ข่าวสารพิพิธภัณฑ์

พบ “สายเดี่ยวโบราณอายุ 200 ปี” กรุไทยพวน คาดต้นแบบแฟชั่นยุคนี้

นายสนธยา คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) เปิดเผยว่า เมื่อเร็วๆ นี้ ตนได้เดินทางเปิดศูนย์วัฒนธรรมเฉลิมราชวัดฝั่งคลอง อ.ปากพลี จ.นครนายก ซึ่งถือเป็นศูนย์วัฒนธรรมเฉลิมราชแห่งแรกในพื้นที่ภาคกลาง ตามโครงการศูนย์วัฒนธรรมเฉลิมราช เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งในศูนย์วัฒนธรรมเฉลิมราชนั้น จะมีการจัดกิจกรรมพัฒนาแหล่งเรียนรู้วัฒนธรรม และส่งเสริมการอนุรักษ์มรดกภูมิปัญญาที่สำคัญ และเป็นศูนย์กลางในการรวบรวมพระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รวมทั้งพระบรมวงศานุวงศ์ ที่เกี่ยวข้องกับการเสด็จพระราชดำเนินมายังพื้นที่จังหวัดหรือชุมชนนั้นๆ เพื่อให้เด็กและเยาวชน ประชาชนได้มาศึกษาหาความรู้และสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณที่มีต่อปวงชนชาวไทย อย่างไรก็ตาม วธ.จะดำเนินการคัดเลือกวัดและเปิดศูนย์วัฒนธรรมเฉลิมราชให้ครบทุกจังหวัด 76 จังหวัดต่อไป   ขณะที่ พระครูวิริยานุโยค เจ้าอาวาสวัดฝั่งคลอง ประธานกรรมการบริหารศูนย์วัฒนธรรมเฉลิมราชวัดฝั่งคลอง กล่าวว่า วธ.ได้พิจารณาคัดเลือกให้วัดฝั่งคลอง เป็นศูนย์วัฒนธรรมเฉลิมราช ซึ่งภายในศูนย์มีกิจกรรม ได้แก่ 1.นิทรรศการเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โดยจัดแสดงความรู้เกี่ยวกับพระราชกรณียกิจในพื้นที่จังหวัดนครนายก 2.นิทรรศการภูมิปัญญา 3.นิทรรศการวิถีชีวิตและประวัติศาสตร์ชุมชน 4.การสาธิตองค์ความรู้เกี่ยวกับงานมรดกภูมิปัญญา อาทิ งานทอผ้า อาหาร สิ่งประดิษฐ์ เป็นต้น 5.กิจกรรมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ จากปราชญ์ชาวบ้าน 6.ลานวัฒนธรรม 7.จัดประชุมเชิงปฏิบัติการพัฒนาองค์ความรู้ 8.จำหน่ายผลิตภัณฑ์ชุมชน และ 9.จัดให้มีอินเทอร์เน็ตชุมชน เพื่อสืบค้นข้อมูลภูมิปัญญา          “สถานที่แห่งนี้ได้รวบรวมวิถีชีวิตชาวไทยพวน ที่สำคัญ ได้รวบรวมพระราชกรณียกิจที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้เสด็จพระราชดำเนินมายังจังหวัดนครนายก ที่สำคัญ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ได้เสด็จพระราชดำเนินพร้อมเหล่านักเรียนนายร้อย มาศึกษาวิชาประวัติศาสตร์ยังพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ด้วย