ข่าวสารพิพิธภัณฑ์

"บอสเนีย"ปิดพิพิธภัณฑ์แห่งชาติ เพราะไร้เงินสนับสนุนจากรัฐบาล

พิพิธภัณฑ์แห่งชาติบอสเนีย ซึ่งรอดจากสงครามโลกทั้งสองครั้งมาได้ รวมถึงเหตุโจมตีกรุงซาราเยโวในช่วงยุค 1990 ต้องปิดตัวลงเนื่องจากขาดเงินทุนสนับสนุนและความแตกแยกทางการเมือง พิพิธภัณฑ์ดังกล่าวถูกสร้างขึ้นเมื่อปี 1888 ย้อนกลับไปเมื่อสมัยที่บอสเนีย-เฮอร์เซโกวินา เป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรออสโทร-ฮังกาเรียน เจ้าหน้าที่พิพิธภัณฑ์ทำงานโดยไม่ได้รับเงินเดือนมานานกว่าหนึ่งปี โดยได้เข้าร่วมการประท้วงร่วมกับนักศึกษาหลังรัฐบาลประกาศปิดเมื่อวันที่ 4 ต.ค. กลุ่มเชื้อชาติต่างๆของบอสเนียไม่สามารถหาข้อตกลงกันได้ในการจัดหาเงินทุนสนับสนุนด้านวัฒนธรรม นับตั้งแต่สงครามกลางเมืองสิ้นสุดลงเมื่อปี 1995   หนึ่งในนิทรรศกาลสำคัญของพิพิธภัณฑ์แห่งนี้คือ "ซาราเยโว ฮัคกาดาห์" ซึ่งแสดงเอกสารตัวเขียนที่นำมายังบอสเนียโดยครอบครัวชาวยิวที่ถูกขับออกจากสเปนในระหว่างการสอบสวน และได้รับความช่วยเหลือจากกองทัพฮิตเลอร์ระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2   องค์กรด้านวัฒนธรรมอื่นๆรวมถึงพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ ซึ่งได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกแห่งชาติของบอสเนีย ประสบปัญหาในการอยู่รอดด้วยเงินอุดหนุนเพียงน้อยนิดจากหน่วยงานรัฐบาลต่างๆ   นายอัดนาน บูซูลาซิค ผู้จัดการพิพิธภัณฑ์กล่าวว่า พิพิธภัณฑ์ไม่สามารถอยู่ได้เพียงเพราะการพูดลอยๆเท่านั้น แต่เจ้าหน้าที่จำเป็นต้องมีรายได้ และรัฐต้องอุดหนุนเงินบำรุงรักษาด้วย ซึ่งต้องใช้เงินราว 60,000 ยูโรต่อเดือน เพื่อเป็นค่าดูแลและจัดกิจกรรมต่างๆ   ทั้งนี้ บอสเนีย-เฮอร์เซโกวินา ไม่มีกระทรวงวัฒนธรรม ตามข้อตกลงเดย์ตัน หลังได้รับเอกราชในสงครามยูโกสลาเวียในช่วงทศวรรษ 90 ประเทศบอสเนียและเฮอร์เซโกวีนา แบ่งเขตการบริหารหลักออกเป็นสหพันธรัฐบอสเนียและเฮอร์เซโกวีนา และสาธารณรัฐเซิร์ปสกา (มติชนออนไลน์ วันที่ 6 ตุลาคม 2555)  

"พิพิธภัณฑ์ลูฟร์"เปิดห้องแสดงศิลปะอิสลาม ท่ามกลางกระแสขัดแย้งด้านศาสนา

พิพิธภัณฑ์ลูฟร์ ในกรุงปารีสของฝรั่งเศส เปิดห้องแสดงศิลปะอิสลามแห่งใหม่ ซึ่งใช้เงินลงทุนเกือบ 100 ล้านยูโร  และเปิดแสดงต่อประชาชนทั่วไป เมื่อวันเสาร์ที่ 22 ก.ย.ที่ผ่านมา  ห้องแสดงศิลปะอิสลามแห่งนี้สร้างขึ้นด้วยเงินบริจาค ทั้งจากรัฐบาลฝรั่งเศสและประเทศมุสลิม เช่น โมร็อกโกและซาอุดีอาระเบีย โดยสร้างเป็นอาคารขนาดยาวคล้ายรูปแมลงปอ และนับเป็นการก่อสร้างครั้งใหญ่ที่สุดของที่นี่ นับตั้งแต่การสร้างปิรามิดแก้วเมื่อกว่า 20 ปีก่อน โดยห้องแสดงศิลปะอิสลาม ภายในจัดแสดงสิ่งของประมาณ 18,000 ชิ้น ตั้งแต่ศตวรรษที่ 7-19 ในจำนวนนี้มีคนโทคริสตัลจากอียิปต์ สมัยศตวรรษที่ 11 เจ้าหน้าที่ประจำห้องจัดแสดงฯ หวังว่า การจัดนิทรรศการจะช่วยส่งเสริมให้ประชาชนเข้าใจวัฒนธรรมของอิสลาม จากที่ปัจจุบันกำลังเกิดกระแสความขัดแย้งระหว่างโลกมุสลิมกับโลกตะวันตก จากกรณีภาพยนตร์ดูหมิ่นศาสดาของศาสนาอิสลาม และการ์ตูนล้อเลียนศาสดามูฮัมหมัดที่ตีพิมพ์ในนิตยสารของฝรั่งเศส เมื่อวันพุธที่ผ่านมา โดยตัวอย่างงานศิลปะที่น่าสนใจ อาทิ โมเสคจากสุเหร่าในกรุงดามัสกัสของซีเรีย และหน้ามุขสมัยศตวรรษที่ 15 รวมถึงโบราณวัตถุที่มีอายุตั้งแต่ 632-1,800 ปีก่อนคริสตกาล ที่ได้รับการบริจาคจากกษัตริย์โมฮัมเหม็ดที่ 6 แห่งโมร็อกโก และมูลนิธิของเจ้าชายวาลีด บิน ทาลัล แห่งซาอุดิอาระเบีย การเปิดตัวเกิดขึ้นก่อนหน้าที่รัฐบาลฝรั่งเศสประกาศปิดทำการสถานทูต สถานกงสุล ศูนย์วัฒนธรรม ใน 20 ประเทศ หลังจากนิตยสารแนวเสียดสีชาร์ลี เอ็บโด ประกาศตีพิมพ์ภาพการ์ตูนล้อเลียนศาสดามูฮัมหมัด ซึ่งเจ้าหน้าที่เผยว่า การกระทำดังกล่าวเท่ากับเป็นการเติมเชื้อไฟ และเรียกร้องให้ทุกฝ่ายอยู่ในความสงบ เนื่องจ่ากฝรั่งเศสถือเป็นประเทศยุโรปตะวันตกที่มีประชากรมุสลิมมากที่สุด ประธานาธิบดีฟรองซัวส์ ออลลองด์ ซึ่งได้เข้าร่วมการเปิดนิทรรศการที่พิพิธภัณฑ์ลูฟร์เมื่อวันอังคาร กล่าวว่า นี่ถือเป็นการแสดงท่าทีต่อการเมือง ในการแสดงออกซึ่งความเคารพต่อความสงบ โดยมีเจ้าชายจากซาอุดิอาระเบียและประธานาธิบดีแห่งอาร์เซอร์ไบจานเข้าร่วมด้วย พิพิธภัณฑ์ลูฟร์เปิดแผนกศิลปะอิสลามขึ้นเมื่อปี 2003 ภายใต้รัฐบาลของอดีตประธานาธิบดีฌาร์คส์ ชีรัค ซึ่งกล่าวว่า เขาต้องการให้ความสำคัญต่อการมีส่วนร่วมของวัฒนธรรมอิสลามที่มีต่อวัฒนธรรมตะวันตก (มติชนออนไลน์ วันที่ 21 กันยายน 2555)  

