กระบวนการมีส่วนร่วมของท้องถิ่นต่อการสร้างองค์ความรู้แก่โบราณวัตถุ Museum Visit You
19 กุมภาพันธ์ 2564
กระบวนการมีส่วนร่วมของท้องถิ่นต่อการสร้างองค์ความรู้แก่โบราณวัตถุ
Museum Visit You[1]
เบญจวรรณ พลประเสริฐ[2]
บทคัดย่อ
บทความนี้ต้องการนำเสนอข้อค้นพบจากการทำกิจกรรมนอกอาคารจัดแสดงพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ หริภุญไชย จังหวัดลำพูน โดยการนำเรื่องราวองค์ความรู้ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ
ตลอดจนโบราณวัตถุ ศิลปวัตถุของชาติ เดินทางไปหาชุมชน เพื่อสร้างบริบทองค์ความรู้ใหม่ๆให้แก่โบราณวัตถุ ในแง่มุมที่ชุมชนในฐานะคนใน ซึ่งเป็นเจ้าของพื้นที่และเจ้าของข้อมูลได้ช่วยกันบอกเล่า
ผ่านกระบวนการเรียนรู้ร่วมกันกับชุมชนโดยการออกแบบการจัดแสดงผ่านการแลกเปลี่ยน อาทิ
เล่าเรื่องด้วยแผนที่ชุมชน สิ่งของเครื่องใช้
ภาพถ่ายหรือแม้กระทั่งการใช้โบราณวัตถุเอง
เพื่อให้คนเข้าถึงโบราณวัตถุมากขึ้น
ผลการศึกษาพบว่านอกจากจะได้บริบทองค์ความรู้ใหม่ๆให้แก่โบราณวัตถุแล้ว
ยังก่อให้เกิดประวัติศาสตร์และความทรงจำร่วมระหว่างโบราณวัตถุของชาติและชุมชน อีกทั้งได้สร้างคุณค่าทางใจ และความรับรู้ให้คนท้องถิ่นภาคภูมิใจและรู้สึกสายสัมพันธ์ระหว่างคนและสิ่งของที่ยังคงมีอยู่ แม้ว่ามรดกวัฒนธรรมนั้นจะถูกดูแลโดยหน่วยงานภาครัฐแล้วก็ตาม
การเชื่อมโยงเรื่องราวของชุมชนผ่านการแลกเปลี่ยน เรื่องเล่า โบราณวัตถุนี้ สามารถนำไปปรับใช้กับเนื้อหาในส่วนจัดแสดงพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติได้ อันเป็นแนวคิดที่สามารถนำไปสู่การฟื้นฟู ถ่ายทอดองค์ความรู้ของท้องถิ่นสู่การเป็นชาติได้
การจัดกิจกรรมนอกพื้นที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ
นี้ถือเป็นแนวทางหนึ่งของการนำเสนอพิพิธภัณฑ์[3]
ออกสู่สายตาชุมชน นอกจากข้อดีที่กล่าวในข้างต้นแล้วยังจะเป็นการกระตุ้นให้จำนวนผู้ประสงค์เข้ามาเยี่ยมชม หรือใช้บริการพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติมีมากขึ้นด้วยแล้ว จุดประสงค์หลักของการดำเนินโครงการที่ทางผู้จัดหวังไว้ คือการเสริมสร้างความรู้และแนวร่วมในการปกป้องคุ้มครองศิลปโบราณวัตถุของชาติ
ที่อยู่ภายในท้องถิ่นเอง ให้คนในท้องถิ่น ชุมชนได้รู้ถึงคุณค่าทางวัฒนธรรมและร่วมกันอนุรักษ์ให้คงอยู่สืบไป จึงจะถือว่า พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติได้ทำหน้าที่ในบทบาทของตนเองอย่างสมบูรณ์
คำค้น: พิพิธภัณฑ์
ชุมชน โบราณวัตถุศิลปวัตถุ
1. พิพิธภัณฑ์ภูมิหลังกับการพัฒนา
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติหมายถึงพิพิธภัณฑ์ที่ประกาศจัดตั้งอยู่ในราชกิจจานุเบกษา
รัฐบาลกลางจัดสรรและสนับสนุนงบประมาณ บริหารจัดการโดยกรมศิลปากร มีหน้าที่รวบรวม
สงวนรักษาโบราณวัตถุศิลปวัตถุที่เป็นทรัพย์แผ่นดิน ตามพระราชบัญญัติโบราณสถาน
โบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ นำผลการศึกษาวิจัยและเผยแพร่ให้คนไทยได้มีองค์ความรู้เกี่ยวกับความเป็นคนไทยในทุกแง่มุม
จึงต้องมีศักยภาพในการเป็นสถาบันเพื่อการอนุรักษ์สมบัติวัฒนธรรมของชาติ
ที่มีระบบการบริหารจัดการที่เป็นมาตรฐานสากลสำหรับพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น
เป็นสถานที่จัดตั้งขึ้นและบริหารจัดการโดยองค์การบริหารส่วนท้องถิ่น
(เมือง/จังหวัดเทศบาล/ตำบล/ฯลฯ) เพื่อการประชาสัมพันธ์เรื่องราวของท้องถิ่น
และ/หรือ เรื่องราวที่ท้องถิ่นนั้น ๆ สนใจ และยังเป็นสถานที่จัดกิจการด้านต่าง ๆ
ของท้องถิ่น เช่น พิพิธภัณฑ์เมือง เป็นต้น
ปัจจุบันเมื่อกิจการพิพิธภัณฑ์โดยรัฐบาลกลางได้วางรากฐานในการอนุรักษ์สมบัติวัฒนธรรมของชาติได้เข้มแข็งขึ้น
ความสนใจและแนวคิดในการอนุรักษ์สะสมสืบสาน และสืบทอดในภูมิปัญญาไทย จึงขยายไปสู่คนไทยทั่วไปมากขึ้น
จึงทำให้เกิดมีการจัดตั้งพิพิธภัณฑ์ลักษณะนี้มากขึ้น
โดยคนหรือหน่วยงานในท้องถิ่นนั่นเอง (สมลักษณ์, 2550)
ปัจจุบันพิพิธภัณฑ์กลายเป็นองค์กรที่แสดงถึงแนวความคิดอันทันสมัยของคนรุ่นเก่าและใหม่ที่ต้องการพื้นที่แสดงออกทางวัฒนธรรมและแนวคิดในรูปแบบต่างๆ
ทำหน้าที่สื่อสารเสนอเรื่องราวทางวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ ศิลปะ
ตลอดจนหลากหลายแง่มุมในการใช้ชีวิตของมนุษย์ ที่ผู้คนหลากวัยหลายอาชีพต่างต้องการเข้าใช้บริการและคาดหวังในสิ่งที่ได้รับกลับมา
ประเทศไทยมีพิพิธภัณฑ์รวมแล้ว 1,539 แห่ง[4]
ในจำนวนนี้เป็นพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติเพียง
42 แห่ง กระจายไปทั่วประเทศไทยสิ่งประดิษฐ์ทางวัฒนธรรมในแต่ยุคแต่ละสมัยในปัจจุบันจะถูกจัดเก็บสะสมและจัดแสดงไว้ในพิพิธภัณฑ์มีการจัดการข้อมูลไว้อย่างดีด้วยระบบพิพิธภัณฑ์ที่ได้มาตรฐานในแต่ละภูมิภาค สะท้อนประวัติศาสตร์ของแต่ละพื้นที่
ซึ่งโดยรวมคือประวัติศาสตร์ที่มีความสัมพันธ์กันทั้งเชิงพื้นที่และเวลา
“ลำพูนพิพิธภัณฑสถาน”
หรือ“พิพิธภัณฑสถานมณฑลพายัพ” นับเป็นพิพิธภัณฑสถานส่วนภูมิภาคแห่งแรกของภาคเหนือ
ก่อตั้งขึ้นเมื่อ พ.ศ.2470 โดยพระยาราชนกูลวิบูลย์ภักดี (อวบ เปาโรหิตย์) สมุหเทศาภิบาลมณฑลพายัพเป็นผู้ริเริ่มขึ้นตามพระราโชบายการสร้างความเป็นรัฐชาตินิยม โดยมีวัตถุประสงค์จะคุ้มครองรักษาสมบัติวัฒนธรรมของชาติในมณฑลพายัพไม่ให้สูญหาย
ในนครลำพูนสมัยนั้นเป็นแหล่งที่ค้นพบศิลปโบราณวัตถุมากกว่าที่อื่นในภาคเหนือ
ภายหลังการเปลี่ยนแปลง
ในปี พ.ศ.2475พิพิธภัณฑสถานยังคงอยู่ในความดูแลของวัดพระธาตุหริภุญชัย
ร่วมกับเจ้าหน้าที่ศาลากลางจังหวัดเรื่อยมา
จนรัฐบาลได้จัดตั้งกรมศิลปากรขึ้นใหม่“ลำพูนพิพิธภัณฑสถาน” จึงถูกประกาศเป็น “พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ หริภุญไชย” อยู่ในความดูแลของกรมศิลปากร
เมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ.2504
เป็นต้นมา
ต่อมากรมศิลปากรมีโครงการขยายกิจการพิพิธภัณฑ์ หาสถานที่และงบประมาณจะจัดสร้างอาคารพิพิธภัณฑ์ถาวรทันสมัยขึ้นใหม่
พระธรรมโมลี เจ้าอาวาสวัดพระธาตุหริภุญชัยขณะนั้น
จึงมอบศิลปโบราณวัตถุในพิพิธภัณฑสถานหลังเดิมจำนวน 2,013 ชิ้น ให้กรมศิลปากร
เพื่อนำออกมาจัดแสดง ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติที่จะสร้างขึ้นใหม่ เมื่อวันที่ 20 มิถุนายน พ.ศ.2511 แต่ก็ยังไม่มีสถานที่เหมาะสมจนกระทั่งกรมศิลปากรได้รับมอบกรรมสิทธิ์ในที่ดินราชพัสดุ
เดิมเป็นที่ตั้งเรือนจำจังหวัดลำพูน ที่ถนนอินทยงยศ ตรงข้ามวัดพระธาตุหริภุญชัย จำนวน 2 ไร่ 3 งาน 55 ตารางวา
ในปี พ.ศ.2515 จึงได้ทำการก่อสร้างอาคารพิพิธภัณฑ์หลังใหม่ขึ้น
แล้วเสร็จในปี พ.ศ.2517
จากนั้นได้เคลื่อนย้ายโบราณวัตถุจากอาคารหลังเก่าในวัดพระธาตุหริภุญชัยมาจัดแสดงร่วมกับโบราณวัตถุที่รวบรวมเพิ่มเติมจากที่ประชาชนบริจาค
และโบราณวัตถุที่ย้ายมาจากพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ
พระนครส่วนพิพิธภัณฑสถานวัดพระธาตุหริภุญชัยนั้น
วัดยังได้พัฒนาปรับปรุงและเปิดบริการเช่นเดิม
เมื่อการดำเนินการจัดตั้งและจัดแสดงโบราณวัตถุในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ หริภุญไชย
เรียบร้อย กรมศิลปากรได้เปิดให้ประชาชนเข้าชมเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ.2522 เป็นต้นมา
2. พื้นที่การจัดแสดงพื้นที่ความหมายของสังคม
“พิพิธภัณฑ์” ในการรับรู้ของกลุ่มคนลำพูนเมื่อ 80
กว่าปีที่แล้ว เป็นเรื่องของการยกระดับจากโรง ศาลาหรืออาคารที่ใช้เก็บโบราณวัตถุ
ศิลปวัตถุ ที่สุ่มๆรวมกันอยู่นำมาจัดเรียงจัดแสดง ไว้เพื่อเป็นที่ศึกษาดูของเก่า ของแปลก ในท้องถิ่นนั้นๆ แก่ผู้คนต่างถิ่น และคนชั้นสูง อันแสดงถึงความศิวิไลซ์แสดงความเป็นอารยะของเมืองเก่าที่มีมากว่า 1,000 ปี ดังนั้นจึงมิใช่เรื่องแปลกที่พิพิธภัณฑสถานมณฑลพายัพ
จะตั้งอยู่ภายในบริเวณวัดพระธาตุหริภุญชัยวรมหาวิหาร เนื่องมาด้วยเป็นวัดที่มีประวัติความเป็นมายาวนานและเป็นศูนย์กลางของพุทธศาสนามาแต่อดีตจนปัจจุบัน จึงกลายเป็นแหล่งที่รวบรวมของมีค่า โบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ มากมายที่เป็นของวัดพระธาตุหริภุญชัยเองหรือกระทั่งเป็นที่เก็บโบราณวัตถุเก่าแก่จากวัดสำคัญและวัดร้างมากมาย
ทั่วทั้งจังหวัดลำพูน
การรวบรวมโบราณวัตถุ จากทั่วมณฑลพายัพ เริ่มโดยการรวบรวมศิลาจารึกซึ่งกล่าวได้ว่าเป็นหลักฐานชั้นต้นที่แสดงถึงความเป็นอารยะของผู้คนแถบนี้ ศิลาจารึกที่พบ ณ เมืองลำพูน คือ ศิลาจารึกมอญโบราณ
ขนาดใหญ่จำนวน 8 หลักซึ่งมีขนาด ความสูงมากกว่า 120 เซนติเมตร ความกว้างเกือบ 100 เซนติเมตร และความหนาราว 30 เซนติเมตร
มีอายุในราวพุทธศตวรรษที่ 15[5] แต่ละหลักจารึกด้วยอักษรมอญโบราณ บางทีขึ้นต้นจารึกเป็นภาษาบาลีแล้วแปลงเป็นภาษามอญ หรือมิฉะนั้นจารึกทั้งภาษามอญและภาษาบาลีรวมกันไปทำนองเดียวกับลักษณะภาษาไทย ซึ่งมักจะมีภาษาบาลีปะปนอยู่ แสดงให้เห็นว่า
กลุ่มชนโบราณที่จังหวัดลำพูนในราวพุทธศตวรรษที่ 15 นั้น นับถือพระพุทธศาสนาที่ใช้ภาษาบาลีเป็นหลัก และใช้ภาษามอญอีกภาษาหนึ่งเป็นภาษาติดต่อในกลุ่มตนด้วยเช่นกัน นอกจากศิลาจารึกมอญโบราณจำนวน 8 หลักที่พบ ณ จังหวัดลำพูนแล้ว ลำพูนพิพิธภัณฑสถาน ยังได้รวบรวมศิลาจารึกจากจังหวัดเชียงใหม่
เชียงราย และพะเยา ไว้อีกด้วย รวมทั้งหมดมีจำนวนถึง 39 หลักในขณะนั้น แบ่งออกเป็นศิลาจารึกจากจังหวัดเชียงใหม่ 2 หลัก จังหวัดเชียงรายและพะเยา 13 หลัก และจังหวัดลำพูนมีมากถึง 24 หลัก
นอกจากนี้จากข้อมูลประกาศราชกิจจานุเบกษา เรื่องมีผู้ให้ของแก่พิพิธภัณฑสถานมณฑลพายัพ
ในช่วงปี พ.ศ.2470-2475
โดยผู้มอบส่วนใหญ่มาจากส่วนราชการทั่วมณฑลพายัพถึง 90% อาทิ ศาลจังหวัดลำพูน ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ผู้ว่าราชการจังหวัดแม่ฮ่องสอน สัสดีลำพูน ปลัดอำเภอจอมทอง
รวมทั้งจากเจ้าผู้ครองนครลำพูน เจ้าจักรคำขจรศักดิ์ ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการพิพิธภัณฑ์ร่วมกับสมุหเทศาภิบาลมณฑลพายัพ เป็นต้น รองลงมาคือพระสงฆ์ และส่วนราษฎรเป็นส่วนน้อยตามลำดับ โบราณวัตถุที่มอบส่วนใหญ่แล้วเป็นเครื่องโลหะ
เครื่องอาวุธประเภท ปืนโบราณ ปืนแก๊ป ปืนดาบศิลาแฝด ในส่วนของราษฎรบริจาคเครื่องปั้นดินเผาที่ขุดพบในพื้นที่ดินทำมาหากินของตนหรือ “อัฐทองแดง ศกต่างๆ”การรับบริจาคโบราณวัตถุดังพบว่า ได้รับมอบมาอย่างหลากหลายประเภท เพื่อนำมาจัดแสดงตามรูปแบบที่ “กรมมิวเซียม”
ได้กำหนดการจัดมิวเซียม ว่าควรจัดเป็น 9 แผนก[6] คือ แผนกของโบราณ
แผนกของประเทศ แผนกอาวุธ
แผนกฝีมือช่าง แผนกกสิกรรม
แผนกสินค้า แผนกสัตว์ แผนกพฤกษา และแผนกแร่ธาตุ “ทั้ง 9 แผนกนี้ เป็นรูปแบบการจัดประจำมิวเซียม ซึ่งมีผู้ปรารถนาจะดู ฦๅศึกษา และจะพิจารณาได้เป็นนิจ”แต่จากข้อมูลภาพถ่ายเก่าและรายละเอียดโบราณวัตถุ
ศิลปวัตถุ ที่ได้รับมอบจัดแสดง ส่วนใหญ่เป็น ศาสนวัตถุ
อาทิ พระพุทธรูปที่ได้รับจากวัดสำคัญ ทำให้การแบ่งส่วนจัดแสดงตามที่กรมมิวเซียมกำหนดได้ไม่ครบ ปรากฎให้เห็นเฉพาะในส่วนของศาสนวัตถุ พระพุทธรูป และแผนกศิลาซึ่งได้รับบริจาคจากอำเภอพะเยา จังหวัดเชียงราย ในขณะนั้นเป็นจำนวนมาก ประกอบกับศิลาจารึกอีกจำนวนหนึ่งด้วย
การจัดแสดงใน พ.ศ.2470
โดยเจ้าหลวงจักรคำขจรศักดิ์ เป็น “คิวเรเตอร์” นั้น
ลำพูนพิพิธภัณฑสถานกลายเป็นพื้นที่ที่สร้างความร่วมมือ
ปะทะประสานกันทางความคิดในระดับชุมชนได้เป็นอย่างดี เพราะพบว่าใน พ.ศ.2471
ระยะเวลา 1 ปี ภายหลังการเปิดลำพูนพิพิธภัณฑสถาน
มีการบริจาควัตถุจัดแสดงอย่างมากมาย จากทั่วมณฑลพายัพ
เข้าใจว่าในขณะนั้นแม้ว่าทางกรมมิวเซียมได้กำหนดส่วนจัดแสดงให้พิพิธภัณฑ์หัวเมืองปฏิบัติตาม