จึงนับได้ว่า เป็นแหล่งเรียนรู้ที่สำคัญของประวัติศาสตร์ชาวไทยพวน”พระครูวิริยานุโยค กล่าว         พระครูวิริยานุโยค กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ ภายในพิพิธภัณฑ์ไทยพวนยังได้รวบรวมภูมิปัญญาและวิถีชีวิต ไว้มากมาย ไม่ว่าจะเป็นเครื่องมือประกอบอาชีพ การสร้างบ้านเรือน เครื่องแต่งกายไทยพวน สำหรับสิ่งของที่มีอายุเก่าแก่มากที่สุดในพิพิธภัณฑ์ คือ เสื้อสายเดี่ยวอายุประมาณ 200 ปี ซึ่งหาชมที่ไหนไม่ได้แล้ว เราก็ได้เก็บรวบรวมไว้ที่นี่ นับเป็นเรื่องที่แปลกที่เสื้อสายเดี่ยวของชาวไทยพวนเมื่อ 200 ปีที่เหมือนกับเสื้อสายเดี่ยวของคนยุคนี้ สายเดี่ยวโบราณอายุ 200 ปี        ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับเสื้อสายเดี่ยว 200 ปี หรือเสื้อมะกะแหล่ง ทางวัดได้ศึกษา พบว่า ทำด้วยวัสดุผ้าฝ้าย คอกลมกว้างไม่มีแขน มีทั้งชนิดเปิดไหล่ 1 ข้าง และแบบไม่เปิดไหล่ ใช้เป็นเสื้อชั้นใน หรือใส่อยู่บ้าน ซึ่งเสื้อมะกะแหล่ง หรือสายเดี่ยว 200 ปีนี้ ได้มาจากเมืองเวียงจันทน์ ทอจากผ้าฝ้ายสัปปะรด ผู้ที่ได้มา คือ พ่อปูเพ็ง ย่าอ่ำ จันทร์เพ็ง โดยตกทอดมาอยู่กับลูกคนที่ 6 คือ นางประทุม จันทร์เพ็ง เป็นคนพวนบ้านคลองคล้า ครอบครัวนี้จึงได้ถวายให้พระครูวิริยานุโยค เก็บไว้ในพิพิธภัณฑ์ไทยพวน เพื่อให้คนรุ่นหลังได้ศึกษาต่อไป ผู้จัดการออนไลน์ วันที่24 มกราคม 2556

เปิดแล้วพิพิธภัณฑ์เซรามิกลำปาง

เมื่อวันที่ 15 ม.ค. นายธวัชชัย เทอดเผ่าไทย ผู้ว่าราชการจังหวัดลำปาง นายสุรพล ตันสุวรรณ นายกสมาคมท่องเที่ยวนครลำปาง และนายพนาสิน ธนบดีสกุล กรรมการผู้จัดการบริษัท พิพิธภัณฑ์เซรามิคธนบดี จำกัด ร่วมกันแถลงและเปิดตัวพิพิธภัณฑ์เซรามิกธนบดีอย่างเป็นทางการ เพื่อให้นักท่องเที่ยวได้เข้าชมประวัติความเป็นมาของเซรามิกลำปาง ส่งเสริมการเรียนรู้ด้านเซรามิกและศิลปะแก่สาธารณชน และอนุรักษ์เตาเผามังกรโบราณ ซึ่งเป็นเตาเผาที่เก่าแก่ที่สุดไว้ให้คนรุ่นหลังได้ชม รวมทั้งให้เป็นสมบัติของคนลำปางด้วยการขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานต่อไป         ทั้งนี้ พิพิธภัณฑ์เซรามิกธนบดีตั้งอยู่เลขที่ 32 ถนนวัดจองคำ ต.พระบาท อ.