19 กันยายน วันพิพิธภัณฑ์ไทย

ประวัติความเป็นมาวันพิพิธภัณฑ์ไทย   ในราวคริสต์ศตวรรษที่ 16-17 ทางด้านซีกโลกตะวันตก ได้มีการตื่นตัวในด้านการเก็บรวบรวม และสะสมทรัพย์สมบัติ และมรดกต่างๆ ทั้งที่เป็นวัตถุ สิ่งของมีค่า สิ่งเก่าแก่ ที่หายากและแปลกๆ เพื่อเป็นหลักฐานทางมรดกวัฒนธรรมของชาติอันเป็นการแสดงถึงความเป็นใหญ่และความมั่งคง ของเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมที่เด่นชัด ซึ่งเอกลักษณ์ทางศิลปวัฒนธรรมนั้น จะปรากฏขึ้นได้ก็ต่อเมื่อชาตินั้นๆ ได้มีการรวบรวมหลักฐานที่เป็นศิลปวัตถุ โบราณวัตถุ สิ่งประดิษฐ์จากการคิดค้นหรือสิ่งแวดล้อมที่เป็นสมบัติของชาติ มาประมวลเป็นหลักฐาน ให้ชีวิตของชนในชาตินั้นได้    สำหรับในประเทศไทยนั้น ผู้ริเริ่มดำเนินการรวบรวมวัตถุสิ่งต่างๆ เป็นคนแรกได้แก่ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มีการจัดพิพิธภัณฑสถานส่วนพระองค์ ที่พระที่นั่งราชฤดีเป็นครั้งแรก ซึ่งเป็นที่จัดตั้งแสดงสิ่งสะสมในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ทรงรวบรวมไว้ตั้งแต่ครั้งก่อนเสด็จขึ้นครองราชย์ ซึ่งต่อมาได้ย้ายมาจัดแสดงที่พระที่นั่งประพาสพิพิธภัณฑ์ อันเป็นที่มาของคำว่า "พิพิธภัณฑ์ "ในเวลาต่อมา เมื่อมาถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพราะจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้มีการจัดตั้ง"มิวเซียม" ซึ่งเป็นพิพิธภัณฑสถานสำหรับประชนแห่งแรกขึ้น ณ วันที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2417  ต่อมาในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้พระราชทานหมู่พระที่นั่งทั้งหมด ในพระราชวังบวรสถานมงคล จัดตั้งเป็นพิพิธภัณฑ์สถานสำหรับพระนครดูแลด้านโบราณคดี วรรณคดี เป็นที่รวบรวมสงวนรักษาโบราณวัตถุ ศิลปะวัตถุ ซึ่งเป็นมรดกทางวัฒนธรรมแห่งชาติพิพิธภัณฑสถานพระนคร ได้มีการเปลี่ยนชื่อและหน่วยงานที่สังกัด อีกหลายครั้ง จนกระทั่ง ได้มีพระรบกฤษฎีกาแบ่งส่วนราชการกรมศิลปากร กระทรวงศึกษาที่การพุทธศักราช 2518 จัดตั้งกองพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ  เส้นทางพิพิธภัณฑสถานไทย ที่เริ่มต้นจากพิพิธภัณฑสถานส่วนพระองค์ ได้เปลี่ยนแปลงมาสู่พิพิธภัณฑสถานประชาชน และพัฒนาต่อไปจากพิพิธภัณฑสถานที่เก็บรักษาสรรพสิ่งทั่วไป ไม่กำหนดประเภทแน่นอน มาเป็นพิพิธภัณฑสถานมากมายหลายประเภท ตามลักษณะของศิลปวิทยาการที่เกอิดขึ้นในโลก ทั้งทางศิลปะวิทยาศาสตร์ ประวัติศาสตร์ โบราณคดี ชาติพันธุ์วิทยา สังคมวิทยา และสาขาวิชาอื่นๆ เป็นจำนวนหลายร้อยแห่งทั่วประเทศ และยังได้ยกระดับกิจการพิพิธภัณฑ์ไทยให้เทียบเท่ามาตรฐานสากล โดยเข้าเป็นสมาชิกสภาการพิพิธภัณฑ์ระหว่างชาติ หรือ ICOM ซึ่งให้คำจำกัดความว่า "พิพิธภัณฑ์" ว่ามิใช่เป็นแหล่งเก็บรวบรวม สงวนรักษาศึกษาวิจัย และจัดแสดงเฉพาะวัตถุเท่านั้นแต่พิพิธภัณฑ์ไดัรวบรวมทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นหลักฐานสำคัญต่อมนุษย์และสิ่งแวดล้อม ทั้งที่มีชีวิตและไม่มีชีวิตทั้งที่เกี่ยวเนื่องกับสังคมวัฒนธรรม และวิทยาศาสตร์ จากหลักฐานในอดีต สิ่งที่ปรากฏอยู่ในปัจจุบัน และแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นในอนาคตโดยนัยนี้พิพิธภัณฑสถานในประเทศไทยได้จัดตั้งขึ้นแล้วกว่า 200 แห่ง และได้มีการพัฒนารูปแบบกิจการให้มีความเป็นสถาบันการศึกษานอกรูปแบบที่สำคัญอีกด้วยด้วย เหตุนี้รัฐบาลจึงประกาศให้วันที่ 19 กันยายนของทุกปีเป็นวันพิพิธภัณฑ์ไทย นับตั้งแต่ พ.ศ. 2538 เป็นต้นไป เนื่องจากเป็นวันที่คนไทยทั้งชาติ ได้รับพระราชทานพิพิธภัณฑสถานสำหรับประชาชนเป็นครั้งแรก จากพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อปี พ.ศ 2417 เพื่อน้อมรำลึกถึงพระคุณของพระองค์ท่าน และเพื่อปลูกฝังให้คนไทยรัก และหวงแหนในศิลปวัฒนธรรมอันเป็นสิ่งที่แสดงถึงเอกลักษณ์ของความเป็นไทยในวันพิพิธภัณฑ์ไทย พิพิธภัณฑสถานต่างๆ ทั่วประเทศได้ร่วมกันเปิด พิพิธภัณฑสถานให้ประชาชนทั่วไป ได้มีโอกาสเข้าไปชมศิลปวัฒนธรรมอันเป็นเอกลักษณ์ของชาติเพื่อสร้างความรักความเข้าใจ ตลอดจนภูมิใจในความเป็นไทยโดยทั่วกัน   (ที่มา Facebook:  ชมรมพิพิธสยาม (Variety Siam)  

