โพสต์เมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2555 เวลา 15:39:36
บทความโดย : ทีมงาน
ในศิลาจารึกหลักของพ่อขุนรามคำแหงมหาราช ตอนต้นที่เล่าถึง เหตุการณ์ตอนที่พระองค์มีพระชนมายุได้ 19 พรรษา ขุนสามชนเจ้าเมืองฉอดมาตีเมืองตาก ได้ชนช้างกัยพระองค์ถึงพ่ายแพ้ไป มีความว่าดังนี้ :
เมื่อกูขึ้นใหญ่ได้ 19 เข้า ขุนสามชนเจ้าเมืองฉอดมาท่เมืองตาก พ่อกูไปรบขุนสามชนหัวซ้าย ขุนสามชนขับมาหัวขวา ขุนสามชนเกลื่อนเข้าไพร่ฟ้าหน้าใส พ่อกูหนีญญ่ายพ่ายจแจ กูบ่หนีกูขี่ช้างเนกพล กูขับเข้าก่อนพ่อกู กูฏ่ช้างด้วยขุน .....
เซเดส์อธิบายเรื่อง "เนกพล" ไว้ว่าเป็นชื่อช้าง มาจาก อเนกพล คือมีกำลังมาก เคยมีบางท่านกล่าวว่าในจารึกเป็นช้าง "เบกพล" ข้าพเจ้าได้ตรวจสอบดูจากตัวศิลาจารึกเอง ปรากฏว่าจารึกเขียน "กูขี่ช้างเบกพล" จริง ปัญหาจึงเกิดขึ้นใหม่ว่า เบกพล จะเป็นชื่อช้างหรือมิใช่ ถ้ามิใช่แปลว่ากะไร
ได้ลองค้นคำ เบก ดูในภาษาไทยถิ่นต่างๆ ก็ไม่ป รากฏว่ามีคำ เบก นี้ใช้ ความมุ่งหวังเดิมที่ว่า เบก อาจเป็นคำไทยโบราณจึงหมดไป. เมื่อค้นทางไทยไม่ได้ความ ข้าพเจ้าก็อยากจะเดาว่า เบก นี้ตรงกับภาษาไทยปัจจุบันว่า เบิก เหตุที่เดาอย่างนี้มีเหตุผลและหลักเกณฑ์ดังจะแสดงต่อไปนี้
ในจารึกภาษาไทยหลักที่ 5 ในประชุมฯ บันทัดที่ 20 – 21 มีความตอนหนึ่งว่า "1283 ปีฉลู จิงให้ไปอญเชญมหาสามีสงฆราช มีสีลาจารแลรูพระปิฎกเตรย..........................................."
จะเห็นได้ว่า อัญเชิญ ในที่นั้น ใช้ว่า อญเชญ (อนเชน) ที่ใช้อัญเชิญเป็น อญเชญ นี้มิใช่โบราณเขียนผิด แต่เป็นเรื่องของความแตกต่างของเสียงในภาษาของแต่ละสมัย
อัญเชิญ เป็นภาษาเขมร ใช้มาแต่สมัยต้นพระนครหลวง คำ อัญเชิญ นี้โบราณเขมรใช้ อญเชญ มาเปลี่ยนเป็น อัญเชิญ เอาในสมัยกลาง ซึ่งใช้มาจนปัจจุบัน. ไทยสุโขทัยรับเอาคำเขมรสมัยนั้นมาใช้จึงใช้ว่า อญเชญ ตามภาษาเขมรมิได้เปลี่ยนแปลง