เมือง ใช้อาคารเดิมที่เคยเป็นโรงงานเซรามิกมาตกแต่งใหม่ แยกออกเป็นส่วนเพื่อบอกเล่าเรื่องราวความเป็นมา และกำเนิดชามตราไก่นครลำปาง ตั้งแต่ผู้ที่เริ่มค้นพบดินขาวแล้วนำมาผลิตเซรามิกคนแรก คือ อาปาอี้ (ซิมหยู) ชาวจีนต้นตระกูล “ธนบดีสกุล” โดยใช้สัญลักษณ์ “ตราไก่” และใช้สัญลักษณ์นี้มาโดยตลอด จนช่วงหลังได้เพิ่มสัญลักษณ์อื่นตามมา         ต่อมาลูกหลานได้นำแนวคิดใหม่ที่คิดค้นได้มาต่อยอด จนกลายเป็นผลิตภัณฑ์เซรามิกรูปแบบต่างๆ เหมาะต่อการใช้งานทุกประเภท และเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก ล่าสุดขณะนี้โรงงานผลิตสินค้าส่งออกประมาณ 70% อีก 30% จำหน่ายในประเทศ         นอกจากนี้ ภายในพิพิธภัณฑ์ยังได้นำเซรามิกจิ๋ว ซึ่งมีขนาดเล็กที่สุดในโลก คือ เล็กกว่าเมล็ดข้าวเปลือก มาตั้งโชว์ด้วย ซึ่งนักท่องเที่ยวจะต้องมองผ่านแว่นขยายจึงจะเห็นลวดลายอันสวยงามบนถ้วย รวมถึงเตาเผามังกรโบราณ ซึ่งมีอายุกว่า 100 ปี ที่ยังคงสภาพเดิม โดยพิพิธภัณฑ์แห่งนี้จะเปิดให้ชมทุกวัน คิดค่าเข้าชมแยกเป็นเยาวชนอายุ 12-18 ปี คนละ 25 บาท ผู้ใหญ่คนละ 50 บาท นักท่องเที่ยวต่างชาติคนละ 100 บาท ผู้จัดการออนไลน์ วันที่ 16 มกราคม 2556

เถ้าแก่เซรามิกเก่าแก่ปรับราคา-เปิดพิพิธภัณฑ์โชว์ สู้วิกฤต LPG ค่าแรง 300

นายพนาสิน ธนบดีสกุล ประธานกรรมการบริหาร บ.ธนบดีอาร์ตเซรามิก ผู้ซึ่งสืบทอดรุ่นที่ 2 ของโรงงานเซรามิกเก่าแก่ที่จะมีอายุครบ 101 ปีในปี 2556 และเป็นผู้เริ่มต้นผลิตรูปลอกเซรามิกสีบนเคลือบแห่งแรกของภาคเหนือ จนมีชื่อเสียงในด้านผู้ผลิตเซรามิกของตกแต่งบ้านคุณภาพสูง ที่มีดีไซน์สวยงาม ส่งออกไปยัง 72 ประเทศทั่วโลก โดยมากสุดในทวีปยุโรป ยอมรับว่า ปี 56 ตนเองเห็นว่าธุรกิจเซรามิกจะต้องเจอปัญหาใหญ่แน่นอน ทั้งค่าก๊าซ LPG และค่าแรง 300 บาทต่อวันตามนโยบายของรัฐบาล         โดยเฉพาะโรงงานขนาดกลางจะประสบปัญหาและรอการปิดตัวจำนวนมากแน่นอน หากโรงงานไหนไม่มีอัตลักษณ์เป็นของตัวเองและมีลูกค้าประจำอยู่แล้วจะอยู่ลำบาก         ในส่วนของโรงงานธนบดีอาร์ตเซรามิก ตนได้เตรียมปรับตัวไว้แล้ว คือ ต้องมีการปรับราคาสินค้าขึ้นอย่างน้อย 10% และลดต้นทุนการผลิต แต่ยังยืนยันว่าจะไม่มีการปลดพนักงานซึ่งมีอยู่ 250 คน เพียงแต่หากมีพนักงานสมัครใจลาออกเองก็จะไม่รับเพิ่ม และเน้นปรับลดต้นทุนด้านขั้นตอนการผลิต พัฒนาทักษะของพนักงาน ไม่ลดคุณภาพ รวมถึงปรับลดต้นทุนด้านบรรจุภัณฑ์ และต้องนำเสนอจุดขายใหม่ๆ ให้แก่ลูกค้า          โรงงานได้มีแนวคิดในการจัดตั้งพิพิธภัณฑ์เซรามิกธนบดีขึ้น เพื่อเป็นจุดขายและดึงดูดนักท่องเที่ยวที่เข้ามาลำปาง ในปี 2556 กำหนดเริ่มเปิดตัวอย่างเป็นทางการในวันที่ 15 ม.