120 ปี ศิลป์ พีระศรี(2435-2555)

ตลอดเดือนกันยายนนี้ เนื่องในวาระครบรอบ 120 ปีวันเกิดของ ศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี  ผู้สร้างคุณูปการในทางศิลปะแก่ประเทศไทยอย่างกว้างขวาง หอศิลป์และพิพิธภัณฑ์ภายในมหาวิทยาลัยศิลปากรมีนิทรรศการชั่วคราว ที่น่าสนใจมากมาย อย่าลืมไปชมกัน การแสดงศิลปกรรมของ อาจารย์คณะจิตรกรรมประติมากรรมและภาพพิมพ์ ครั้งที่ 29 หัวข้อ "วาทศิลป์ พีระศรี" ในวาระเชิดชูเกียรติ 120 ปีชาติกาลศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี ระหว่างวันที่ 15 กันยายน - 15 ตุลาคม 2555 ณ หอศิลป์ PSG Art Gallery คณะจิตรกรรมประติมากรรมและภาพพิมพ์ นิทรรศการสถาปัตย์ปริวรรต ครั้งที่ 14 ระหว่างวันที่ 15 - 30 กันยายน 2555 ณ หอศิลปะสถาปัตยกรรมพระพรหมพิจิตร คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์  นิทรรศการผลงานสร้างสรรค์ของคณาจารย์คณะมัณฑนศิลป์ ครั้งที่ 15 ระหว่างวันที่ 15 - 30 กันยายน 2555 ณ หอศิลปะและการออกแบบ คณะมัณฑนศิลป์ นิทรรศการ “ลูกศิษย์คิดถึงอาจารย์ ” ครั้งที่ 2ระหว่างวัน ที่ 10 – 30 กันยายน 2555 ณ หอศิลป์ มหาวิทยาลัยศิลปากร

เสวนาชุมชนปากคลองตลาด ครั้งที่ 2 ตอน "วิถีใหม่ปากคลองตลาด @สถานีสนามไชย"

ตลาดเก่าเล่าชุมชนนางเลิ้งและสามย่าน สู่ช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนผ่านของปากคลองตลาดที่เรารู้จักกันดีกำลังจะกลายเป็นตลาดดอกไม้แห่งอาเซียนหรือไม่ (ตอนที่แล้ว) พบกับ เสวนาชุดพิพิธภัณฑ์มีชีวิต Living Museum ชุมชนปากคลองตลาด ครั้งที่ 2 โดยสถาบันพิพิธภัณฑ์การเรียนรู้แห่งชาติ ในตอน "วิถีใหม่ปากคลองตลาด @สถานีสนามไชย" วันอาทิตย์ที่ 23 กันยายน 2555 เวลา 13.30 - 16.30 น. ณ ห้องคลังความรู้ ชั้น 2 อาคารสำนักงานสถาบันพิพิธภัณฑ์การเรียนรู้แห่งชาติ (มิวเซียมสยาม) ฟรี!! ผู้ร่วมเสวนา : • คุณเฉลียว ปรีกราน กรรมการผู้จัดการบริษัท ตลาดยอดพิมาน จำกัด และ บริษัทปากคลองตลาด (2552) จำกัด • คุณทรงศรี ลิ้มรสเลิศ ผู้จัดการตลาดสามย่าน • คุณนวรัตน์ แววพลอยงาม ผู้แทนชุมชนนางเลิ้งและหัวหน้าโครงการสร้างศักยภาพชุมชนด้วยสื่อศิลปวัฒนธรรม “นางเลิ้ง”  • ผู้ช่วยศาสตราจารย์จิรภา วรเสียงสุข คณบดีคณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ดำเนินรายการโดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดำรงพล อินทร์จันทร์ คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร สำรองที่นั่งได้แล้ววันนี้!! รับจำนวนจำกัด 60 ท่านเท่านั้น สำรองที่นั่งและสอบถาม โทร. 02-225-2777 ต่อ 404 (เวลา 09.30 - 17.00 น.) หรือ E-mail: musebox12@gmail.com

