พอ แต่ที่มาชมก็เพราะว่านอกจากที่นี่จะขายทองแล้ว ก็ยังได้เปิดเป็นพิพิธภัณฑ์เกี่ยวกับเครื่องมือเครื่องใช้ในการทำทองให้ดูกันอีกด้วย นั่นก็คือ "พิพิธภัณฑ์ทองคำห้างทองตั้งโต๊ะกัง" นั่นเอง
ชื่อผู้แต่ง:
-

ชื่อผู้แต่ง:
-