พิพิธภัณฑ์ผ้าป้าดา


พิพิธภัณฑ์ผ้าป้าดาก่อตั้งขึ้นเพื่อระลึกถึงนางแสงดาว บันสิทธิ์ ศิลปินแห่งชาติ สาขาทัศนศิลป์ (การทอผ้า) คุณเสาวนีย์ บันสิทธิ์ บุตรสาวคนเดียวของป้าดา ได้สานต่องานอันเป็นที่รักของแม่ คือการทอผ้า และยังเป็นผู้ก่อตั้งพิพิธภัณฑ์ผ้าป้าดา หลังจากที่ป้าดาเสียชีวิตเมื่อปี พ.ศ. 2536 โดยใช้เรือนไม้โบราณที่เป็นบ้านที่ป้าดาอาศัยมาตั้งแต่ย้ายกลับมาจากเมืองเชียงใหม่ ทำเป็นพิพิธภัณฑ์ พร้อมทั้งก่อตั้งมูลนิธิแสงดา บันสิทธิ์ ผ้าทอของป้าดาได้รับการยกย่องว่ามีลวดลายที่งดงาม สร้างสรรค์ และมีความประณีต ภายในจัดแสดงผลงานและกรรมวิธีการทอผ้าของป้าดา เครื่องมือ เครื่องใช้ในการทอผ้า มีการจัดนิทรรศการเรื่องราวภูมิปัญญาการผลิตฝ้าทอมือ ประวัติ วิถีชีวิต ภายในเรือน ห้องนอน ห้องครัว และเครื่องใช้ต่าง ๆ ของป้าดา ยังคงสภาพไว้ให้เหมือนตอนป้าดามีชีวิตอยู่

ที่อยู่:
เลขที่ 105 ถ.เชียงใหม่-ฮอด ต.สบเตี้ยะ อ.จอมทอง จ.เชียงใหม่ 50160
โทรศัพท์:
0-5336-1231
วันและเวลาทำการ:
เปิดทุกวัน ยกเว้นวันพฤหัส 08.30-16.30 น.
ค่าเข้าชม:
ไม่เก็บค่าเข้าชม
ปีที่ก่อตั้ง:
2537
ของเด่น:
ผ้าย้อมสีธรรมชาติ,ผลงานผ้าทอของนางแสงดา บันสิทธิ์

โดย:

วันที่: 10 กุมภาพันธ์ 2555

โดย:

วันที่: 10 กุมภาพันธ์ 2555

โดย:

วันที่: 10 กุมภาพันธ์ 2555

โดย:

วันที่: 10 กุมภาพันธ์ 2555

โดย:

วันที่: 10 กุมภาพันธ์ 2555

โดย:

วันที่: 10 กุมภาพันธ์ 2555

ไม่มีข้อมูล
ไม่มีข้อมูล

แสงดา บันสิทธิ์ ศิลปินแห่งชาติ สาขาทัศนศิลป์ (การทอผ้า) พุทธศักราช 2529

ชื่อผู้แต่ง: อำนวย จั่นเงิน | ปีที่พิมพ์: 2536

ที่มา: กรุงเทพฯ : สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ,จัดพิมพ์เผยแพร่สืบเนื่องจากงานพระราชทานเพลิงศพ นางแสงดา บันสิทธิ์ 21 มีนาคม 2536

แหล่งค้นคว้า: ศมส.

โดย: ศมส.

วันที่: 13 มีนาคม 2555

ย้อนรอยผ้าทอป้าแสงดา

ชื่อผู้แต่ง: ธารา รินศานต์. | ปีที่พิมพ์: ปีที่ 3, ฉบับที่ 28 (พ.ค. 2538) : หน้า 25-30

ที่มา: สยามอารยะ.

แหล่งค้นคว้า: มศก. วังท่าพระ

โดย: ศมส.

วันที่: 13 มีนาคม 2555

แสงดา บันสิทธิ์ เพชรน้ำเอกของวงการทอผ้าแห่งล้านนาไทย

ชื่อผู้แต่ง: อำนวย จั่นเงิน (เรียบเรียง) | ปีที่พิมพ์: 2545

ที่มา: กรุงเทพฯ:มูลนิธิแสงดา บันสิทธิ์

แหล่งค้นคว้า: ศมส.

โดย: ศมส.