จิม ทอมป์สันเปิดเวทีดวลลูกคอ ชวนเยาวชนโชว์ลีลา "สุดสะแนน แดนอีสาน"

จิม ทอมป์สัน ฟาร์ม มุ่งมั่นอนุรักษ์วัฒนธรรมอีสาน จัดการประกวดหมอลำ “จิม ทอมป์สัน ฟาร์ม สุดสะแนน แดนอีสาน” และโครงการจัดตั้งพิพิธภัณฑ์หมอลำแห่งแรกในประเทศไทย เพื่อส่งเสริมให้เยาวชนไทยได้ตระหนักถึงคุณค่าทางการแสดงดนตรีพื้นบ้านอีสาน และสืบสานการแสดงหมอลำให้คงอยู่เป็นสมบัติของชาติ         นางชุติมา ดำสุวรรณ ผู้จัดการฝ่ายประชาสัมพันธ์ จิม ทอมป์สัน กล่าวถึงโครงการ “จิม ทอมป์สัน ฟาร์ม สุดสะแนน แดนอีสาน” ว่าเป็นเวทีที่เปิดโอกาสให้เยาวชนภาคอีสานได้ร่วมสืบสานการแสดงหมอลำให้คงอยู่เป็นสมบัติของชาติ ผ่านการเข้าร่วมประกวด เพื่อส่งเสริมให้เยาวชนไทยได้ตระหนักถึงคุณค่าทางการแสดงดนตรีพื้นบ้านอีสาน โดยการแข่งขันออกเป็นระดับมัธยมศึกษา และอุดมศึกษาโดยคณะกรรมการตัดสินผู้ทรงคุณวุฒิด้านหมอลำ และดนตรีพื้นบ้านอีสาน "ทางโครงการฯ จะเริ่มรับสมัครนักเรียนนักศึกษาทั่วภาคอีสานเข้าร่วมประกวด ตั้งแต่วันนี้ ถึง 30 กันยายน 2555 และจัดรอบชิงชนะเลิศในงาน “จิม ทอมป์สัน ฟาร์มทัวร์ 2555” ณ จิม ทอมป์สัน ฟาร์ม อ.ปักธงชัย จ.นครราชสีมา ในเดือนธันวาคม 2555 โดยมีกรรมการตัดสินผู้ทรงคุณวุฒิ อาทิ คุณฉวีวรรณ ดำเนิน ศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะการแสดงหมอลำ , คุณบานเย็น รากแก่น ศิลปินหมอลำและศิลปินมรดกอีสาน, ผศ.ชอบ ดีสวนโคก ผู้เชี่ยวชาญด้านวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตขอนแก่น และ รศ.ดร.เจริญชัย ชนไพโรจน์ ผู้เชี่ยวชาญประจำวิทยาลัยดุริยางคศิลป์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม" นางชุติมากล่าว พร้อมกันนี้ อาจารย์พหลไชย เปรมใจ ที่ปรึกษาและสถาปนิกประจำ จิม ทอมป์สัน ฟาร์ม ยังได้เผยถึงโครงการจัดตั้งพิพิธภัณฑ์หมอลำในจิม ทอมป์สัน ฟาร์มว่า “พิพิธภัณฑ์หมอลำ" เป็นเป้าหมายที่จิม ทอมป์สัน ฟาร์ม ตั้งใจจัดตั้งขึ้นเพื่อเป็นแหล่งเรียนรู้สำหรับนักเรียน นักศึกษา ศิลปินหมอลำ และบุคคลทั่วไป ที่ต้องการศึกษาเรื่องของหมอลำ เพื่อให้ผู้เข้าชมตระหนักถึงคุณค่าและร่วมกันอนุรักษ์วัฒนธรรมอีสานอันเก่าแก่และงดงาม โดยในปีนี้จะเริ่มจากการจัดแสดงนิทรรศการหมอลำขึ้นในพื้นที่ของหอไตรกลางน้ำ ซึ่งจะเริ่มเปิดให้เข้าชมเป็นครั้งแรกในงานจิม ทอมป์สัน ฟาร์มทัวร์ ในปี 2555 ระหว่างวันที่ 15 ธ.ค. 2555 ถึง 13 ม.ค. 2556    นอกจากนั้นภายในงานแถลงข่าวยังได้มีการสาธิตขับร้องหมอลำกลอน ลำทางยาว และหมอลำเต้ย ประกอบเสียงแคน โดยตัวแทนนักศึกษา ฝ่ายชาย ได้แก่ หมอลำธีระวัฒน์ เวฬุวัน มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย วิทยาเขตอีสาน จังหวัดขอนแก่น ฝ่ายหญิง ได้แก่หมอลำเพชรา พระธาตุขามแก่น จากมหาวิทยาลัยราชภัฎอุดรธานี และหมอแคน ได้แก่นายพงศพร อุปนิ มหาวิทยาลัยขอนแก่น สร้างความเพลิดเพลินให้กับผู้เข้าร่วมแถลงข่าวได้เป็นอย่างดี ทั้งนี้ยังปิดท้ายด้วยการแสดงจาก คุณฉวีวรรณ ดำเนิน ศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะการแสดงหมอลำ, คุณบานเย็น รากแก่น ศิลปินหมอลำและศิลปินมรดกอีสานด้วย                "นักเรียน นักศึกษาทั่วภาคอีสานที่เข้าร่วมประกวดหมอลำ และชิงเงินรางวัลมูลค่ากว่า 500,000 บาท พร้อมด้วยโอกาสในการไปทำการแสดงที่ร้านอาหารของจิม ทอมป์สัน ประเทศสิงคโปร์ เพื่ออนุรักษ์และส่งเสริมให้นักเรียน นักศึกษา เยาวชน และประชาชนทั่วไปตระหนักในคุณค่าของการแสดงหมอลำ ซึ่งถือเป็นมรดกทางวัฒนธรรมอันทรงคุณค่าของชาวไทยเชื้อสายลาวที่อาศัยอยู่ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ สู่สายตาชาวไทยและชาวต่างชาติ" ผู้สนใจเข้าร่วมประกวดหมอลำ “จิม ทอมป์สัน ฟาร์ม สุดสะแนน แดนอีสาน” สามารถส่งใบสมัครและผลงานบันทึกการแสดงในรูปแบบ DVD มาที่ คุณธีรารัตน์ เกนี่ บริษัท อุตสาหกรรมไหมไทย จำกัด 96 ซ.พึ่งมี 29 ถ.สุขุมวิท 93 แขวงบางจาก เขตพระโขนง 10260 โดยอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมและดาวน์โหลดใบสมัครเข้าร่วมการประกวดได้ที่ www.jimthompsonfarm.com หรือสอบถามที่ 0-2762-2564, 08-4751-2011 และอีเมลล์ teerarat@jimthompson.com