ดังวิธีคิดของนักวิชาการในปัจจุบันที่การจัดนิทรรศการต้องเริ่มด้วย theme หรือ concept (แนวคิด)
แต่การจัดแสดงพิพิธภัณฑ์ส่วนใหญ่ก็มักจะเริ่มด้วยวัตถุ วัดมีของอะไรบ้าง
มีของบริจาคอะไรบ้าง วัตถุประสงค์สำคัญที่ชาวบ้านชุมชนนำของมาร่วมบริจาคเพื่อทำบุญ
ถวายทาน เพื่อสืบต่อพระพุทธศาสนา
ชาวลำพูนต้องการเก็บอะไรไว้เป็นความทรงจำของเมืองลำพูนบ้าง มิใช่แค่เพียงแสดงความเป็นเมืองที่มีอารยะ ที่เป็นส่วนหนึ่งของความเป็นรัฐชาติไทยที่รุ่งเรืองตามแนวคิดของสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพเท่านั้น
ดังรายการของบริจาคในส่วนของเจ้าผู้ครองนครลำพูนและลูกหลาน อาทิ ปืน
เครื่องทอผ้า ดาบด้ามเงิน สัตภัณฑ์และม้าเงินจำลองถวายเป็นพุทธบูชาองค์พระธาตุหริภุญชัย เครื่องดนตรีมโหรี ซึ่งล้วนแสดงถึงความสุขความรุ่งเรือง
“ศิวิไลซ์”
ครั้งแต่ยุคเจ้าหลวงปกครองทั้งสิ้น
หรือแม้กระทั่งของบริจาคจากเรือนจำลำพูนที่แสดงความมีอำนาจของเจ้าผู้ครองนครลำพูนในอดีต คือ หอกรูปใบพายสำหรับประหารชีวิตนักโทษและฆ้องสำหรับตีนำหน้าและตามหลังนักโทษเวลาเอาไปประหารชีวิต อันถือว่าลำพูนได้เลือกแล้วในสิ่งที่ต้องการจดจำและนำเสนออดีตลำพูนให้เป็นที่รับรู้แก่คนทั่วไปอย่างไร
โดยไม่จำเป็นต้องจำกัดแค่เรื่องราวทางประวัติศาสตร์ที่เป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์ชาติไทย แต่ต้องมีมิติทางสังคม วัฒนธรรมที่ถูกกดทับได้มีพื้นที่บ้าง
เมื่อย้ายโบราณวัตถุมาจัดแสดง ณ
อาคารใหม่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ลำพูน แล้วในปี พ.ศ.2521
ปีก่อนการเปิดพิพิธภัณฑ์อย่างเป็นทางการโดยได้กราบบังคมทูลเชิญสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้ากรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ
สยามบรมราชกุมารี นั้นนับว่าเป็นปีที่ได้รับมอบวัตถุจัดแสดงมากที่สุด
มีประชาชนชาวลำพูนนำโบราณวัตถุมาบริจาค อีกทั้งนำมาจากพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ
พระนคร ด้วยส่วนหนึ่ง เพื่อนำเสนอความเป็นอาณาจักรหริภุญไชยที่ยิ่งใหญ่
ผ่านศิลปะหริภุญไชยที่มีเอกลักษณ์ และในปีเดียวกันนี้เองทายาทเจ้าจักรคำขจรศักดิ์
เจ้าผู้ครองนครลำพูนองค์สุดท้ายได้มอบเครื่องทรงของเจ้าหลวงองค์สุดท้ายอันประกอบด้วย
เสื้อครุย ผ้าแถบรัดเอว หมวก พร้อมทั้งภาพถ่ายเจ้าจักรคำขจรศักดิ์
ในชุดมหาดเล็กเต็มยศแก่พิพิธภัณฑ์ หรืออาจเป็นการเพิ่มพื้นที่เจ้าหลวงและทายาทราชสกุลณ ลำพูน
ให้ดำรงสถานะความเป็น “เจ้า” อยู่ในความทรงจำของชาวลำพูนสืบต่อไปแม้ว่าพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว
รัชกาลที่ 7 ได้ดำเนินนโยบายยกเลิกตำแหน่งเจ้าหลวงไปเมื่อ พ.ศ.2469
แล้วก็ตาม
การนำเสนอโบราณวัตถุจัดแสดงพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติแต่ละแห่งมีพื้นฐานการนำเสนองานทางประวัติศาสตร์
ศิลปะและโบราณคดีเป็นสำคัญ
แม้ในปัจจุบันจะยังเน้นประวัติศาสตร์โบราณคดีเป็นหลัก แต่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติหลายแห่งก็เริ่มมีส่วนจัดแสดงอื่นๆ เพิ่มขึ้น อาทิ ชาติพันธุ์วิทยา ศิลปะสมัยใหม่ ธรณีวิทยา เพื่อสนองต่อการปรับแนวทางจัดแสดงพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติให้กลายเป็นพิพิธภัณฑ์เมือง
เพื่อสร้างการรับรู้เรื่องราวประวัติศาสตร์ของเมืองต่อคนในพื้นที่ได้รอบด้านต่อไป
3. พิพิธภัณฑ์และการส่งต่อองค์ความรู้ในพิพิธภัณฑ์สู่ชุมชนจากอดีตสู่ปัจจุบัน
การสนใจใคร่รู้เรื่องราวในอดีตตนของคนลำพูน
หากนำมาเทียบกับจำนวนการเข้ามาชมพิพิธภัณฑ์นั้น คงจะเป็นเรื่องยาก
ในช่วงการก่อตั้งพิพิธภัณฑ์ในยุคแรกๆ (พ.ศ.2470-2500) ภายในเมืองลำพูนไม่ได้มีผู้คนอาศัยอยู่มาก
มีงานประเพณีประจำปีสักครั้งถึงได้เข้าเมืองสักครั้ง ที่สำคัญบริเวณวัดพระธาตุหริภุญชัยครั้งนั้นก็น่ากลัว มีแนวต้นตาลอยู่มากมายดูน่ากลัวไม่กล้าเดินผ่าน ไหนจะรูปยักษ์กุมภัณฑ์ที่เฝ้าองค์พระธาตุก็ตัวใหญ่ดูน่ากลัว
ไม่ได้มีอาคาร พระเณร อยู่กันมากเช่นปัจจุบัน
[7]
ในยุคแรกภายหลังจากการเปิดให้เข้าชมของพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ
หริภุญไชย ในปี พ.ศ.2522 แล้ว ในช่วง 20 ปีต่อจากนั้น (พ.ศ.2522-2540)
จัดได้ว่าเป็นยุคของการหาของ สร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างชุมชนและพิพิธภัณฑ์
เกิดกิจกรรมร่วมจัดนิทรรศการกับจังหวัดลำพูน
ภาคส่วนราชการด้วยกันเองในงานเทศกาลประจำปีของจังหวัด อาทิ งานฤดูหนาว เทศกาลลำไย เป็นต้น และในยุคนี้เองจากผลการงานวิจัยของอาจารย์บุบผา จิระพงษ์[8] กล่าวว่าเกิดการจัดตั้งพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นมากที่สุดในจังหวัดเชียงใหม่ซึ่งจังหวัดลำพูนเองก็ได้รับกระแสรื้อฟื้นท้องถิ่นมาด้วยเช่นกัน
ถัดมาในช่วง พ.ศ.2541-46 ซึ่งมีการประกาศใช้พระราชบัญญัติกำหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
พ.ศ.2542 ทำให้เกิดการบูรณาการระหว่างหน่วยงานภาครัฐ
เอกชน ท้องถิ่น มากยิ่งขึ้น
พยายามลบภาพพิพิธภัณฑ์ที่เป็นเหมือนสถานที่ศักดิ์สิทธิ์
เอาไว้เพียงแค่รับรองชนชั้นสูง อาคันตุกะหรือราชวงศ์ เข้าเยี่ยมชมเท่านั้น ในยุค
พ.ศ.2547-2558 พิพิธภัณฑ์กำหนดบทบาทตนด้วยการเป็น “เวทีของการสนทนาถกเถียง”
อันถือเป็นอีกช่องทางหนึ่งของการส่งต่อ ถ่ายทอดความรู้
แต่พิพิธภัณฑ์เองก็มิได้วางตนว่าเป็นผู้นำองค์ความรู้ หรือประกาศองค์ความรู้
ความจริงที่ได้รับการคัดสรรแล้วจากกลุ่มผู้เชียวชาญ จากกรมศิลปากรเพียงหน่วยงานเดียว
ว่าดีที่สุดหรือสำคัญที่สุดเพื่อเผยแพร่แก่สาธารณชน แต่ได้วางตัวให้เป็นเวทีของคนหลากหลายกลุ่ม หลากความคิด หลายความทรงจำ สามารถแลกเปลี่ยนเสนอความเป็นตัวตนของท้องถิ่นได้ ซึ่งจักทำให้บทบาทพิพิธภัณฑ์มิได้รับใช้สถาบันชาติหรือประวัติศาสตร์กระแสหลักแต่เพียงอย่างเดียวแต่ยังเป็นพื้นที่ให้ผู้มีความรู้ในท้องถิ่น