วันที่: 13 มีนาคม 2555


ไม่มีข้อมูล

พิพิธภัณฑ์ผ้าป้าดา กับการสานต่อเจตนารมณ์

          ริมถนนสายเชียงใหม่-ฮอด อุโมงค์ทิวไผ่สีเขียวสดทอดตัวยาวกว่าครึ่งกิโลเมตร ตลอดสองฝั่งระยะทางจากถนนใหญ่เข้าสู่ “บ้านไร่ไผ่งาม” และ “พิพิธภัณฑ์ผ้าป้าดา”  สถานที่แห่งการอนุรักษ์ สืบทอด และพัฒนาภูมิปัญญาการทอผ้า และที่รำลึกและเชิดชูชีวิตและผลงาน ของ “ป้าดา” หรือนางแสงดา บันสิทธิ์ ศิลปินช่างทอผ้า เพชรน้ำเอกของวงการทอผ้าของล้านนา ที่เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางทั้งในหมู่คนไทยและชาวต่างประเทศไทย

“ป้าดา” แสงดา บันสิทธิ์

          “นางแสงดา บันสิทธิ์ เป็นผู้ที่มีความรู้ความสามารถในการทอผ้า การย้อมผ้าด้วยสีสมุนไพร และการประดิษฐ์คิดลวดลายผ้าได้อย่างงดงาม ล้ำเลิศ ยากที่จะหาผู้ใดเทียบได้” คำประกาศเกียรติคุณ ที่ยกย่องไว้ในฐานะศิลปินแห่งชาติ สาขาทัศนศิลป์(การทอผ้า) เมื่อปี พ.ศ. 2530

          “ป้าดา” (พ.ศ. 2462- 2536) เกิดและเติบโตที่บ้านห้วยม่วง ต.สบเตี๊ยะ อ.จอมทอง จ.เชียงใหม่ สมรสกับร้อยตรีมาลัย บันสิทธิ์ มีบุตรสาวเพียงคนเดียว คือ นางเสาวนีย์ บันสิทธิ์   ในสมัยก่อนผู้หญิงกับการทอผ้าเพื่อใช้เองเป็นเรื่องปกติในสังคมเกษตรกรรม   ป้าดาปั่นฝ้ายเป็นตั้งแต่อายุเพียง 7-8 ขวบ และเริ่มทอเมื่ออายุราว 12 ขวบ โดยได้รับการฝึกฝนและถ่ายทอดโดยแม่อุ้ยเลี่ยม  ป้าดาเริ่มทอผ้าอย่างจริงจังราวปี พ.ศ. 2503 หลังจากที่สามีเสียชีวิต  โดยชักชวนเพื่อนบ้านมารวมกลุ่มทอผ้าใต้ถุนบ้านของป้าดา เริ่มจากกี่ 4 หลัง จนขยายเป็น 30 หลังในเวลาต่อมา

          ชื่อเสียงของผ้าฝ้ายทอมือของบ้านไร่ไผ่งาม เริ่มเป็นที่รู้จักและโด่งดังทั้งในประเทศและต่างประเทศ จากความงดงามของผืนผ้าที่สะท้อนความนึกคิด ฝีมือ และพลังสร้างสรรค์ของป้าดา คุณสมบัติที่โดดเด่นของป้าดาและผ้าทอของบ้านไร่ไผ่งามที่ไม่เหมือนใคร คือ การใช้ฝ้ายพันธุ์พื้นเมือง  ย้อมด้วยสีธรรมชาติที่ได้จากพันธุ์ไม้พื้นเมืองหลากชนิดที่ทดลองและคิดค้นโดยป้าดา การออกแบบลวดลายการทอเฉพาะตัวจากประสบการณ์และธรรมชาติรอบตัว ทำให้คุณภาพ สีสัน และลายผ้าจึงงดงามมีเอกลักษณ์ไม่ซ้ำใคร

          “ลายผ้าของเดิมนั้นมีเพียงไม่กี่ลาย ป้าดัดแปลงให้แปลกออกไปได้ลายใหม่ บางทีก็สอดสีให้แตกต่างจากเดิมบ้าง บางทีก็ดูจากผ้าสมัยใหม่ ดูลวดลายที่นิยมกันแล้วเอามาคิดทำลายทอผ้า ป้าทำหูกทอผ้าให้เป็นหกตะกอ ซึ่งทำให้คิดแบบลายได้มากขึ้น” คำพูดของป้าดาในหนังสือเพชรน้ำเอกของวงการทอผ้าแห่งล้านนาไทย สะท้อนปัญญาของช่างทอพื้นบ้านธรรมดาที่ไม่ธรรมดา