ชุมพรเจอแหล่งโบราณนับพันปี รวมวัตถุโบราณหลายพันชิ้น เตรียมถวายสมเด็จพระเทพฯ

เมื่อวันที่ 1 ก.ย. ผู้สื่อข่าวได้รับการเปิดเผย จากนายชูศักดิ์ ช่วยบำรุง อายุ 48 ปี และ นางวันเพ็ญ ช่วยบำรุง อายุ 43 ปี อยู่บ้านเลขที่ 249 หมู่ที่ 4 ต.วังตะกอ อ.หลังสวน จ.ชุมพร สองสามีภรรยา อาชีพรับเหมาก่อสร้าง รับเหมาขุดดินว่า ได้รวบรวมวัตถุโบราณไว้จำนวนมากมานานร่วม 10 ปี ถึงเวลาที่จะเปิดเผยให้สังคมรับทราบ เพื่อนำทูลเกล้าถวาย สมเด็จพระเทพฯ ผู้สื่อข่าวรายงานต่อว่า สองสามีภริยาได้นำไปดูสถาน ใจกลางภูเขา”เขาเสก” ซึ่งเป็นภูเขาขนาดย่อมใจกลางเมืองหลังสวน ริมแม่น้ำหลังสวน ในพื้นที่ 14 ไร่ พบว่า เป็นที่ราบ ด้านหนึ่งเป็นยอดภูเขาสูง มีร่องรอยการสไลด์ของดินจากยอดภูเขาสูงลงมาเป็นทางยาวร่วม 500 เมตร มีบ้านไม้ยกพื้นสูงของสองสามีภรรยา เมื่อเข้าไปด้านในพบว่า เป็นห้องโล่งขนาดใหญ่  มีตู้ไม้ฝาทำเป็นกระจกเลื่อน ใส่กุญแจไว้ ติดกับผนังบ้าน รอบห้องจำนวน 8 ตู้  ภายในตู้ เต็มไปด้วยวัตถุโบราณจำนวนมาก หลายพันชิ้น ทั้งกำไลหินสีต่างๆ ทั้งที่ยังสมบูรณ์ และแตกหัก ลูกปัด ขนาดต่างๆ ทั้งที่ร้อยเป็นสร้อยคอ สร้อยมือ และ ยังไม่ได้ร้อยอีกจำนวนมาก และ ทองคำแบบโบราณ ที่ทำเป็นเครื่องประดับแบบ สร้อยคอ ตั่งหู แหวน รวมถึงเครื่องปั้นดินเผาแบบไห ที่ใช้ใส่เครื่องประดับที่พบ ซึ่งอยู่ในสภาพแตกหัก อีกจำนวนมาก และยังมีอาวุธโบราณ อาทิ ดาบเหล็ก ในสภาพขึ้นสนิมเกรอะกรัง แต่มีสภาพที่สมบูรณ์ ความยาวตั้งแต่ 1.50 เมตร จนถึง 30 ซม. จำนวน 30 กว่าด้าม รวมวัตถุโบราณทั้งสิ้นหลายพันชิ้นรวมถึงอุปกรณ์ในการเจาะหิน ทั้งขนาดเล็ก ขนาดใหญ่ในสภาพชำรุดอีกจำนวนหนึ่ง สร้างความตื่นตะลึงแก่กลุ่มผู้สื่อข่าว ที่เดินทางไปรายงานข่าวอย่างมาก นายชูศักดิ์เปิดเผยว่า เมื่อ 7 ปีก่อนในขณะที่ขุดดินปรับพื้นที่ มีการไหว้เจ้าที่เจ้าทาง เพื่อขออนุญาติตามปกติ เนื่องจากทราบว่าพื้นที่บริเวณภูเขาเสกเป็นเมืองเก่าในอดีต คืนนั้นก็ฝันว่ามีชายโบราณแต่งกายนุ่งผ้าโจมกระเบนแดง มีลูกปัดและเครื่องทองคำประดับไปทั่วทั้งลำตัว เดินถือดาบ เข้ามาบอกว่า “ให้ขุดเอาสมบัติของแผ่นดินขึ้นมาให้คนในชาติได้เก็บไว้” นายชูศักดิ์บอกว่า “ไม่มีเวลาเพราะงานมาก และ ไม่มีความรู้เรื่องของโบราณ อีกทั้งที่ดินก็เป็นของญาติไม่ใช่ของนายชูศักดิ์ “ ชายโบราณ ในฝันกล่าวว่า “ถ้ารับปากจะทำ จะจัดการเรื่องที่ดินให้” แล้วสะดุ้งตื่นขึ้นมา พร้อมๆ กับที่นางวันเพ็ญตื่นขึ้นมานั่งหน้าตาตื่นเช่นเดียวกัน เมื่อสอบถามก็พบว่า ฝันในเรื่องเดียวกัน ในช่วงเช้าจึงไปสำรวจพื้นทั้ง 14 ไร่ อย่างละเอียด พบว่าในก้อนดินที่สไลด์ลงมาจากภูเขา มีวัตถุโบราณ ปะปนอยู่จำนวนมาก  จึงปรึกษาภรรยาว่าจะทำอย่างไรกันดี ตัดสินใจนำวัตถุโบราณเหล่านั้นไป ปรึกษา พล.ต.ท.วรรณรัตน์ คชรักษ์ อดีต ผบช.น. และ อดีต สส.ระบบบัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์  พล.ต.ท.