ค. 56 แต่ในระยะนี้ได้เปิดให้เข้าชมได้พร้อมๆ กับการปรับปรุงและตกแต่งไปด้วย          สำหรับรูปแบบของพิพิธภัณฑ์จะมีทั้งหมด 4 ส่วน คือ ส่วนแรกจะเป็นส่วนของการแสดงประวัติศาสตร์ ผู้ก่อตั้งธนบดีเซรามิก ส่วนที่ 2 จะเป็นส่วนของประวัติของชามก๋าไก่ ซึ่งในส่วนนี้นักท่องเที่ยวยังจะได้ชมจุดไฮไลต์ คือ ความแปลกของชามไก่จิ๋วที่เล็กที่สุดในโลก มีเส้นผ่านศูนย์กลางเพียง 3 มิลลิเมตร ซึ่งเล็กกว่าเมล็ดข้าวเปลือก ที่จัดแสดงไว้ให้ชมด้วย โดยการผลิตชามตราไก่ที่เล็กที่สุดในโลก เล็กกว่าเมล็ดข้าวเปลือก ต้องใช้เวลาทำนานถึง 6 เดือน ต้องใช้ความสามารถของช่างฝีมือในการวาดลวดลายบนชาม เนื่องจากชามมีขนาดเล็กมาก นักท่องเที่ยวจะต้องชมผ่านกล้องขยายจึงจะมองเห็น         ส่วนที่ 3 จะเป็นส่วนของการสาธิตการผลิต และส่วนที่ 4 ผู้เข้าชมจะได้ชมเตาเผามังกรโบราณ ซึ่งเป็นเตาเผาเซรามิกที่เก่าแก่ที่สุด และกำลังอยู่ในระหว่างการขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานของกรมศิลปากร และในปี 2557 กรมศิลปากรจะได้นำงบประมาณเข้าทำการปรับปรุงบูรณะให้สมบูรณ์ต่อไป         ทั้งนี้ บริษัท ธนบดีอาร์ตเซรามิก จำกัด เป็นโรงงานผลิตเซรามิกเก่าแก่ที่สุดของจังหวัดลำปาง ในปี 2556 จะมีอายุครบ 101 ปีตามอายุของเจ้าของโรงงานผู้ก่อตั้งและบุกเบิกการนำดินขาวมาทำเซรามิก นั่นคือ นายอี้ แซ่ฉิน ซึ่งได้ค้นพบแร่ดินขาวครั้งแรกที่บ้านปางคำ อำเภอแจ้ห่ม จังหวัดลำปาง และได้ร่วมก่อตั้งโรงงานเซรามิกแห่งแรกของจังหวัดลำปาง เพื่อผลิตชามตราไก่ส่งขายไปทั่วประเทศสร้างรายได้และชื่อเสียงให้แก่จังหวัดลำปางจนถึงปัจจุบันนี้         แม้ที่ผ่านมาสินค้าส่วนใหญ่ของโรงงานแห่งนี้จะส่งจำหน่ายต่างประเทศถึง 70% และจำหน่ายในประเทศ 30% ก็ตาม แต่ก็ได้ผลิตสินค้าที่เป็นเอกลักษณ์ ที่ได้รับการยอมรับจากระดับสากล นอกจากนี้ยังมีเรื่องราวที่น่าสนใจในด้านของประวัติศาสตร์ความเป็นมา เนื่องจากโรงงานแห่งนี้ถือเป็นจุดกำเนิดของเซรามิกลำปางก็ว่าได้ ผู้จัดการออนไลน์ วันที่ 8 มกราคม 2556