พิพิธภัณฑ์ผ้าป้าดา กับการสานต่อเจตนารมณ์

          คุณเสาวนีย์ บันสิทธิ์ บุตรสาวคนเดียวของป้าดา ได้สานต่องานอันเป็นที่รักของแม่ คือการทอผ้า และยังเป็นผู้ก่อตั้งพิพิธภัณฑ์ผ้าป้าดา  หลังจากที่ป้าดาเสียชีวิตเมื่อปี พ.ศ. 2536   โดยใช้เรือนไม้โบราณที่เป็นบ้านที่ป้าดาอาศัยมาตั้งแต่ย้ายกลับมาจากเมืองเชียงใหม่ ทำเป็นพิพิธภัณฑ์ พร้อมทั้งก่อตั้งมูลนิธิแสงดา บันสิทธิ์

          เรือนไม้หลังดังกล่าว ตั้งอยู่ริมน้ำปิง บ้านท่ากระแจะ เดิมเป็นบ้านที่เจ้าแก้วนวรัฐ(เจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่องค์สุดท้าย) สร้างไว้เมื่อปี พ.ศ. 2480 แต่ไม่ค่อยได้มาประทับ  ป้าดาชอบบ้านหลังนี้มาก ต่อมาจึงได้ขอซื้อจากเจ้าอินทนนท์ และย้ายเข้ามาอยู่เมื่อปี พ.ศ. 2484  สถาปัตยกรรมเป็นแบบบ้านล้านนา ก่อสร้างด้วยไม้ ใต้ถุนสูง คุณเสาวนีย์เล่าว่าคุณแม่รักบ้านหลังนี้มาก

          ชั้นบนของตัวบ้าน ยังคงรักษาพื้นที่ใช้สอยแบบเดิมของบ้านเอาไว้ เช่น ห้องครัว ห้องนอน ฝาผนังแขวนภาพถ่ายป้าดา และครอบครัว ในช่วงวัยต่างๆ  รวมถึงผลงานที่ลงตามหนังสือและสื่อต่างๆ ทำให้ผู้ชมร่วมจินตนาการวิถีการดำเนินชีวิตของป้าดาที่งดงามและเรียบง่าย ในขณะที่โถงกลางบ้านจัดเป็นส่วนจัดแสดงที่ให้ความรู้เกี่ยวกับการทอผ้า  มีตัวอย่างลายผ้า ซิ่นตีนจกที่มีลวดลายโบราณหาชมยาก  เส้นฝ้ายที่ย้อมด้วยสีธรรมชาติจากชิ้นส่วนต่างๆ ของพันธุ์ไม้   รวมทั้งอุปกรณ์ทอผ้า อาทิ กี่  เผี่ยน กวง บ่าก๊วก สะท้อนความสามารถและความคิดสร้างสรรค์ของป้าดา  ซึ่งคุณเสาวนีย์เล่าว่าในตอนแรกมีอาจารย์นคร พงษ์น้อย แห่งไร่แม่ฟ้าหลวง และอาจารย์อีกหลายท่านจากเชียงใหม่ มาช่วยในการจัดแสดง

          ส่วนใต้ถุนบ้านยังคงไว้ซึ่งบรรยากาศและหน้าที่เดิม คือเป็นสถานที่สนับสนุนการทอผ้าฝ้ายย้อมสีธรรมชาติของบรรดาช่างทอผ้าของบ้านไร่ไผ่งาม ที่เป็นแม่อุ้ย คุณป้า คุณน้า ที่มีฝีมือในการย้อมและทอผ้า ที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านใกล้เคียง เวียนกันมาทอผ้า หากว่างเว้นจากการทำสวนไร่นา