วรรณรัตน์เดินทางเข้าไปดูแล้วบอกว่า ให้ปิดเรื่องให้เงียบเพื่อป้องกันพวกขุดวัตถุโบราณมาขุดคุ้ยไปขาย หลังจากนั้นให้ใช้เวลารวบรวมวัตถุโบราณเหล่านั้นให้ได้มากที่สุดในพื้นที่ 14 ไร่ และเมื่อกลับมาถึงบ้านในวันนั้นพบว่า ญาติซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินได้มาติดต่อขอให้ซื้อที่ดินแปลงดังกล่าว โดยไม่ได้บอกอะไร  แต่ให้นายชูศักดิ์ช่วยซื้อ นายชูศักดิ์จึงตัดสินใจซื้อที่ดินแปลงดังกล่าว  พร้อมทั้งลงมือสร้างบ้านยกพื้นสูง ให้ ภรรยา และ ลูกน้องคนสนิท2-3 คน ออกสำรวจพื้นที่ทั้งหมด และเก็บรวบรวมวัตถุโบราณที่พบในกองดิน ที่สไลด์ลงมาจากยอดภูเขาสูง รวมถึงบางส่วนต้องขุดหน้าดินลงไปเพียง 50 ซม.ก็ จะพบหม้อ ไห ดิน แตกและ วัตถุโบราณ อยู่ในพื้นที่ดังกล่าว  หลังจากนั้นจะนำมาทำความสะอาดและเก็บรักษาไว้ จนกระทั่งเมื่อต้นเดือน ส.ค.55 หลังจากรวบรวมวัตถุโบราณได้จำนวนมาก และเรื่องเริ่มระแคะระคายออกไป มีชาวบ้านบางส่วน เริ่มเข้ามาขโมยขุดทั้งใน จุดที่เป็นพื้นที่ของนายชูศักดิ์ และ พื้นที่ใกล้เคียงก็พบวัตถุโบราณเหมือนที่ตนเองพบ  เกรงว่าถ้าชาวบ้านรู้มากจะเกิดอันตรายและ วัตถุโบราณจะสูญหายได้อยู่ในกลุ่มพวกค้าวัตถุโบราณ จึงแจ้งไปยังเจ้าหน้าที่กรมศิลปากร จ.นครศรีธรรมราช ให้เข้ามาตรวจสอบ และ ประกาศห้ามขุดวัตถุโบราณในบริเวณดังกล่าว  ส่วนที่ตนเองพบและรวบรวมมาได้ ได้ปรึกษากับจนท.กรมศิลปากร และ พล.ต.ท.วรรณรัตน์ เพื่อนำวัตถุโบราณทั้งหมด ทูลเกล้าฯถวายสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ และ ถ้าสำเร็จจะถวายที่ดินในบริเวณดังกล่าวอีก 5 ไร่ เพื่อสร้างเป็นพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น และยกให้เป็นสมบัติของทางราชการ ซึ่งในขณะนี้ พล.ต.ท.วรรณรัตน์ กำลังประสานงาน กับสำนักพระราชวังให้ด้วย ส่วนอายุของวัตถุโบราณ จนท.กรมศิลป์ บอกว่า อายุไม่ต่ำกว่า 1 พัน ปี  นายชูศักดิ์ กล่าวต่อไปว่า เมื่อวานนี้ได้มีชาวไต้หวันที่ทราบข่าว เดินทางมาที่บ้าน เมื่อดูวัตถุโบราณทั้งหมด ได้เสนอเงินให้ 30 ล้านบาท เพื่อซื้อวัตถุโบราณ และที่ดินแปลงดังกล่าว  แต่ตนเองไม่ขาย เนื่องจากตั้งใจแน่วแน่ว่าจะทูลเกล้าถวายฯเท่านั้น  ในขณะที่ชาวไต้หวันบอกว่าที่ติดตามดูวัตถุโบราณมาทั่วประเทศไทย ที่มาพบที่ อ.หลังสวน จ.ชุมพร มีจำนวนมากที่สุด และสมบูรณ์สวยงามมากที่สุด คาดว่าจุดที่พบน่าจะเป็นหมู่บ้านผลิตเครื่องประดับเหล่านี้  แต่หินที่พบว่านำมาสร้างเครื่องประดับ เป็นหินที่พบในประเทศอินเดียเท่านั้น ไม่มีในประเทศไทย แต่กลับพบว่า มีจำนวนมากทั้งที่เจียระไนและไม่เจียระไน แสดงว่ามีการขนหินดังกล่าว มาจากประเทศอินเดียในสมัยโบราณ แล้วมาให้คนในหมู่บ้านดังกล่าว ซึ่งมีฝีมือในการทำเครื่องประดับสวยงาม ซึ่งสอดคล้องกับที่พื้นที่ดังกล่าว ตั้งอยู่ริมแม่น้ำหลังสวนที่มีเส้นทางมาจาก จ.ระนอง จึงคาดว่าแม่น้ำสายนี้เป็นเส้นทางเดินเรือจากทะเลอันดามันไปสู่ทะเลอ่าวไทยในสมัยโบราณ ซึ่งเป็นเส้นทางติดต่อระหว่างคนโบราณสองฝั่งทะเล ต่อมาเมื่อเกิดภัยธรรมชาติ หรือย้ายถิ่นฐาน วัตถุโบราณเหล่านั้นจึงถูกฝังลงใต้ดิน เมื่อดินสไลด์ลงจากภูเขาจึงได้พบวัตถุโบราณเหล่านี้ (เดลินิวส์ วันที่ 1 กันยายน 2555)  