ผู้มิใช่เจ้าของวัฒนธรรมหลักของประเทศได้รับรู้แลกเปลี่ยน ดังความหมายของ “พิพิธภัณฑ์” อันหมายถึง “สิ่งของนานาชนิด”
ย่อมนำมาซึ่งองค์ความรู้ที่หลากหลายนั่นเอง
จากลำพูนพิพิธภัณฑสถาน สู่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ
หริภุญไชย ในปัจจุบันสร้างความรู้ ภูมิใจ
ในประวัติศาสตร์เมืองลำพูนมาได้อย่างมั่นคงในรูปแบบการนำเสนอที่เชิดชูความงดงามของโบราณวัตถุ
ตามพัฒนาการของรูปแบบประวัติศาสตร์ศิลปะเป็นหลัก โดยข้อมูลเหล่านี้ถูกส่งต่อความรู้สื่อสารกับผู้เข้าชมอยู่3
ช่องทางหลัก
(1) ป้ายโบราณวัตถุ ข้อมูล อายุ สมัย ลักษณะ แหล่งที่มา เป็นข้อมูลอธิบายเพียงสั้นๆ
(2) เอกสารแผ่นพับ
เพื่อให้ข้อมูลพื้นฐาน
ข้อมูลการวางแผนการเดินทางของผู้ชมที่ต้องการเข้าชมเป็นข้อมูลทั่วไปเกี่ยวกับพิพิธภัณฑ์เช่นที่ตั้งเวลาเปิดปิดหัวข้อส่วนจัดแสดงและตารางเวลากิจกรรมต่างๆวัตถุประสงค์เพื่อสร้างแรงจูงใจให้นักท่องเที่ยวเข้ามาเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์ถือเป็นเครื่องมือทางด้านการตลาดเป็นส่วนใหญ่
(3) ช่องทางติดต่อทางโซเชี่ยลเนตเวิร์ค
หรือเว็บไซต์ของพิพิธภัณฑ์ที่สร้างขึ้นเพื่อนำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับคอลเลคชั่นที่สะสมในพิพิธภัณฑ์โดยใช้ฐานข้อมูลเพื่อจัดการเก็บข้อมูลและนำเสนอด้วยแนวทางเดิมของวัตถุจริง
ปัจจุบันการสื่อสารเพื่อให้ผู้คนเข้าชมพิพิธภัณฑ์
จากหลากหลายช่องทาง หลายกิจกรรมมีความหลากหลายมากยิ่งขึ้น ถือเป็นหน้าที่ที่สำคัญสำหรับผู้ดำเนินงานด้านพิพิธภัณฑ์
จากเดิมสังเกตได้ว่าการสื่อสารระหว่างผู้เข้าชมพิพิธภัณฑ์กับวัตถุจัดแสดง
ที่มีเพียงข้อมูลประจักษ์ ลักษณะ ขนาด ที่มา ของวัตถุนั้นๆ
เป็นการจำกัดกรอบความคิดการรับรู้ของผู้เข้าชมเป็นอย่างยิ่ง
การนำเสนอมักตั้งอยู่บนสมมุติฐานที่มาจากประวัติศาสตร์ชาติไทยกระแสหลักที่ลดทอนบทบาทของท้องถิ่นลงไป
อีกทั้งขึ้นอยู่กับวัตถุจัดแสดงหรือทรัพยากรของผู้จัด
เลยต้องเน้นสิ่งที่มีให้โดดเด่น ลดทอนความสำคัญและความจริงบางอย่างไป พิพิธภัณฑ์จึงควรมีการนำเสนอโบราณวัตถุศิลปวัตถุ อันมีเรื่องราวเกี่ยวกับท้องถิ่นเพื่อเกิดการแลกเปลี่ยนและสร้างความเข้าใจท้องถิ่นมากขึ้น
4. พื้นที่พิพิธภัณฑ์
= พื้นที่ของสังคม
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ หริภุญไชย
ได้มีการปรับปรุงส่วนจัดแสดงในอาคารจัดแสดงเดิมมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี พ.ศ.2559
แล้วเสร็จในเดือนเมษายน2562 (ส่วนอาคารจัดแสดงเดิมพื้นที่ราว 400 ตารางเมตร) การจัดแสดงนอกจากจะเป็นการนำเสนอองค์ความรู้ผ่านโบราณวัตถุ ศิลปวัตถุแล้ว การแสวงหาความรู้จากแหล่งความรู้อื่นๆ
ตลอดจนการสร้างเครือข่ายกับชุมชนโดยรอบ ยังเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างประวัติศาสตร์ความทรงจำระหว่างพิพิธภัณฑ์กับชุมชนก่อเกิดประวัติศาสตร์ของพิพิธภัณฑ์ที่เป็นส่วนหนึ่งกับชุมชนอีกด้วย
การร่วมจัดกิจกรรมด้านต่างๆ ที่สามารถนำมาซึ่งองค์ความรู้ โดยเฉพาะการบูรณาการด้านศิลปะและวัฒนธรรมรวมถึงภูมิปัญญาท้องถิ่นให้เข้ากับการจัดการเรียนการสอนและบริบทของสังคมในปัจจุบันจึงนับว่าเป็นการสร้างองค์ความรู้ใหม่ที่มาจากการบูรณาการระหว่างภาครัฐกับชุมชนอย่างแท้จริง
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ หริภุญไชย จึงต้องการจัดกิจกรรมเพื่อให้ชุมชนได้เข้ามามีส่วนร่วมก่อนที่ส่วนจัดแสดงที่ปรับปรุงใหม่จะแล้วเสร็จในเดือนเมษายน ทั้งนี้เป็นระยะเวลา กว่า 92 ปี ที่พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ไม่เคยได้รับการปรับปรุงส่วนจัดแสดงเลย เวลา 92 ปี กับการเป็นสถานที่ราชการ
สังกัดกรมศิลปากรแห่งเดียวในจังหวัดลำพูน ผู้คนได้เฝ้าสังเกต รอคอย การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ เช่นเดียวกับเจ้าหน้าที่พิพิธภัณฑ์ไหม
?
จึงเกิดการตั้งคำถามว่าคนในชุมชนรู้สึกถึงการที่มีพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ
หริภุญไชย เป็นส่วนหนึ่งของชุมชนหรือไม่ อย่างไร ?ถ้านึกถึงพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ หริภุญไชย
ในช่วงการรับรู้ที่ผ่านมา คุณนึกถึงอะไร ?
จากคำถามข้างต้นนำไปสู่การจัดกิจกรรมที่ต้องการให้คนลำพูนและผู้ที่เคยมาเยี่ยมเยือนได้ส่งภาพถ่ายการเข้ามาเยี่ยมเยือน
หรือภาพพิพิธภัณฑ์ในอดีตเข้ามาร่วมเติมประวัติศาสตร์และความทรงจำให้แก่พิพิธภัณฑ์ โดยมีการประชาสัมพันธ์ทางหน้าเพจเฟสบุ๊ค พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ หริภุญไชย ในเดือนพฤศจิกายน
2561
เชิญร่วมส่งภาพถ่าย ระหว่างปี
พ.ศ.2470 ถึงปัจจุบัน ซึ่งเป็นภาพสะท้อนให้เห็นถึงประวัติศาสตร์และความทรงจำ
อาทิ เช่น ภาพอาคาร สถานที่ ภูมิทัศน์ บุคคลหรือกลุ่มเพื่อน ภาพเหตุการณ์
หรือภาพกิจกรรม ที่เกิดขึ้นในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ หริภุญไชย เข้าร่วมในกิจกรรม“ระหว่างประวัติศาสตร์และความทรงจำ
(history & memory)” จนถึงวันที่ 30 มีนาคม พ.ศ.2562
การตอบรับของสมาชิกเพจเฟสบุ๊คพิพิธภัณฑ์หริภุญไชย
น้อยมากในการนำภาพเข้าร่วมกิจกรรมดังกล่าว เพื่อให้กิจกรรมได้ดำเนินการต่อไปพิพิธภัณฑ์จึงเดินเข้าไปปรึกษาชุมชน
โรงเรียน ผู้อยู่อาศัยโดยรอบพิพิธภัณฑ์ เชิญชวนส่งภาพเข้าร่วมกิจกรรมขอรวบรวมรูป
เพื่อนำมาจัดนิทรรศการชั่วคราวในวันเปิดตัวอาคารจัดแสดงปรับปรุงใหม่ได้รับข้อมูลเสียงสะท้อนจากชุมชนและคำแนะนำเพื่อนำมาปรับกิจกรรม
ดังนี้ตอนเด็กๆ
ที่บ้านไม่เคยพามาเที่ยวพิพิธภัณฑ์เลย ผู้ใหญ่จะบอกว่าเป็นคุกเก่า น่ากลัวยังมีวิญญาณนักโทษอาศัยอยู่ในนั้น