ร.ฟ.ท. เตรียมย้ายหัวลำโพงไปบางซื่อ ก่อนทำเป็นพิพิธภัณฑ์

วันนี้ (7 มกราคม) นายประภัสร์ จงสงวน ผู้ว่าการการรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) เปิดว่า ขณะนี้ทาง ร.ฟ.ท. จะเร่งดำเนินการปรับปรุงสถานีรถไฟกรุงเทพฯ (หัวลำโพง) ใหม่ ให้มีความสะอาด และเป็นระเบียบมากขึ้น โดยจะเรียกบริษัท ไทยนครพัฒนา ซึ่งเคยเป็นบริษัทรับสัญญาบริการพื้นที่สถานีรถไฟก่อนหน้านี้ แต่ในปัจจุบัน ร.ฟ.ท. กับบริษัทไทยพัฒนาหมดสัญญากันแล้ว จึงได้หารือกันเพื่อปรับปรุงเงื่อนไขและผลตอบแทนต่าง ๆ ให้สอดคล้องกับแผนย้ายการเดินรถทั้งหมดไปอยู่ที่สถานีบางซื่อแทน สำหรับสถานีหัวลำโพง ก็จะปรับเป็นพิพิธภัณฑ์แทน ซึ่งคาดว่าจะดำเนินการภายใน 10 ปีนี้ และทาง ร.ฟ.ท. ก็ยินดีมากหากทางบริษัท ไทยนครพัฒนา จะพัฒนาปรับปรุงให้ในช่วงเวลาสัญญาที่เหลือ แต่ถ้าไม่ทำ ร.ฟ.ท. ก็จะเข้าไปทำแทน โดยจะจัดพื้นที่ภายในสถานีใหม่ให้เหมาะสมและสะอาด โดยปรับย้ายพื้นที่ขายของ และห้องน้ำใหม่ นายประภัสร์ กล่าวต่อว่า ตอนนี้หัวลำโพงทรุดโทรมมาก ที่ผ่านมาบริษัทไม่ได้ปรับปรุงอะไรเลย ปล่อยไปตามสภาพซึ่งตนจะให้มันเป็นไปแบบนี้ต่อไปไม่ได้ ต้องจัดพื้นที่ใหม่ วางผังร้านค้าให้เป็นระเบียบมากขึ้น และจะย้ายห้องน้ำจากจุดเดิมที่คับแคบปรับปรุงใหม่ทั้งหมด   ขณะที่ นายจรัสพันธ์ วัชโรทัย ผู้อำนวยการฝ่ายการเดินรถ ร.ฟ.ท. กล่าวว่า ร.ฟ.ท. ได้จ้างสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง มาศึกษาการพัฒนาพื้นที่หัวลำโพงหลังจากย้ายการเดินรถไปที่บางซื่อ โดยได้แผนแม่บทการพัฒนาทั้งตัวสถานีและพื้นที่ย่านสถานีประมาณ 121 ไร่ มูลค่ากว่า 3 หมื่นล้านบาท ออกเป็น 3 ส่วน คือ             - ตัวสถานีปรับปรุงเป็นพิพิธภัณฑ์และมีพื้นที่สำหรับแสดงนิทรรศการ             - ย่านสถานีจะพัฒนาเป็นศูนย์การค้า โรงแรม ที่พักอพาร์ทเม้นท์             - ก่อสร้างอาคารสำนักงาน ร.ฟ.ท. แห่งใหม่ โดยจะมีการพัฒนาภายหลังจากสถานีกลางบางซื่อก่อสร้างเสร็จ หรืออีกประมาณ 2-3 ปี        อย่างไรก็ตาม สถานีรถไฟหัวลำโพงจะยังให้บริการเดินรถอยู่อีกอย่างน้อย 4-5 ปี และจะมีการเร่งปรับปรุงความสะอาด พร้อมย้ายห้องน้ำใหม่ โดยจะเชิญบริษัท ไทยนครพัฒนา มาเจรจาในเรื่องการลงทุนและผลประโยชน์ตอบแทนใหม่ ก่อนพิจารณาต่อสัญญาหรือไม่ เนื่องจากต้องคำนึงถึงผลกระทบต่อแผนพัฒนาหัวลำโพงในอนาคตด้วย เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