“เรื่องหนักหัว” นิทรรศการเบาเบา กับนานาประดิษฐกรรมสวมกบาล

มิวเซียมสยาม จัดแสดงนิทรรศการชั่วคราว “เรื่องหนักหัว” นิทรรศการเบาเบา กับนานาประดิษฐกรรมสวมกบาล ในวันที่ 28 สิงหาคม - 9 ธันวาคม 2555 เวลา 10.00 – 18.00 น. (ปิดวันจันทร์)  นำเสนอเรื่องราวของ “หมวก” “เครื่องศิราภรณ์” และ “เครื่องประกอบศีรษะ” เพื่อถ่ายทอดเรื่องราวและความเป็นมาของผู้คนที่อาศัยในดินแดนสุวรรณภูมิ ซึ่งเครื่องประกอบศีรษะที่สวมใส่อยู่บนหัวได้เข้าไปมีบทบาทและความสำคัญในแง่มุมต่าง ๆ ตั้งแต่ยุคอดีตจนถึงปัจจุบัน  โดยนิทรรศการ “เรื่องหนักหัว” เป็นนิทรรศการรูปแบบใหม่ ที่จะแทรกเข้าไปอยู่ในนิทรรศการถาวร “เรียงความประเทศไทย” ในห้องต่าง ๆ ภายในมิวเซียมสยามอย่างกลมกลืน และสอดคล้องกับช่วงยุคสมัยนั้น ๆ อาทิ ห้องเปิดตำนานสุวรรณภูมิ จะนำเสนอเรื่องของหน้ากากที่ใช้ในพิธีกรรมขอฝนของคนยุคก่อนประวัติศาสตร์ผ่านหลักฐานภาพเขียนสีบนผนังถ้ำที่พบได้ในสถานที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศ และการนำเสนอเรื่องของ “ลอมพอก” หมวกของขุนนางในสมัยกรุงศรีอยุธยาที่รับอิทธิพลมาจากเปอร์เซีย ที่ถูกจัดแสดงใน ห้องสยามประเทศ นอกจากนี้ใน ห้องกำเนิดประเทศไทย ยังนำเสนอเรื่องราวของ “มาลานำไทย” ในยุค “รัฐนิยม” ของจอมพล ป.พิบูลสงคราม ที่มีการนำหมวกมาใช้ในการสร้างความศิวิไลซ์ให้กับสยามประเทศ พร้อมกันนี้ยังเชิญชวนทุกท่านมาร่วมกันสืบค้นที่มาของ “มงกุฎ” และ “ชฎา” และร่วมกันค้นหาคำตอบว่าสิ่งเหล่านี้เป็นสัญลักษณ์ของความเป็นไทยจริงหรือไม่ และเพราะอะไร “เลดี้กาก้า” ที่ใส่ชฎาเล่นคอนเสิร์ตในประเทศไทยจึงถูกตำหนิ แต่โขนและนางละครรำแก้บนกลับสวมใส่ได้อย่างเป็นเรื่องธรรมดา สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม โทร. 02-225-2777 ต่อ 407 หรือ www.facebook.com/museumsiamfan 

ไฟไหม้ที่เก็บของเก่า พิพิธภัณฑ์เครื่องไม้โบราณเกี่ยวกับชาวนา

เวลา 23.30 น. วันที่ 5 ก.ย. ผู้สื่อข่าว "ข่าวสด" รายงานว่า พ.ต.ท.จักรพันธ์  สุพรรณพงศ์ สารวัตรเวรสอบสวน สภ.ลำลูกกา ได้รับแจ้งเหตุเพลิงไหม้ศาลาวัดสุวรรณบำรุงราชวราราม ถนนพหลโยธิน-ลำลูกกา คลองเก้า ม.11 ต.บึงทองหลาง อ.ลำลูกกา จ.ปทุมธานี จึงไปที่เกิดเหตุพร้อมด้วย พ.ต.อ.สมยศ  รามกุล ผกก.พ.ต.ท.ไพบูลย์ สุขวัฒนานุกิจ รอง ผกก.(สส) สภ.ลำลูกกา และรถดับเพลิงเทศบาลตำบลลำลูกกา เทศบาลเมืองคูคต เทศบาลเมืองสนั่นรักษ์ เทศบาลตำบลธัญบุรี กว่า 10 คันเพื่อช่วยกันดับเพลิงที่เกิดเหตุวัดสุวรรณบำรุงราชวราราม ต้นเพลิงได้ลุกไหม้ขึ้นที่ศาลาการเปรียญสองชั้นเพลิงไหม้ขึ้นที่ชั้นสอง ซึ่งเป็นที่เก็บของเก่า พิพิธภัณฑ์เครื่องไม้โบราณเกี่ยวกับชาวนา ห้องสมุดหนังสือประวัติศาสตร์การเรียนรู้สิ่งต่างๆ และเก็บเก้าอี้ของวัดจึงเป็นเชื้อเพลิงอย่างดี เพลิงได้ลุกไหม้อย่างรวดเร็ว เจ้าหน้าที่ดับเพลิงจึงได้ระดมกำลังทำการฉีดน้ำสกัดเพลิงไม่ให้รามไปติดกุฏิพระหลังอื่นๆทำให้เพลิงไหม้ศาลาการเปรียญขนาดกว้าง20 เมตร ยาว 40 เมตร สูงสองชั้นๆบนเป็นไม้ชั้นล่างเป็นพื้นปูน เพลิงไหม้ชั้นบนเสียหายทั้งหมดรวมไปถึงของเก่าแก่ที่ทางเก็บเก็บสะสมไว้ในพิพิธภัณฑ์ ส่วนพระครูสุวรรณวรการเจ้าอาวาสวัดสุวรรณบำรุงราชวราราม ซึ่งเป็นรองเจ้าคณะอำเภอลำลูกกา เมื่อเห็นแสงเพลิงเผาผลาญศาลาการเปรียญเก็บของมีค่าเก่าแก่ของวัดไว้ให้รุ่นลูกหลานได้ศึกษาถึงกับเป็นลม ทำให้ชาวบ้านต้องเข้ามาช่วยปฐมพยาบาล ทางด้าน พ.ต.อ.สมยศ  รามกุล ผกก.สภ.ลำลูกกา ประสานเจ้าหน้าที่กองพิสูจน์ให้เข้ามาตรวจสอบ เนื่องจากศาลาการเปรียญแห่งนี้เคยถูกลอบวางเพลิงมาแล้วถึง 4 ครั้ง ทางวัดจึงได้ทำประตูเข้าออกปิดล็อกที่ศาลาแห่งนี้เป็นอย่างดี ซึ่งคาดว่าน่าจะถูกวางเพลิงอีก แต่ก็จะต้องให้ทางกองพิสูจน์หลักฐานตรวจสอบก่อนถึงจะระบุได้ว่าเพลิงไหม้ครั้งนี้เกิดจากสาเหตุอะไรเบื้องต้นค่าเสียหายกว่า20 ล้านบาท (ข่าวสดออนไลน์ วันที่ 6 กันยายน 2555)    