(ข้อมูลจากคนอายุ 45 ปี)ตอนยายเป็นเด็กชอบแอบมองดูความเป็นอยู่ของนักโทษในคุกจากชั้นสองของบ้าน พ่อแม่จะห้ามเด็ดขาดบอกห้ามแอบดูเป็นเสนียดตาแม้ปัจจุบันจะเปลี่ยนเป็นพิพิธภัณฑ์แล้วก็ยังจำคำสอนนี้อยู่
(ข้อมูลจากคนอายุราว 75 ปี)บ้านลุงอยู่ด้านหลังพิพิธภัณฑ์ ตอนลุงเป็นเด็กจะเดินไปตลาดต้องเดินผ่านประตูหลังคุก
จะชอบเดินเฉียดใกล้กำแพงไม้ด้านหลังเพราะนักโทษจะเรียกแล้วเอาเงินสอดช่องกำแพงไม้ออกมาให้ไปยาแก้ปวดให้
เราก็รับเงินแล้วก็หนีหายไปเลย พอเปลี่ยนมาเป็นพิพิธภัณฑ์ก็ยังไม่เคยเข้าไปดูเลย(ข้อมูลจากคนอายุราว
70 ปี)
จากข้อมูลสัมภาษณ์ข้างต้นทำให้ทราบว่าพิพิธภัณฑ์หริภุญไชย
ซึ่งตั้งอยู่บนพื้นที่คุกเดิม ชาวบ้านยังคงมีภาพจำว่าเคยเป็นคุกเก่ามาก่อน
พอเปลี่ยนมาเป็นพิพิธภัณฑ์ก็มองเป็นแค่สถานที่ราชการ สังกัดกรมศิลปากรที่จัดแสดงของเก่า
นำเสนอเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ของจังหวัดลำพูนที่ภาครัฐส่วนกลางเป็นผู้ควบคุมและดำเนินการ
การเข้ามาเพื่อเยี่ยมชมหรือพักผ่อนหย่อนใจ จึงมีโอกาสน้อยมาก
อย่างมากปีละครั้งในวันเด็กแห่งชาติ ซึ่งพิพิธภัณฑ์จัดกิจกรรมนี้ทุกปี นอกจากนี้การสัมภาษณ์ชุมชนโดยรอบถึงเรื่องราวพิพิธภัณฑ์ในอดีตแล้ว ยังได้รับคำแนะนำในการนิทรรศการ ดังนี้พิพิธภัณฑ์ตั้งอยู่บนถนนอินทยงยศซึ่งเป็นถนนสายหลักของการจัดขบวนแห่ ประเพณีต่างๆ ของจังหวัดลำพูน อีกทั้งอยู่ใกล้วัดพระธาตุหริภุญชัย
และแหล่งการค้า ตลาด ซึ่งเป็นพื้นที่ที่คนลำพูนทั่วไปจะต้องได้เคยผ่านมาหรือร่วมกิจกรรมประจำจังหวัดอยู่แล้ว หากทางพิพิธภัณฑ์ขอภาพกิจกรรมที่เคยเกิดขึ้นบนถนนอินทยงยศนี้ น่าจะได้ภาพมากควรจัดนิทรรศการโดยเปลี่ยนหัวข้อการจัดในทุกเดือนตามวันสำคัญ
หรือประเพณีสำคัญที่เกิดขึ้นในเดือนนั้นๆควรมีกิจกรรมต่อเนื่องในทุกเดือน เพื่อให้คนลำพูนได้เห็นความเคลื่อนไหว
และมีโอกาสเข้ามาเยี่ยมชม นิทรรศการ
ค่อยๆเห็นการเปลี่ยนแปลงของพิพิธภัณฑ์ก่อนเปิดให้เข้าชมนิทรรศการถาวรชุดใหม่ในเดือนเมษายนหากมีการจัดนิทรรศการชั่วคราวบริเวณล่างโถงใต้อาคารจัดแสดงพิพิธภัณฑ์ควรขยายเวลาเปิดให้คนเข้าชมในช่วงเย็นนานขึ้น
แนวคิดใหม่ในการจัดนิทรรศการชั่วคราวครั้งนี้
เกิดจากการทำงาน รับฟัง ความคิดจากชุมชนซึ่งได้แสดงความเห็นมีส่วนร่วมในการทำงาน
ดังนั้นผู้คนจึงมีส่วนในการตัดสินใจ กำหนด และสร้างเรื่องราวสำหรับการนำเสนอ
และการจัดแสดงในหัวข้อต่างๆที่เปลี่ยนไปทุกเดือน
หากมองในทางทฤษฎีแล้ว การมีส่วนร่วมในการทำงานร่วมกับชุมชนมี
4 ระดับ ได้แก่ 1. การแบ่งปันข้อมูล
ชุมชนได้รับการแจ้งหรือรับทราบข้อมูลที่เกี่ยวกับการทำงานของพิพิธภัณฑ์ 2.
การปรึกษาหารือ
ชุมชนไม่เพียงได้รับข้อมูลแต่ยังมีส่วนในการแสดงความคิดเห็นและสะท้อนมุมมองในการพัฒนา
3. การตัดสินใจ นั่นคือชุมชนมีส่วนกำกับทิศทางและขั้นตอนต่างๆ ในการทำงาน และ 4. การลงมือปฏิบัติ ตั้งแต่ความคิดริเริ่มและกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการทำงานเมื่อพิจารณาการมีส่วนร่วมในบริบทการทำงานพิพิธภัณฑ์หรือการพัฒนานิทรรศการในระดับแรก
ชุมชนได้รับข้อมูลและเป็นเพียงผู้ที่ตั้งรับในการทำงาน ในระดับที่สอง ชุมชนร่วมให้ข้อมูลและบริจาคสิ่งของในการนำเสนอ ในระดับที่สาม ชุมชนกำกับขั้นตอนการทำงานต่างๆ และในระดับที่สี่ ชุมชนแสดงบทบาทหลักในการพัฒนานิทรรศการอย่างแท้จริง อันจะเป็นกระบวนสุดท้าย
ซึ่งจะกล่าวต่อไปในกิจกรรม “เมื่อพิพิธภัณฑ์เดินทางไปหาคุณ museum visit you”
เมื่อทางพิพิธภัณฑ์หริภุญไชยได้สรุปหัวข้อการจัดนิทรรศการชั่วคราวเสร็จสิ้นแล้ว
ตลอดระยะเวลา 6 เดือนเกิดการบอกต่อกันในกลุ่มนักจัดเก็บ สะสม
ภาพเก่าของจังหวัดลำพูน ได้แนะนำแหล่งที่น่าจะมีภาพเก่าสะสม รวบรวมไว้ เช่น วัด โรงเรียน หรือแม้กระทั่งห้องภาพเก่าในลำพูน ที่ปิดกิจการลงไปแล้ว
เบื้องต้นพิพิธภัณฑ์ได้ภาพเก่ามาจัดนิทรรศการจากนักสะสมและห้องภาพเหล่านี้เป็นส่วนใหญ่ ผลลัพธ์ของการประชาสัมพันธ์รูปแบบการจัดนิทรรศการหมุนเวียนในทุกเดือน ซึ่งได้ประชาสัมพันธ์ผ่านเพจเฟสบุ๊ค พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ หริภุญไชย ป้ายประชาสัมพันธ์ด้านหน้าพิพิธภัณฑ์ฯหริภุญไชยและบริเวณประตูทางเข้าวัดพระธาตุหริภุญชัยทางด้านทิศใต้และทางด้านทิศตะวันออกทำให้นักท่องเที่ยว
ชุมชนโดยรอบ โรงเรียน ได้เข้ามาเยี่ยมชมและให้ความสนใจในนิทรรศการชั่วคราวนี้ยิ่งขึ้น ประกอบกับพิพิธภัณฑ์มีสมุดเซ็นเยี่ยม กระดาษโน้ต บอร์ดผ้า เพื่อให้ผู้เข้ามาเยี่ยมชมได้มีพื้นที่ได้พูดคุย บอกเล่า แลกเปลี่ยน เรื่องราวที่ปรากฏในภาพถ่ายด้วย นอกจากภาพถ่ายเก่าที่ชุมชน
โรงเรียนนำเข้ามาร่วมจัดแล้ว ยังมีเอกสารโบราณ หนังสือเก่า ของส่วนบุคคล ที่เกี่ยวเนื่องกับหัวข้อนิทรรศการนั้นๆ นำมาจัดแสดงร่วมด้วยถือได้ว่าเป็นความพยายามในการพัฒนาให้พิพิธภัณฑ์ได้สนทนากับสังคมอีกช่องทางหนึ่งผ่านการจัดนิทรรศการชั่วคราวครั้งนี้ เป็นการเปิดโอกาส
ให้เกิดกระบวนการตีความ แลกเปลี่ยนข้อมูลภาพถ่าย
หรือวัตถุจัดแสดงที่เกี่ยวเนื่อง พิพิธภัณฑ์จึงไม่ใช่เพียงสถาบันที่พัฒนาความรู้เชิงวิชาการด้วยผู้เชี่ยวชาญอีกต่อไป
แต่ได้กลายเป็นเวทีของความร่วมมือกับชุมชนเปิดบทสนทนาใหม่ให้กับสังคมเพื่อได้รับองค์ความรู้ที่มาจากคนในจริงๆ
แม้ว่าการดำเนินการจัดแสดงภาพถ่ายเก่าและวัตถุเกี่ยวเนื่อง
ในกิจกรรม“ระหว่างประวัติศาสตร์และความทรงจำ
(history & memory)”
จะได้รับการตอบรับจากการเข้ามาเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์มากขึ้น ตลอดระยะเวลาการจัดในเดือนพฤศจิกายน
พ.ศ.2561- เมษายน พ.ศ.2562 แต่เป้าหมายหลักในการจัดนิทรรศการชั่วคราวที่ต่อเนื่องมาหลายเดือนครั้งนี้เพื่อต้องการภาพที่เกี่ยวเนื่องกับพิพิธภัณฑ์ฯหริภุญไชยกลับพบน้อยมาก