          อาณาบริเวณของบ้านไร่ไผ่งาม ร่มรื่นไปด้วยพันธ์ไม้ที่ป้าปลูกไว้สำหรับใช้ย้อมด้วย เช่น คำเงาะ มะตูม และยังมีโรงไม้ที่ปลูกสร้างอย่างง่ายๆ เพื่อจัดแสดงอุปกรณ์และกรรมวิธีการย้อมสีธรรมชาติ ตัวอย่างเมล็ด เปลือกไม้ หรือใบไม้สำหรับย้อม เช่น ฝาง  คราม  คำเงาะ มะเกลือ เพกา  มีบ่อหมักสีธรรมชาติ  มีฉางเก็บข้าวขนาดใหญ่ที่ใช้เก็บฝ้าย  มีโรงเก็บเปลือกไม้ เมล็ด ฝัก และส่วนต่างๆ ของพันธุ์ไม้นานาชนิดสำหรับย้อม สมัยที่ป้าดายังมีชีวิต เมื่อมีแขกมาเยี่ยมเยือนท่านจะนำชม และอธิบายให้ความรู้เรื่องการทอผ้าและขั้นตอนต่างๆ อย่างไม่หวงวิชา  นอกจากนี้ยังมีอาคารหลังเล็กที่เป็นส่วนจำหน่ายผ้าฝ้ายทอมือ หนังสือ ของที่ระลึก สำหรับผู้สนใจ

          แม้จะอายุ 70 กว่าปีแล้ว คุณเสาวนีย์ บันสิทธิ์ ยังคงสานต่องานที่แม่รัก  ด้วยความมุ่งมั่น ดังคำพูดของคุณเสาวนีย์บนฝาผนังในพิพิธภัณฑ์ที่ว่า

          “แม่เคยถาม ลูกจะทำการสานต่องานของแม่หรือไม่?  ได้ทำทุกอย่างสานต่องานแม่ด้วยความเพียรพยายามทุกด้าน ซึ่งเป็นงานที่ไม่ง่ายเลย...การที่รับงานของแม่ก็เพราะเมื่อแม่จากไปแล้ว งานของแม่ที่ทำด้วยจิตใจและทุ่มเท จะไม่มีจุดจบลงได้ง่ายๆ งานของแม่ที่ทำแล้วออกมาสมบูรณ์แบบตามที่แม่ตั้งใจไว้โดยไม่สูญเปล่า การรับด้วยเหตุผลหลายๆ อย่าง ประการแรกคืองานที่แม่รักและตั้งใจไว้สูงมาก ซึ่งได้สัญญากับแม่เพื่อสานต่อให้ดีที่สุด ประการที่สอง เพื่อนร่วมงานที่ยังต้องทำต่อไปด้วยความรักและเต็มใจ เขาจะมีงานทำต่อไป ซึ่งเป็นผลดีอย่างต่อเนื่อง...”

           ปัจจุบันยังมีทายาทรุ่นหลานและเหลนของป้าดา ที่คุณเสาวนีย์ได้ฝากความหวังในการสืบทอดต่องานแขนงนี้ต่อไป   สุดท้ายคุณเสาวนีย์ ทบทวนข้อคิดที่ป้าดาเคยบอกไว้ขณะท่านป่วย  ซึ่งคุณเสาวนีย์ยังคงจดจำและถือปฏิบัติมาจนทุกวันนี้ว่า

           “เมื่อแม่เจ็บหนัก แม่ให้ข้อคิดว่า ถ้าคิดดี มีมันสมอง มีความเป็นมนุษย์ที่ดีก็จะอยู่รอด ถ้าปฏิบัติตัวไม่ดี อาจจะไปในสิ่งที่มันผิดๆ มันก็หมด มันก็มีอยู่สองอย่าง คืออยู่ได้หรืออยู่ไม่ได้”

ปณิตา สระวาสี: เขียน

ข้อมูลจาก:
สำรวจภาคสนามวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2555
อำนวย จั่นเงิน. แสงดา บันสิทธิ์ เพชรน้ำเอกของวงการทอผ้าแห่งล้านนาไทย. กรุงเทพฯ:มูลนิธิแสงดา บันสิทธิ์, 2545.
ชื่อผู้แต่ง:
-