พิพิธภัณฑ์ภาพยนตร์ไทย เฟ้นหาทีมงานรุ่น2

หอภาพยนตร์(องค์การมหาชน) เชิญชวนน้องๆ วุฒิการศึกษา ตั้งแต่ม.6 ขึ้นไป ผู้ชื่นชอบภาพยนตร์ สนใจหนังไทย หลงใหลประวัติศาสตร์ มีความสามารถเล่าเรื่อง กล้าแสดงออก บุคลิกภาพดี มีมนุษยสัมพันธ์เป็นเลิศ สมัครเข้าร่วมเป็นทีมงานของ พิพิธภัณฑ์ภาพยนตร์ไทย  ใครสนใจ ส่งประวัติ+รูปถ่าย พร้อมเล่าเรื่องราวที่สนใจเกี่ยวกับภาพยนตร์มาที่ หอภาพยนตร์ (องค์การมหาชน)  94 หมู่ 3 ถ.พุทธมณฑลสาย 5 ศาลายา นครปฐม 73170 วงเล็บมุมซอง(สมัครทีมงาน พิพิธภัณฑ์ภาพยนตร์ไทย) หรือทางอีเมล Thaifilmmuseum@gmail.com เปิดรับสมัครตั้งแต่วันนี้ถึง 15 ตุลาคม ศกนี้ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม โทร 02-482-2013 ต่อ 109 ดาวน์โหลดใบสมัครได้ที่ http://www.fapot.org/images/stories/download_files/museumvolunteer.doc

ระดมทุนตั้งพิพิธภัณฑ์ท่านอังคารหารือสร้างพิพิธภัณฑ์อังคาร

กลุ่มศิลปินสืบสานผลงาน "อังคาร กัลยาณพงศ์" เริ่มจัดนิทรรศการภาพวาด-บทกวี ระดมทุนก่อตั้งพิพิธภัณฑ์แสดงผลงาน เตรียมหารือภายหลังจัดงานศพเสร็จสิ้น มี ส.ศิวรักษ์ เป็นหัวเรือ หวังเผยแพร่งานศิลปวัฒนธรรมให้คนรุ่นหลังเรียนรู้ศึกษาความเป็นจิตรกรและกวีเอก ผู้สื่อข่าวรายงานว่าหลังจากที่นายอังคาร กัลยาณพงศ์ ศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์ เสียชีวิตด้วยโรคชรา เมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 2555 ในวัย 86 ปี 6 เดือน โดยมีพิธีสวดอภิธรรม ณ วัดตรีทศเทพ ศาลา 2 จนถึงวันที่ 31 สิงหาคมนี้ หลังจากนั้นจะเคลื่อนศพไปยังวัดทองนพคุณเพื่อรอพิธีพระราชทานเพลิงศพต่อไป ทั้งนี้ ทางเจ้าภาพขออนุญาตงดพวงหรีด โดยเปลี่ยนเป็นเงินบริจาคเข้ากองทุนอังคาร กัลยาณพงศ์ และการจัดตั้งพิพิธภัณฑ์ นายหงษ์จร เสน่ห์งามเจริญ ศิลปินอิสระผู้ใกล้ชิดนายอังคาร กล่าวถึงแนวคิดการจัดตั้งพิพิธ ภัณฑ์ว่า ขณะนี้อยู่ในระหว่างดำเนินการหารือกัน โดยมีนายสุลักษณ์ ศิวรักษ์ หรือ ส.ศิวรักษ์ เป็นผู้ริเริ่มและมอบหน้าที่ให้ตนประสานงานกับทางศิลปินต่างๆ รวมทั้งลูกศิษย์ของท่านอังคาร โดยจะหารือกันหลังจากเสร็จสิ้นพิธีสวดอภิธรรม "ขณะนี้กำลังหารือเรื่องจัดกิจกรรมนิทรรศการแสดงผลงานของท่านอังคาร ทั้งภาพวาดลายเส้นและบทกวีนิพนธ์ต่างๆ เพื่อระดมทุนก้อนแรกในการจัดตั้งพิพิธภัณฑ์ดังกล่าว" นายหงษ์จรกล่าวเพิ่มเติมว่า การจัดสร้างพิพิธภัณฑ์อังคาร กัลยาณพงศ์ เพื่ออนุรักษ์ศิลปะและวัฒนธรรมของไทยให้สืบต่อไป โดยผลงานของท่านอังคารนั้นบ่งบอกได้ถึงความเป็นไทยอย่างยิ่ง ไม่ว่าจะเป็นภาพวาดลายเส้น ลายไทยที่เป็นเอกลักษณ์ของท่าน บทกวีต่างๆ ล้วนบ่งบอกได้ถึงความเป็นคนไทย และยึดมั่นในการสร้างศิลปะเพื่อจรรโลงความเป็นคนไทยและวัฒนธรรมไทยอย่างยิ่ง อีกทั้งยังเป็นสถานที่ที่ให้ลูกหลานชาวไทยได้เรียนรู้ซึ่งศิลปวัฒนธรรมไทยสืบต่อไปอีกด้วย "ส่วนเรื่องการจัดตั้งกองทุนจะมีวัตถุประสงค์เพื่ออะไรบ้างนั้นก็ขึ้นอยู่กับทางคุณอุ่นเรือน ภรรยาท่านอังคาร และลูกหลาน ซึ่งจะต้องรอ ให้พิธีศพเสร็จสิ้นก่อนแล้วจะแจ้งให้ทราบอีก ครั้ง" อังคาร กัลยาณพงศ์ ถือเป็นศิลปินที่ได้รับการยกย่องในเรื่องภาษาและความเป็นไทยทั้งในฐานะจิตรกรและกวี อีกทั้งยังเป็นกวีที่มีความคิดอิสระ ไม่มีรูปแบบที่ตายตัว นับเป็นกวีผู้บุกเบิกกวีนิพนธ์ยุคใหม่ นอกจากนี้ขึ้นชื่อว่าเป็นศิลปินนักต่อสู้เพื่อความถูกต้องอีกด้วย (ไทยโพสต์ วันที่ 28 สิงหาคม 2555)