แต่กระนั้นก็สามารถเห็นภาพพัฒนาการการใช้พื้นที่ตั้งแต่ครั้งเป็นเรือนจำลำพูน และการเริ่มก่อสร้างอาคารพิพิธภัณฑ์ฯหริภุญไชยจากภาพถ่ายการจัดกิจกรรมบนถนนอินทยงยศซึ่งเป็นถนนด้านหน้าพิพิธภัณฑ์นั้นเอง นอกจากภาพถ่ายเก่าที่เราได้รับมอบให้มาร่วมจัดนิทรรศการชั่วคราวในครั้งนี้จากชุมชน
ซึ่งเป็นคนนอกพิพิธภัณฑ์แล้ว การให้ความสำคัญกับคนในพิพิธภัณฑ์เองจึงเป็นอีกเป้าหมายหนึ่งของการหาวัตถุเกี่ยวเนื่องมาร่วมจัดแสดงในงานเปิดให้เข้าชมอย่างเป็นทางการของส่วนจัดแสดงใหม่ ซึ่งกิจกรรมได้ถูกกำหนดจัดขึ้นใหม่ในเดือนพฤษภาคม พ.ศ.2562
นิทรรศการชั่วคราวที่จัดในเดือนพฤษภาคม 2562
ซึ่งถือเป็นนิทรรศการเรื่องสุดท้ายก่อนการเปิดตัวนิทรรศการถาวรใหม่ จึงเป็นการเน้นความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งของและสมาชิกภายในพิพิธภัณฑ์
เจ้าหน้าที่ที่อยู่เบื้องหลังการดูแลโบราณวัตถุในพิพิธภัณฑ์ เครื่องมือ เครื่องใช้
ในการทำงาน สื่อการศึกษา หรือแม้กระทั่งสมุดเซ็นเยี่ยมชมตั้งแต่ครั้งพิพิธภัณฑ์แห่งนี้เปิดให้เข้าชมตั้งแต่ปี
พ.ศ.2522 จนกระทั่งถึงการเริ่มต้นการเปลี่ยนแปลงส่วนจัดแสดงครั้งใหญ่ที่เริ่มมาตั้งแต่ปี
พ.ศ.2559–2562
นับว่าเป็นการบันทึกเรื่องราวและจัดเก็บสิ่งสะสมเพื่อนำเสนอเรื่องราวพิพิธภัณฑ์ฯหริภุญไชยสู่ชุมชนในมุมมองของคนทำงานภายในพิพิธภัณฑ์ซึ่งเป็นอีกด้านที่คนภายนอกไม่เคยสัมผัส
กิจกรรม
“MUSEUM
EXPLORER
นักสำรวจพิพิธภัณฑ์” เป็นกิจกรรมที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ หริภุญไชย ต้องการเชิญกลุ่มผู้สนใจในงานพิพิธภัณฑ์เข้าเยี่ยมชมนิทรรศการถาวรชุดใหม่เป็นกลุ่มแรก และร่วมให้ข้อคิดเห็น ข้อเสนอแนะในการจัดกิจกรรมหรือสร้างสื่อสร้างสรรค์เพื่อการเรียนรู้สำหรับคนหลายวัย
หลากกลุ่ม ที่มาเยี่ยมชมพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ หริภุญไชย ต่อไป กิจกรรมจัดขึ้นระหว่างวันที่ 10 – 11 พฤษภาคม พ.ศ.2562 โดยแบ่งการเข้าชมออกเป็นสองรอบ เช้า-บ่าย รวม 2 วันเป็นจำนวน 4 รอบ การเข้าชมครั้งละ 30 ท่าน รวมจำนวนทั้งสิ้น 120 ท่าน ที่เป็นแขกพิเศษของการเปิดให้เข้าชมนิทรรศการถาวรชุดใหม่ครั้งแรกนี้
การประชาสัมพันธ์ผู้เข้าร่วมกิจกรรมดังกล่าว
คัดเลือกจากการตอบคำถามผ่านทางเพจเฟสบุ๊ค พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ หริภุญไชย
และการเชิญชุมชน เพื่อนบ้าน ซึ่งอาศัยอยู่รายรอบพิพิธภัณฑ์ บุคคล วัด ที่มอบโบราณวัตถุร่วมจัดแสดง ตั้งแต่ครั้งพิพิธภัณฑ์เปิด และกลุ่มเครือข่ายชุมชน อาทิ ตัวแทน 17 ชุมชนในเขตเทศบาลเมืองลำพูน ชมรมผู้สูงอายุจังหวัดลำพูน
สภาคนพิการทุกประเภทจังหวัดลำพูนเข้าร่วม
กิจกรรม
MUSEUM
EXPLORER
เป็นกิจกรรมที่ต้องการให้ผู้เข้าชมที่ร่วมกิจกรรมได้เริ่มชมส่วนนิทรรศการพิเศษ
ที่บอกเล่าประวัติศาสตร์ ความทรงจำ ของพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ หริภุญไชย ก่อนและพูดคุยแลกเปลี่ยนถึงวัตถุเล่าเรื่องเมื่อครั้งอดีต
นิทรรศการพิเศษชั่วคราวนี้จัดขึ้น บริเวณโถงด้านล่างอาคารจัดแสดงต่อเติมใหม่ ซึ่งแบ่งเนื้อหาออกเป็น
2 ส่วนนำเสนอเรื่องราวทางประวัติศาสตร์และความทรงจำของพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ
หริภุญไชย ตามระยะเวลา เพื่อให้ผู้เข้าชมได้ทราบที่ไปที่มา การเติบโตของพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ
หริภุญไชย จนถึงกระบวนการการปรับปรุงส่วนจัดแสดงถาวรชุดใหม่ที่แล้วเสร็จ โดยแบ่งออกเป็นช่วงเวลา
ดังนี้
1.
ช่วง พ.ศ.2470- 2549 วัตถุจัดแสดงที่นำเสนอผ่านภาพถ่ายเก่า
(ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากชุมชนที่ร่วมมาจัดในนิทรรศการ
ระหว่างประวัติศาสตร์และความทรงจำ ซึ่งเป็นกิจกรรมก่อนหน้านี้) สมุดเซ็นเยี่ยมเข้าชมพิพิธภัณฑ์
สไลด์สื่อการสอนภาพเรื่องราวโบราณวัตถุที่จัดเก็บและจัดแสดงเมื่ออดีต ตู้เก็บป้ายทะเบียนโบราณวัตถุ
2.
ช่วง พ.ศ.2550- 2563 วัตถุจัดแสดงส่วนใหญ่เป็นงานเอกสาร เริ่มตั้งแต่ บทจัดแสดงที่เริ่มเขียน
ภาพการออกแบบเมื่อปี 2550 จนมาเรื่องปรับปรุงส่วนจัดแสดงอีกครั้งในปี 2559 เขียนบท แบบจำลองอาคาร การออกแบบผนังกราฟฟิก การปรับปรุงบทจัดแสดง จนมาแล้วเสร็จในส่วนนิทรรศการถาวรของอาคารจัดแสดงหลังเดิม ในเดือนเมษายน 2563
จากการพูดคุย แลกเปลี่ยน
นำเสนอเรื่องราวประวัติศาสตร์ความทรงจำของพิพิธภัณฑ์ เพื่อให้ผู้เข้าร่วมกิจกรรมทราบถึงที่มาของการเกิดนิทรรศการถาวรชุดใหม่นี้จนถึงที่มาของโบราณวัตถุที่นำมาจัดแสดงในพิพิธภัณฑ์
เดิมจะมาจากการบริจาคซึ่งเป็นของส่วนบุคคล หรือสมบัติของวัดที่มีมาแต่เดิม แต่ส่วนนิทรรศการถาวรใหม่นี้ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ หริภุญไชย ได้พยายามสืบค้นหาแหล่งที่เก็บโบราณวัตถุเพื่อนำมาร่วมจัดแสดง โดยคำนึงถึงประวัติ
ที่มาของโบราณวัตถุ เป็นสำคัญ จึงได้รับความร่วมมือจาก มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เชียงใหม่ ซึ่งมีโบราณวัตถุที่เกี่ยวเนื่องในสมัยหริภุญไชย จัดเก็บอยู่ จากการมองข้ามพรมแดนจังหวัดในปัจจุบัน นำมาร่วมจัดแสดงในนิทรรศการถาวรชุดใหม่นี้
หรือแม้กระทั่งเรื่องราวของการจัดเตรียมดินเพื่อนำมาใช้ในการจัดแสดงโครงกระดูกจากแหล่งโบราณคดีก่อนประวัติศาสตร์ ทั้งหมดมาจากแหล่งโบราณคดีจริงซึ่งเจ้าของที่ดินได้เกิดความภาคภูมิใจที่ได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการจัดแสดงนิทรรศการถาวรใหม่นี้
เมื่อพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ หริภุญไชย
ได้นำเสนอเรื่องราว กระบวนการ ที่ไปที่มาก่อนการเกิดนิทรรศการถาวรชุดนี้แล้ว ผู้เข้าร่วมกิจกรรมได้แลกเปลี่ยน โดยการให้ความเห็นผ่านการเขียนและบอกกล่าว พอสังเขป ดังนี้การนำเสนอวีดีทัศน์
น่าจะมีเรื่องอื่นสลับ สับเปลี่ยน มาเล่าบ้าง เช่น เรื่องเล่าแต่ละชุมชน วีดีทัศน์ น่าจะมีภาพภาษามือ
