พิพิธภัณฑ์คุกธารโต ตั้งอยู่ในบริเวณโรงเรียนบ้านนิคมสร้างตนเองธารโต อาคารพิพิธภัณฑ์เป็นอาคารโรงครัวเก่าของคุกธารโต โดยพิพิธภัณฑ์จัดตั้งขึ้นเมื่อปี 2553 ภายหลังได้ตั้งเป็นศูนย์วัฒนธรรมเฉลิมราชในปี 2555 ภายในแบ่งการจัดแสดงออกเป็น 3 โซน ได้แก่ ห้องจัดแสดงวัตถุที่ค้นพบและคาดว่าเคยใช้ในคุกธารโต ห้องจัดแสดงพระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และห้องจัดแสดงวิถีชีวิตชาวธารโตตั้งแต่สมัยอดีตจนถึงปัจจุบัน
แนะนำพิพิธภัณฑ์โดยทีมงานและสมาชิก
รีวิวของพิพิธภัณฑ์คุกธารโต
คุกธารโตเดิมตั้งอยู่ในเขตปกครองของตำบลแม่หวาด อำเภอบันนังสตา จังหวัดยะลา กรมราชทัณฑ์จัดตั้งเป็นทัณฑสถานหลังจากการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ.2374 รุ่นเดียวกับทัณฑสถานเกาะตะรุเตา จังหวัดสตูล เพื่อกักขังนักโทษทางการเมืองและนักโทษคดีอุกฉกรรจ์ที่ส่งมาจากทั่วประเทศ ในอดีตเรียกทัณฑสถานแห่งนี้ว่า “นรกธารโต” ต่อมาในปี พ.ศ.2500 กรมราชทัณฑ์ได้ประกาศยุบทัณฑสถานแห่งนี้ กรมประชาสงเคราะห์จึงได้จัดสร้างนิคมสร้างตนเองธารโต และพัฒนาขึ้นเป็นลำดับในปัจจุบัน ร่องรอยบางอย่างของทัณฑสถานธารโตที่พบยังปรากฏอยู่ เช่น โรงครัว โซ่ตรวน ก้อนอิฐที่มีตราประทับของราชทัณฑ์ และพื้นที่ส่วนหนึ่งถูกดัดแปลงเป็นที่ตั้งของโรงเรียนนิคมสร้างตนเองธารโต และโรงเรียนธารโตวัฒนวิทย์ ส่วนนักโทษในอดีตที่ปักหลักทำมาหากินในพื้นที่แถบนี้ รวมทั้งผู้คุมนักโทษ ปัจจุบันเสียชีวิตเกือบหมดแล้ว
ดังนั้น เพื่อให้สถานที่แห่งนี้เป็นแหล่งเรียนรู้ทางด้านประวัติศาสตร์ องค์กรทุกภาคส่วนในพื้นที่อำเภอธารโต จึงได้ดำเนินการจัดตั้งพิพิธภัณฑ์คุกธารโต โดยใช้อาคารโรงครัวเก่าซึ่งอยู่ในบริเวณโรงเรียนบ้านนิคมสร้างตนเองธารโตเป็นที่ตั้งพิพิธภัณฑ์ และได้เปิดให้บริการตั้งแต่ปี พ.ศ.2553 และในปี พ.ศ.2555 ได้รับการคัดเลือกจากกรมส่งเสริมวัฒนธรรมกระทรวงวัฒนธรรม จัดตั้งเป็นศูนย์วัฒนธรรมเฉลิมราช
ทัณฑสถานธารโต ได้เปิดทำการมาจนกระทั่งถึงปี พ.ศ.2499 ถูกยกเลิกในสมัยจอมพล ป.พิบูลสงคราม เพื่อนำไปจัดตั้งเป็นนิคมสร้างตนเอง รวมระยะเวลาทั้งสิ้น 22 ปี มีผู้บัญชาการจำนวน 3 คน คือ นายสงวน ตุลารักษ์, ขุนนิยม บรรณสาร และนายเจือ บุญวงศ์รักษ์
จากบันทึกของนายประหยัด โลหะรัตน สมัยที่รับราชการอยู่ ณ ที่นี้ เมื่อปี พ.ศ.2486 ได้บรรยายสภาพแวดล้อมของเรือนจำว่า
“เรือนจำมีพื้นที่จำนวน 25,000 ไร่ เป็นป่าทึบเต็มไปด้วยต้นไม้ใหญ่น้อย มีลำธารไหลผ่านน้ำในลำธารเต็มไปด้วยเชื้อไข้มาลาเรีย มีถนนลาดยางมะตอยเพียงสายเดียวจากจังหวัดยะลาผ่านอำเภอธารโตเข้าอำเภอเบตงรถวิ่งเข้าออกน้อยมากบางวันไม่มีเลย ไฟฟ้ายังเข้าไม่ถึงเต็มไปด้วยสัตว์ร้ายและไข้ป่า ความทึบของป่าทำให้นักโทษไม่สามารถหลบหนีได้ เคยมีนักโทษหลบหนีไป 5 วัน หมดเสบียงไปไหนไม่รอดต้องกลับเรือนจำ ภายในเรือนจำมีโรงเลื่อย โรงครัว เรือนขัง โรงเลี้ยงอาหาร มีเครื่องจักรไอน้ำ สำหรับโรงเลื่อย และปั่นไฟฟ้าใช้เอง