สระเอ ของเขมรสมัยพระนครหลวงนั้น มาตอนปลายสมัยก็เริ่มเปลี่ยนเสียงไปสองทาง คือแปรไปเป็น แอ ทาง 1 และ เออ ทาง 1 การแปรเสียงนั้นจับเป็นหลักไม่ได้ว่าพยัญชนะพวกใดเปลี่ยนเสียงเป็น แอ และพวกใดเปลี่ยนเสียงเป็น เออ รู้สึกว่าแปรไปตามถนัดของภาษา เคยมีผู้กล่าวว่า ที่แปรเสียงไปก็เพราะเขมรทางพนมเป็ญกับพระนครหลวงออกเสียงต่างกัน เมื่อสมัยหลังเขมรย้ายราชธานีไปทางพนมเป็ญเสียงจึงแปรไป สระเอ ที่ว่ามานี้ บางสระยังใช้เอตลอดมาไม่แปรเสียงเลยก็มี และการแปรเสียงก็ค่อยๆ เป็นค่อยไป บางคำมาแปรเอาจนสมัยกลางหรือหลังสมัยกลาง บางคำก็แปรแต่ปลายสมัยพระนครหลวง จะยกตัวอย่างพอได้เห็นเอาเน้นคำที่เรารู้จัก
เอ เป็น แอ เอฺลง = แลง (ศิลาแลง)
เวง = แวง (ยาว – เส้นแวง, นาแวง)
กํเวง = กำแผง (กำแพง)
เอ เป็น เออ เถลง = เถลีง (เถลิง = ขึ้น)
เวฺลง = เภลิง (เพลิง = ไฟ)
เชง = เชิง (ตีน = เชิงเขา)
อญเชญ แปรเสียงมาเป็น อญเชิญ ก็เข้าในพวก เอ เป็น เออ นี้ แม้คำ บํเรอ (บำเรอ) ในจารึกขุนรามคำแหง เขมรโบราณก็เป็น บํเร มาก่อน โดยเช่นนี้ ถ้าพิจารณาคำ เบก ในทางเขมร เบก ก็แปรเสียงมาเป็น เบิก หรือ แบก, เบิก ภาษาเขมรตรงกับคำไทยว่า เปิด, แบก ตรงกับคำว่า แตก ปัญหามีอยู่ว่าจะเลือกความไหน ถ้าจะให้เลือกข้าพเจ้าขอเลือก เบิก เพราะไทยใช้มาจนบัดนี้ และยังแผลงต่อเป็น เผนิก หรือ เพนิก ที่ใช้เรียกหน้าสมุดไทย เผนิก 1 ก็คือเปิดไปครั้ง 1 ส่วนแบก เราไม่เคยใช้เป็นภาษาพูด มีแต่ในกาพย์กลอนเช่น ผลูแบก – ทางแยก และมีแผลงเป็น แผนก (ส่วนที่แยกออกไป)
เบก ในจารึกพ่อขุนรามจึงควนเป็น เบิก ในปัจจุบัน ถ้าจะว่าเป็น แบก รู้สึกจะไม่ค่อยได้ความ "กูขี่ช้างเบิกพล" ก็คือกูขี่ช้างฝ่าพลไพร่ที่หนีจอแจนั้นเข้าไปหาขุนสามชน.
เรื่อง เอ เป็น เออ นี้ เคยเห็นในภาษาไทยเองก็มีบ้าง เช่นใน ยวนพ่าย ใช้ เงิน ว่า เง็น – ภูลบ่อเง็นทองงทงง บ่อแก้ว ทางลานช้างโบราณใช้ เกษม ว่า เกสิม ก็มีเช่น :
กินกาหลงอยู่ – เกสิม
ถ้าว่าในด้านเสียงคำสร้อยที่เป็นคู่ท้ายแล้ว เอ เป็น เออ เสมอ :
เห็น – เหิ็น, เล่น – เลิ่น
๏ ขุดคำ ~ ค้นความ โดย :
จิตร ภูมิศักดิ์ ใน ศัพท์สันนิษฐานและอักษรวินิจฉัย (กรุงเทพฯ : ฟ้าเดียวกัน, 2548) หน้า 51 - 54
คำ "เบกพล" ปรากฏในข้อมูล จารึกพ่อขุนรามคำแหง ด้านที่ 1 บรรทัดที่ 7