เพื่อให้ผู้พิการทางการได้ยินได้เข้าใจเรื่องราวที่เล่าด้วย โบราณวัตถุจัดแสดงดูน้อยไปฃบรรยากาศน่าชมมาก แอร์เย็น จัดแสดงได้ดี
เทียบเท่าพิพิธภัณฑ์ต่างประเทศน่าจะมีชุดออดิโอไกด์เพื่อใช้ในการฟังข้อมูลโบราณวัตถุ
แต่ละชิ้นด้วยป้ายคำบรรยายในส่วนศิลาจารึก
น่าจะให้รายละเอียดข้อมูลในจารึกด้วย
กิจกรรม
MUSEUM
EXPLORER นักสำรวจพิพิธภัณฑ์ เป็นกิจกรรมที่ไม่ได้ต้องการผลลัพธ์แค่ความเห็น
หรือข้อเสนอแนะของผู้เข้าร่วมกิจกรรมชมนิทรรศการถาวรใหม่ครั้งนี้เท่านั้น พิพิธภัณฑ์เชื่อว่าผู้เข้าร่วมกิจกรรมรู้สึกถึงความเป็นคนพิเศษที่ได้รับคัดเลือกเข้าร่วมกิจกรรมดังกล่าว
และรู้สึกถึงการเป็นส่วนหนึ่งของความคิดเห็นเพื่อร่วมพัฒนาพิพิธภัณฑ์ซึ่งตั้งอยู่ในชุมชนตนอีกด้วย
นอกจากจะเป็นประโยชน์แก่ผู้เข้าร่วมสร้างกิจกรรมแล้ว พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ
หริภุญไชย สามารถนำแนวคิด ข้อแนะนำ ของผู้เข้าร่วมกิจกรรมครั้งนี้
มาสร้างสรรค์กิจกรรม เติมเต็มความรู้ใหม่ๆ
ของพิพิธภัณฑ์เพื่อประโยชน์ของผู้เข้าชมได้ทุกระดับในคราต่อๆไปได้อีกด้วย
5. กิจกรรม “Museum visit you เมื่อพิพิธภัณฑ์เดินทางไปหาคุณ”
กิจกรรมนี้เกิดขึ้นในทุกวันศุกร์
เวลาราวบ่ายสามโมงถึงราวสี่ทุ่ม จากการรวมกลุ่มกันของเจ้าของบ้าน ร้านค้า
ที่ตั้งอยู่บนถนนรถแก้ว
ซึ่งเทศบาลเมืองลำพูนต้องการให้ถนนสายนี้เป็นถนนคนเดินซึ่งหากนักท่องเที่ยวเยี่ยมชมวัดพระธาตุหริภุญชัยแล้ว
หากเดินออกทางด้านหลังวัดจะเจอกับถนนรถแก้วนี้
ซึ่งอันที่จริงเป็นเพียงถนนเส้นเล็กๆ ที่แยกออกมาจากถนนอินทยงยศ
อันเป็นถนนด้านหลังวัดพระธาตุหริภุญชัยซึ่งเป็นเส้นทางหลักและดั้งเดิมของการสัญจรระหว่างจังหวัดลำพูน
เชียงใหม่
กลุ่มเจ้าของบ้านซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินสองฝั่งถนนรถแก้วเห็นว่า
การทำถนนคนเดินเพื่อการสร้างรายได้ให้กับคนในชุมชนนั้นก็เป็นสิ่งที่ดี แต่ชุมชนเราอยากทำอะไรให้เป็นที่จดจำแก่คนมาเที่ยวชม
และที่สำคัญคนในชุมชนได้เรียนรู้การสร้างสรรค์พื้นที่สาธารณะนี้ขึ้นมาร่วมกันด้วย
จึงเกิดการรวมกลุ่มกันของคนที่อาศัยบนถนนเส้นนี้
เจ้าของร้านอาหาร ร้านกาแฟ หลากหลายวัย รวมไปถึงพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ หริภุญไชย ซึ่งนับเป็นเพื่อนบ้าน และเป็นส่วนหนึ่งบนถนนอินทยงยศซึ่งเชื่อมต่อกับถนนรถแก้วนี้ ได้ร่วมประชุม ระดมความคิด ถึงสิ่งที่ชุมชนต้องการให้พื้นที่บนถนนเส้นนี้ได้บอกเล่าถึงเรื่องราวในลำพูน
นำเสนอออกเป็นนิทรรศการ โดยเริ่มจากการพูดคุย สำรวจ สืบหาเรื่องราวที่เกิดขึ้นบนถนนรถแก้วนี้ กำหนดหัวข้อ เตรียมวัตถุจัดแสดง ภาพถ่ายเก่า (จากนิทรรศการระหว่างประวัติศาสตร์และความทรงจำบางส่วน) โดยได้มีการเปลี่ยนหัวข้อจัดแสดงทุกวันศุกร์ บนพื้นที่ความยาวช่วงต้นของถนนรถแก้วราว
150 เมตร ในทุกวันอาทิตย์ทีมงานได้พูดคุย ถึงผลลัพธ์ของการทำนิทรรศการ แต่ละครั้ง และร่วมเสนอแนวคิดเพื่อให้เกิดสิ่งใหม่ๆ ในศุกร์ต่อไป ซึ่งการจัดนิทรรศการในแต่ละครั้งได้รับการตอบรับ ชื่นชม ถึงสิ่งที่ชุมชนได้ตั้งใจบอกเล่าเรื่องราวของชุมชนเอง โดยที่เทศบาลเมืองลำพูนไม่ได้เข้ามาควบคุมและสนับสนุนงบประมาณให้แต่อย่างใด
เมื่อพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ
หริภุญไชย ออกไปจัดแสดงภายในชุมชน
เกิดปฎิสัมพันธ์ชุมชน นำเรื่องราว วัตถุ ของบุคคล ชุมชน จัดแสดงร่วมกัน โดยชุมชนเป็นผู้บอกเล่าเรื่องราว
ชุมชนกลายเป็นผู้ส่งต่อ สืบทอดความรู้ เรื่องเล่าของตนสู่คนภายนอก
กลายเป็นการเล่าเรื่องที่สามารถเชื่อมโยงเรื่องเล่าของมรดกวัฒนธรรมที่เป็นกายภาพและที่ไม่เป็นกายภาพ หรือการสาธิตการใช้ข้าวของเครื่องใช้เป็นส่วนหนึ่งของการจัดแสดงหนึ่ง ทำให้คนท้องถิ่นได้ถ่ายทอดเรื่องราวของตน และได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของนิทรรศการอย่างมีชีวิตชีวา
มิใช่เพียงการนำเสนอวัตถุสิ่งของหรือป้ายคำอธิบาย กิจกรรมเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงความพยายามในการปกป้องและการส่งเสริมสิ่งสะสม เรื่องเล่าของชุมชน พร้อมไปกับการสนับสนุนให้ชุมชนสืบทอดความรู้และสานต่ออนาคต ถนนคนเดินสายนี้จึงกลายเป็นพิพิธภัณฑ์ที่มีชีวิตขึ้นมา
แต่เดิมการสืบค้น หาความรู้ การแสวงหาความรู้ ของโบราณวัตถุ ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติจะเน้นในเรื่องรูปแบบศิลปะ ที่มา โดยการอาศัยเทียบเคียง จากแหล่งโบราณคดีที่เกี่ยวเนื่องหรือส่งอิทธิพลให้แก่กันและกัน
เพื่อนำไปสู่การเสนอความรู้ในเชิงวิชาการ อันถือเป็นบทบาทหน้าที่หลักของกรมศิลปากร การวางบทบาท หน้าที่ดังกล่าวนี้ให้แก่พิพิธภัณฑ์
ทำให้ลักษณะของเนื้อหาที่ต้องการนำเสนอต้องใช้ความเชี่ยวชาญ จากผู้มีความเชี่ยวชาญเชิงวิชาการ กรณีข้อมูลจัดแสดงก็ต้องนำไปตรวจสอบข้อเท็จจริงจากผู้เชี่ยวชาญซึ่งส่วนใหญ่ผู้เชี่ยวชาญก็ไม่ใช่คนในแต่เป็นนักวิชาการที่สามารถเชื่อมโยงประวัติศาสตร์ชาติมาเป็นหลักในการตรวจสอบข้อมูลการวางบทบาทดังกล่าวถึงแม้ในภาพรวมจะนำไปสู่การสงวนรักษามรดกทางวัฒนธรรมที่เป็นรูปธรรมถูกต้องตามหลักวิชาการของกรมศิลปากร
แต่กระบวนการเรียนรู้ร่วมกันระหว่างพิพิธภัณฑ์กับชุมชน ไม่เกิดการบูรณาการเข้ากับวิถีชีวิตชุมชน
ทำให้ชุมชนมองไม่เห็นว่าพิพิธภัณฑ์เป็นส่วนหนึ่งของชุมชน ฉะนั้นพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ จึงจำเป็นต้องสร้าง กระบวนการเรียนรู้ ซึ่งมีลักษณะเป็น “กิจกรรมพิเศษ” ที่ต้องใช้โอกาสพิเศษ หรือวาระที่สมควรในการดำเนินงาน เพื่อสร้างความเป็นส่วนหนึ่งของชุมชน
ในงานที่ชุมชนจัดขึ้นจะเกิดการสร้างกระบวนการเรียนรู้และการทำงานของพิพิธภัณฑ์ที่ได้ถูกบูรณาการเข้ากับวิถีชีวิตชุมชน อันทำให้ผู้คนในชุมชนได้มีโอกาสในการเรียนรู้ แลกเปลี่ยน หากคนในชุมชนได้ร่วมกันตรวจสอบถกเถียง จากข้อมูลหลักฐานที่เชื่อถือได้