มีรถแทรกเตอร์ใช้งาน และมีร้านค้าแบบสหกรณ์สำหรับนักโทษและผู้คุม ความเป็นอยู่ของนักโทษที่นี่อยู่กันค่อนข้างอิสระ มีเพียงนักโทษที่ความประฑฟติไม่ดีเท่านั้นที่จะถูกตีตรวน นักโทษส่วนใหญ่ไม่เกเรและมีโทษเหลือประมาณ 5-6 ปี ทุกคนต้องทำงานประจำวัน ส่วนใหญ่ทำงานไม้ เช่น ไม้หมอน ทำเสาโทรเลข ทำถนนจากธารโตไปยังเขตอำเภอเบตง ตัดหวายป่า เผาถ่าน ทำสวนส้ม ปลูกยางพารา ทำฟืน เคี่ยวน้ำตาล เป็นต้น”
นอกจากนี้ อดีตของคุกธารโต ได้ถูกบอกขานเล่ากล่าวจากบุคคลที่ยังคงอยู่ เอกสารที่ถูกบันทึกไว้และจากร่องรอยของสิ่งปลูกสร้างหรือวัตถุที่เหลืออยู่จนถึงปัจจุบัน ซึ่งเป็นเครื่องยืนยันและแสดงเรื่องราวได้อย่างเด่นชัด ถึงภาพเหตุการณ์และชีวิตของผู้เกี่ยวข้อง ไม่ว่านักโทษหรือผู้คุมในสมัยนั้น เพื่อให้คนรุ่นหลังได้มีโอกาสศึกษาเกี่ยวกับประวัติศาสตร์และวิถีชีวิตส่วนหนึ่งของชุมชนในอดีตของพื้นที่
นายประหยัด โลหรัตน อดีตผู้คุมนักโทษทัณฑสถานธารโต ตั้งแต่ปี พ.ศ.2486 บันทึกของเขาได้อธิบายสภาพแวดล้อมของคุกธารโตไว้ว่า เป็นป่าทึบ กลางคืนเงียบสนิท เจ้าหน้าที่ไม่ออกจากบ้านเพราะกลัวสัตว์ร้าย เมื่อดับไฟฟ้าเรือนจำและบ้านต้องใช้ตะเกียงน้ำมันก๊าดแทน ป่าลึกในบริเวณนั้นเป็นที่อยู่ของซาไกและเคยพบออกมาเดินอยู่ตามถนน สัตว์ป่าแถบนั้นก็เคยจับมาทำอาหารที่มี เม่น ตัวนิ่ม กบภูเขาตัวใหญ่มาก ในขณะนั้นไข้ป่าหรือมาลาเรียชุกชุมมาก ทุกคนเป็นไข้นี้กันหมดไม่เว้นแม้แต่ผู้คุม น้ำในลำธารที่ไหลผ่านเรือนจำ ต้องนำมาต้มก่อนที่จะนำมาดื่ม และเรื่องที่ถือเป็นภูมิปัญญาไทยที่น่าภูมิใจ คือ รถยนต์บรรทุกของเรือนจำใช้ก๊าซที่ได้จากการเผาถ่าน เพื่อขับเคลื่อนเครื่องยนต์แทนน้ำมันเบนซิน ซึ่งขาดแคลนในช่วงที่เกิดสงครามโลกครั้งที่ 2
นายฉัตร เพชรพงศ์ อดีตนักโทษ ได้เล่าถึงความเป็นอยู่และสถานที่ว่า
“ประมาณ 8.00 น. ก็กินข้าว วันหนึ่งกินสองมื้อ คือ มื้อเช้ากับมื้อเย็น ใครมีเงินก็ไปซื้อที่ตลาด พวกนักโทษเอาเงินมาจากการถางป่า เอาของป่าขาย ตัดหวาย ตื่นเช้า 6.00 น. โค่นต้นไม้ประมาณ 6 วา แล้วใช้มือเลื่อย ทำถนนสายยะลา-เบตง ถ้ามีงานก็ถูกเรียกไปใช้ อาจจะไปตักน้ำหาฟืน ตั้งแต่เช้าถึงเที่ยง มีนกหวีดเรียกเวลาทำงาน ผู้คุมก็นับจำนวนคนแล้วแยกย้ายกันไปทำงาน ห้าโมงเย็นใครมีตำแหน่งหุงข้าว ก็หุงข้าว พอค่ำก็นั่งคุยกัน นักโทษรวมกันหมดในเวลานอน นอนบนไม้กระดาน เวลานักโทษทำผิด จะให้เอาบุ้งกี๋มาตักลม... ผู้คุมไม่บอกให้หยุดก็ไม่ต้องหยุด ถ้านักโทษหนีก็ตีด้วยหวาย... ถ้าจับได้ก็อาจยิงทิ้งเสีย หรือตีด้วยหวายจนตาย...”
สรุปความจาก Facebook ศูนย์วัฒนธรรมเฉลิมราชพิพิธภัณฑ์คุกธารโต
แนะนำพิพิธภัณฑ์โดยสื่อออนไลน์
แนะนำพิพิธภัณฑ์โดยบล็อก
แนะนำพิพิธภัณฑ์โดยสารานุกรมไทย
นักโทษ ทัณฑสถาน ราชทัณฑ์ โรงเรียนบ้านนิคมสร้างตนเองธารโต
พิพิธภัณฑ์พื้นบ้านตำบลตะโล๊ะหะลอ
จ. ยะลา
พิพิธภัณฑ์ศิลปวัฒนธรรมและภูมิปัญญาชาวบ้าน ร.ร.สตรียะลา
จ. ยะลา
พิพิธภัณฑ์เรือโบราณบ้านสี่สิบ
จ. ยะลา