ทำความรู้จักพิพิธภัณฑ์รักร้าวแห่งโครเอเชีย : ศูนย์รวมความทรงจำแสนปวดใจ

เมื่อพูดถึงคำว่า “พิพิธภัณฑ์” และคำว่า “พิพิธภัณฑสถาน” ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2525 ของไทยมีความหมายโดยรวมๆ ว่าเป็น “สถาบันถาวรที่ใช้สำหรับเก็บรวบรวมและแสดงสิ่งต่างๆ ที่มีความสำคัญทั้งทางด้านวัฒนธรรมหรือด้านวิทยาศาสตร์ โดยมีความมุ่งหมายเพื่อให้เป็นประโยชน์ต่อการศึกษาเล่าเรียน และก่อให้เกิดความเพลิดเพลินใจ” ขณะที่ คำว่า “museum” ในภาษาอังกฤษนั้น พจนานุกรมภาษาอังกฤษฉบับต่างๆ ก็ได้อธิบายขยายความเอาไว้ในทำนองเดียวกันว่า เป็น “สถานที่สำหรับสะสมหรือรวบรวมสงวนรักษาสิ่งของซึ่งมีความสำคัญ มีคุณค่าทางศิลปวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และธรรมชาติวิทยา ตลอดจนเป็นหลักฐานแสดงถึงปรากฏการณ์ทางธรรมชาติและความอัจฉริยะของมนุษย์”   อย่างไรก็ดี การถือกำเนิดขึ้นของพิพิธภัณฑ์แห่งหนึ่งภายในกรุงซาเกร็บ ซึ่งเป็นนครหลวง และเมืองที่ใหญ่ที่สุดของสาธารณรัฐโครเอเชีย ทางตะวันออกเฉียงใต้ของทวีปยุโรป อาจทำให้ความหมายหรือนิยามของคำว่า “พิพิธภัณฑ์” หรือ “museum” ตามแบบเดิมๆ ที่เรารับรู้กันมา มีอันต้องเปลี่ยนแปลงไปพอสมควร         พิพิธภัณฑ์แห่งดังกล่าวที่ตั้งอยู่ในกรุงซาเกร็บของโครเอเชียใช้ชื่อที่แสนเรียบง่าย แต่สะดุดหูว่า “Museum of Broken Relationships” หรือพิพิธภัณฑ์แห่งความสัมพันธ์ที่แตกสลายพังทลายนั่นเอง และเชื่อหรือไม่ว่า ในขณะนี้พิพิธภัณฑ์ที่เป็นอนุสรณ์แห่งรักร้าวนี้กลายเป็นหนึ่งในแหล่งท่องเที่ยวที่ฮอตฮิตติดลมบนที่สุดของดินแดนโครแอต ถึงขั้นที่ว่า “Lonely Planet” ผู้ผลิตหนังสือคู่มือด้านการท่องเที่ยว และสื่อดิจิตอลเกี่ยวกับการท่องเที่ยวรายใหญ่ที่สุดของโลกซึ่งมีฐานอยู่ที่นครเมลเบิร์นของออสเตรเลียต้องระบุว่า หากนักท่องเที่ยวรายใดที่เดินทางมาเยือนกรุงซาเกร็บ แต่ยังไม่ได้เข้าชมพิพิธภัณฑ์ดังกล่าว ก็เหมือนกับยัง “มาไม่ถึง” เมืองหลวงของโครเอเชียนั่นเอง         พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ซึ่งมีชื่อในภาษาโครเอเชียนว่า “Muzej prekinutih veza” ถูกก่อตั้งโดย โอลินกา วิสติกา ผู้สร้างภาพยนตร์สาว และดราเซน กรูบิซิช ประติมากรหนุ่มแห่งกรุงซาเกร็บ หลังจากที่ทั้งคู่ตัดสินใจที่จะยุติความสัมพันธ์ในฐานะคู่สามี-ภรรยาที่ดำเนินมานานกว่า 4 ปีลงเมื่อปี ค.