ข้อเท็จจริงเหล่านี้ก็ควรนำเสนอได้ทั้งนี้หากในอนาคตมีการค้นพบข้อเท็จจริงที่มีความน่าเชื่อถือกว่าคนในชุมชนจะร่วมกันตรวจสอบและแก้ไขข้อมูลก็สามารถทำได้ ทำให้เกิดองค์ความรู้
และส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงต่อชุมชนในการสงวนรักษามรดกทางวัฒนธรรมของท้องถิ่นต่อไป
การออกไปทำกิจกรรม อาทิ การจัดนิทรรศการนอกสถานที่พิพิธภัณฑ์นี้ ทำให้เกิดพิพิธภัณฑ์ชุมชนที่เป็นแบบพิพิธภัณฑ์มีชีวิตขึ้นมา
นำเสนอ เรื่องเล่า ที่สอดคล้องกับวิถีประเพณีชุมชน กลายเป็นแหล่งเรียนรู้ของคนในชุมชนที่ยั่งยืนคนในชุมชนจะต้องออกมาเล่าเรื่องของตนเองเล่าเรื่องพ่อแม่ลุงป้าน้าอาปู่ย่าตายายบรรพบุรุษเล่าประวัติความเป็นมาเล่าเรื่องสิ่งใกล้ตัวความเป็นอยู่อย่างไร ทำมาหากินอย่างไร
ดำรงชีวิตมาถึงปัจจุบันได้อย่างไร ความเชื่อเรื่องศาสนา เรื่องผีประเพณีวัฒนธรรมการสร้างบ้านแปงเมือง ผู้นำในอดีต เป็นใครคนในชุมชน ได้บอกเล่าเล่าด้วยภาษาของตนเองเพราะคนในชุมชนเป็นเจ้าของข้อมูลโดยใช้สิ่งของที่มีอยู่ซึ่งไม่จำเป็นจะต้องเป็นของเก่าราคาแพงหายากการออกแบบจัดแสดงอาจเล่าเรื่องด้วยแผนที่ชุมชน
สิ่งของ เครื่องใช้ ภาพถ่าย
แนวทางการดำเนินงานพิพิธภัณฑ์ที่ผ่านมาทุกอย่างเปลี่ยนไป
ทุกคนตื่นตัวในการจัดกิจกรรมของพิพิธภัณฑ์มีผู้ชมเยอะขึ้นและมีส่วนร่วม
แต่สิ่งที่ไม่เปลี่ยนแปลงคืองบประมาณที่จะสร้างสรรค์กิจกรรมใหม่ๆ วิธีการนำเสนอโบราณวัตถุและศิลปวัตถุ รูปแบบการจัดแสดงไม่ใช่สิ่งสำคัญเพียงประการเดียว
แต่ต้องสร้างความหมาย วิเคราะห์ ตีความให้ผู้ชมได้เห็นคุณค่า
เพราะฉะนั้นการอธิบายจึงมีความสำคัญ พิพิธภัณฑ์จึงควรให้ความสำคัญในการศึกษาวิจัยตีความอธิบายโบราณวัตถุและศิลปวัตถุที่มีอยู่ ซึ่งจะทำให้พิพิธภัณฑ์แห่งนั้นเกิดการสร้างองค์ความรู้ใหม่ๆ
จากบริบท มุมมองที่เปลี่ยนไปของสังคม
ตลอดจนจากงานการศึกษาใหม่ที่นำมาเชื่อมโยงอ้างอิง และทำให้พิพิธภัณฑ์เป็นที่คนเข้าไปชมอยู่เสมอ ในแง่มุมของคนที่สนใจการจัดการพิพิธภัณฑ์แบบมีส่วนร่วม พิพิธภัณฑ์จะไม่อยู่อย่างโดดเดี่ยวแต่ต้องมีความสัมพันธ์กับชุมชนและคนที่อยู่รอบข้าง
พิพิธภัณฑ์ไม่ใช่หมายถึงห้องจัดแสดงเพียงอย่างเดียว
ยังจะต้องมีส่วนในการอนุรักษ์และการเก็บรักษาให้ความรู้ตามภารกิจของพิพิธภัณฑ์ที่กล่าวมาแล้วนี้ เป็นแนวทางหนึ่งของการนำเสนอพิพิธภัณฑ์ออกสู่สายตาชุมชน ที่นอกจากจะกระตุ้นให้จำนวนผู้ใช้บริการของพิพิธภัณฑ์มีมากขึ้นแล้ว
จุดประสงค์หลักของการดำเนินโครงการที่ภัณฑารักษ์หวังไว้ ยังต้องการที่จะเสริมสร้างความรู้และต้องการแนวร่วมในการปกป้องคุ้มครองศิลปโบราณวัตถุของชาติ ที่อยู่ภายในท้องถิ่น เมื่อเยาวชน ผู้คนในชุมชน ซึ่งเป็นคนในท้องถิ่นได้พบเห็น และเข้ามามีส่วนร่วม จะได้รู้ถึงคุณค่าทางวัฒนธรรมและร่วมกันอนุรักษ์ให้คงอยู่สืบไป
จึงจะถือว่า ภัณฑารักษ์และพิพิธภัณฑ์ได้ทำหน้าที่ในบทบาทของตนเองอย่างสมบูรณ์
และบทบาทหน้าที่พิพิธภัณฑ์ไม่ได้มุ่งเพียงการพัฒนาความรู้ สะสม และจัดประเภทของสิ่งต่างๆอีกต่อไป แต่เป้าหมายของพิพิธภัณฑ์ต้องดำรงอยู่เพื่อชุมชน หรือกล่าวได้ว่า หัวใจของพิพิธภัณฑ์คือชุมชน ซึ่งจะทำให้พิพิธภัณฑ์คงอยู่เป็นส่วนหนึ่งของชุมชนตลอดไป
เอกสารอ้างอิงหอจดหมายเหตุแห่งชาติ,กอง.กร.5
ศ.1/2 กรมราชเลขาธิการ เล่ม 5 เบ็ดเตล็ด ศึกษาธิการ (ร.ศ.119-ร.ศ.128)
, หน้า107.
บุบผา จิระพงษ์. (2544). สถานภาพของพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นในจังหวัดเชียงใหม่. เชียงใหม่: คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์สถาบันราชภัฏเชียงใหม่.สมลักษณ์ เจริญพจน์. (2550). “ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับพิพิธภัณฑ์คู่มือพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น.”
กรุงเทพฯ: กราฟิกฟอร์แมท.
[1]บทความนี้ได้รับการคัดเลือกจากการประชุมวิชาการพิพิธภัณฑ์และมรดกวัฒนธรรม
วันที่ 21
กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2563 ณ
พิพิธภัณฑ์ธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ คณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โดยการสนับสนุนจากศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
(องค์การมหาชน)
[2]พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ หริภุญไชย E-mail: hari_museum@yahoo.com
[3]คำในภาษาไทยที่เป็นทางการคือ พิพิธภัณฑสถาน
ในบทความนี้ขอใช้ พิพิธภัณฑ์ ตามที่ใช้และเข้าใจกันทั่วไป
และตามพจนานุกรมราชบัณฑิตยสถาน 2542
ซึ่งอนุโลมให้ใช้พิพิธภัณฑ์ในความหมายเดียวกับพิพิธภัณฑสถาน
[4]ข้อมูลตัวเลขจากฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน 2562
[5]จากการปริวรรตใหม่โดยอาจารย์พงศ์เกษม
สนธิไทยผู้เชี่ยวชาญด้านอักขระมอญโบราณคณะศิลปศาสตร์
สาขาวิชาภาษาไทยมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลกรุงเทพ วิทยาเขตบพิตรพิมุขมหาเมฆ
[6]หจช.กร.5ศ.1/2
กรมราชเลขาธิการ เล่ม 5 เบ็ดเตล็ด ศึกษาธิการ (ร.ศ.119-ร.ศ.128), หน้า 107
[7]สัมภาษณ์
นายพิรุฬห์ แก้วประภา อายุ 78 ปี เมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม 2556. เป็นชาวลำพูนแต่กำเนิดอาศัยอยู่ในเขตชุมชนท่าขาม บ้านฮ่อม ด้านทิศเหนือของวัดพระธาตุหริภุญชัย อดีตข้าราชการกระทรวงศึกษาธิการ ดำรงตำแหน่งไวยวัจกรและคณะกรรมการวัดพระธาตุหริภุญชัย
ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2541 ได้รับมอบหมายให้ดูแลพิพิธภัณฑ์วัดพระธาตุหริภุญชัย ปัจจุบันเสียชีวิตแล้ว
[8]บุปผา จิระพงษ์. สถานภาพของพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นในจังหวัดเชียงใหม่.(เชียงใหม่ : คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ สถาบันราชภัฎเชียงใหม่
,2544)