รีวิวของพิพิธภัณฑ์ผ้าป้าดา

พิพิธภัณฑ์ผ้าป้าดา ก่อตั้งขึ้นเมื่อ พ.ศ.2537 เพื่อจัดแสดงสิ่งของ เครื่องใช้ของนางแสงดา บันสิทธิ์ ศิลปินแห่งชาติ สาขาหัตถกรรมสิ่งถักทอ ความรู้ความสามารถในการทอผ้าและพัฒนาสร้างสรรค์วิธีการทอ และย้อมผ้าด้วยสีที่มาจากพืช กลายเป็นเอกลักษณ์โดดเด่นของศิลปินท่านนี้ สร้างชื่อเสียงจนเป็นที่รู้จักในหมู่นักออกแบบสิ่งทอทั้งชาวไทยและต่างประเทศ พิพิธภัณฑ์ผ้าป้าดา เป็นพิพิธภัณฑ์ที่มีการออกแบบภูมิทัศน์ในลักษณะของสวนไผ่ โดยปลูกไผ่เรียงเป็นแนวนับจากทางเข้าจนถึงพื้นที่อันเป็นที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์ เป็นการสื่อถึงชื่อสถานที่ตั้งคือ "บ้านไร่ไผ่งาม"

"บ้านไร่ไผ่งาม" ประกอบด้วยกลุ่มอาคารต่างๆ ได้แก่ อาคารจัดแสดง เป็นเรือนพื้นถิ่นใต้ถุนสูง ก่อสร้างด้วยไม้สักทั้งหลัง ส่วนหลังคามี 3 ช่วง ตั้งอยู่ริมห้วยม่วง เรือนหลังนี้เจ้าแก้วนวรัฐเจ้านครเชียงใหม่องค์ที่ 9 (พ.ศ.2452 - 2482) ประทานแก่บุตรชายและต่อมาได้ขายให้แก่นางแสงดา บันสิทธิ์ โดยใช้เป็นที่อยู่อาศัยของครอบครัวบันสิทธิ์ต่อมา จนกระทั้งเมื่อมีการจัดตั้งพิพิธภัณฑ์ เรือนหลังนี้จึงถูกใช้เป็นที่จัดแสดงสิ่งของเครื่องใช้ตามสภาพเดิม เมื่อครั้งนางแสงดา บันสิทธิ์อยู่อาศัยในเรือน

ส่วนใต้ถุนเรือนใช้เป็นที่ตั้งหูกทอผ้า ส่วนหนึ่งเป็นหูกเดิมที่นางแสงดา บันสิทธิ์เคยใช้ ปัจจุบันใช้เป็นส่วนปฏิบัติงานทอผ้าของกลุ่มแม่บ้านเกษตรบ้านไร่ไผ่งาม อาคารจัดแสดงอุปกรณ์ การทอ ย้อมผ้า เป็นอาคาร 2 หลัง ที่สร้างแยกออกมา ลักษณะเป็นอาคารเปิดโล่งจัดวางอุปกรณ์ปั่นฝ้าย ย้อมผ้า ตัวอย่างบ่อบรรจุพืชที่ใช้ย้อมผ้า เป็นต้น ปัจจุบันยังใช้เป็นที่ย้อมเส้นใยฝ้าย หรือ ปั่นฝ้ายตามลักษณะเดิม

อาคารส่วนบริการ ตั้งอยู่ด้านข้างใกล้ทางขึ้นอาคารจัดแสดงเป็นอาคารที่อยู่อาศัยที่แบ่งพื้นที่ส่วนหนึ่งเป็นมุมขายหนังสือ และของที่ระลึกตั้งแผ่นพับภาษาไทย ภาษาอังกฤษ และภาษาญี่ปุ่นเพื่อแจกแก่ผู้เข้าชม อาคารจำหน่ายผลิตภัณฑ์ของบ้านไร่ไผ่งาม ตั้งอยู่ตอนหลังของพื้นที่เป็นส่วนจำหน่ายผลิตภัณฑ์ผ้าฝ้ายและของที่ระลึกจากบ้านไร่ไผ่งาม

ข้อมูลจาก:
1. กรมศิลปากร สำนักพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ. นามานุกรมพิพิธภัณฑสถานในประเทศไทย ภาคเหนือ เล่ม 1. กรุงเทพฯ : กรมศิลปากร, 2546. หน้า 56.
2. บุบผา จิระพงษ์. สถานภาพของพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นในจังหวัดเชียงใหม่. เชียงใหม่: คณะมนุษยศาสตร์ สถาบันราชภัฏเชียงใหม่,2544. หน้า 146.
ชื่อผู้แต่ง:
ปณิตา สระวาสี