ศ. 2003 ทั้งคู่ตัดสินใจที่จะนำเอาสิ่งของเครื่องใช้ต่างๆ ที่เคยเป็นสัญลักษณ์แห่งชีวิตคู่อันหวานชื่นของพวกเขาซึ่งกลายเป็นอดีตไปแล้ว มารวบรวมและจัดแสดง แทนที่จะปล่อยทิ้งไว้อย่างสูญเปล่าในห้องเก็บของ   นอกจากนั้น โอลินกาและดราเซนซึ่งเปลี่ยนสถานะจาก “คู่รัก” กลายเป็น “เพื่อนสนิท” ยังได้เริ่มติดต่อญาติสนิทมิตรสหายรอบตัวที่เคยผ่านการหย่าร้างหรือผิดหวังในความรักมาก่อนให้ช่วยนำสิ่งของต่างๆ ที่กลายเป็น “ขยะความรัก” มาบริจาคเพิ่มเติม จนกระทั่งจำนวนสิ่งของสำหรับจัดแสดงเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและสามารถเปิดให้สาธารณชนเข้าชมได้เป็นครั้งแรกเมื่อปี 2006         ในระยะแรกของการก่อตั้งพิพิธภัณฑ์รักร้าวนี้ยังมีสถานะเป็นเพียง “นิทรรศการเคลื่อนที่” ที่มีการตระเวนไปจัดแสดงตามประเทศต่างๆ ทั่วโลกไม่ว่าจะเป็นเยอรมนี มาเซโดเนีย บอสเนีย-เฮอร์เซโกวินา ตุรกี อาร์เจนตินา สิงคโปร์ ฟิลิปปินส์ สโลวีเนีย เซอร์เบีย แอฟริกาใต้ สหราชอาณาจักรและสหรัฐอเมริกาโดยยังไม่มีที่ทำการถาวรนานถึง 5 ปี ระหว่างปี 2006-2010         แต่ถึงกระนั้นการจัดแสดงของโอลินกาและดราเซนก็ได้รับผลตอบรับเป็นอย่างดีจากจำนวนผู้เข้าชมในประเทศต่างๆรวมกันมากกว่า 200,000 คน และในทุกประเทศที่พวกเขาเดินทางไป ยังได้รับบริจาคสิ่งของที่เป็นอนุสรณ์ของความผิดหวังด้านความรักเพิ่มมาอีกจำนวนมาก จนนำไปสู่ความคิดในการหาสถานที่ถาวรสำหรับจัดแสดงสิ่งของเครื่องใช้เหล่านี้ ซึ่งในที่สุดโอลินกาและดราเซนได้ตัดสินใจลงทุนด้วยเงินเก็บส่วนตัวของแต่ละคนเพื่อเช่าอาคารขนาดเนื้อที่ 300 ตรางเมตร (3,200 ตารางฟุต) กลางกรุงซาเกร็บ และทำการเปิดตัวพิพิธภัณฑ์อย่างเป็นทางการไปเมื่อเดือนตุลาคม 2010 ซึ่งพิพิธภัณฑ์ดังกล่าวซึ่งเปิดให้บริการ 7 วันต่อสัปดาห์ก็ได้กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมภายในเวลาอันรวดเร็ว “ex-axe” ที่ได้รับบริจาคมาจากสตรีรายหนึ่ง ในกรุงเบอร์ลินของเยอรมนี   เมื่อเดือนพฤษภาคมปีที่แล้ว “Museum of Broken Relationships” แห่งนี้ได้รับรางวัล “เคนเน็ธ ฮัดสัน อวอร์ดส์” ซึ่งเป็นรางวัลที่ถูกระบุว่า ยิ่งใหญ่ที่สุดในวงการพิพิธภัณฑ์โลกจากที่ประชุมพิพิธภัณฑ์ยุโรป (EMF) ในฐานะพิพิธภัณฑ์ดีเด่นด้านนวัตกรรม         สำหรับผู้ที่มีโอกาสเดินทางไปเยือนพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ หนึ่งในสิ่งของเครื่องใช้ที่ถือเป็น “ไฮไลต์” ชิ้นสำคัญที่ไม่ควรพลาดชมคือ ขวานเล่มหนึ่งที่ถูกตั้งชื่อว่า “ex-axe” ที่ได้รับบริจาคมาจากสตรีรายหนึ่ง ในกรุงเบอร์ลินของเยอรมนี โดยขวานเล่มนี้อดีตเจ้าของของมันเคยใช้ในการทำลายเฟอร์นิเจอร์และของใช้ต่างๆ ของแฟนหนุ่มจนกระจุยกระจาย หลังจากที่เธอทราบว่าตนเองถูกคนรักหนุ่มทิ้งไปอยู่กับผู้หญิงอื่น         การถือกำเนิดของพิพิธภัณฑ์แห่งความรักที่ไม่สมหวังในประเทศโครเอเชียนี้ นอกจากจะเป็นการนำเอาบรรดาสิ่งของเครื่องใช้ที่เป็น “เศษซากของความรัก” ที่เคยหอมหวานมาจัดแสดงแทนการปล่อยทิ้งไปอย่างไร้ค่าแล้ว ในอีกด้านหนึ่งยังช่วยสะกิดเตือนใจใครต่อใครให้หันมาใส่ใจกับคนรักและครอบครัวของตัวเองให้มากขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป เพราะไม่แน่ว่า สักวันหนึ่งของที่เคยเป็นสิ่งแทนใจในความรักของเรา อาจต้องกลายไปเป็นส่วนหนึ่งในพิพิธภัณฑ์ของโอลินกาและดราเซนก็เป็นได้ โอลินกา วิสติกา ผู้สร้างภาพยนตร์สาว และดราเซน กรูบิซิช ประติมากรหนุ่ม ผู้ก่อตั้งพิพิธภัณฑ์ ผู้จัดการออนไลน์ วันที่ 22 ธันวาคม 2555

เชียงใหม่เปิด"หอประวัติศาสตร์-พิพิธภัณฑ์พื้นถิ่นฯ"แหล่งท่องเที่ยวทรงคุณค่า

เมื่อเวลา 16.00 น. วันที่ 18 ธันวาคม 2555  ที่ผ่านมา นายธานินทร์ สุภาแสน ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ พร้อมนายบุญเลิศ บูรณุปกรณ์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงใหม่ และนายทัศนัย บูรณุปกรณ์ นายกเทศมนตรีนครเชียงใหม่ ร่วมกันเปิดอาคาร หอประวัติศาสตร์เมืองเชียงใหม่ และพิพิธภัณฑ์พื้นถิ่นล้านนา บริเวณภายในหอศิลปวัฒนธรรมเมืองเชียงใหม่ และศาลแขวงเดิม ซึ่งตั้งอยู่ใกล้กับอนุสาวรีย์สามกษัตริย์ อ.เมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ ท่ามกลางผู้แทนเจ้านายฝ่ายเหนือ หัวหน้าส่วนราชการในพื้นที่เข้าร่วมงานอย่างคับคั่ง ภายใต้บรรยากาศแบบล้านนา กาดหมั้วคัวฮอม   ทั้งนี้  หอประวัติศาสตร์เมืองเชียงใหม่ ตามหลักฐานระบุว่า เป็นส่วนหนึ่งของหอแก้ว ศาสนาสถานสำคัญของเมืองเชียงใหม่ ภายในจัดแสดงนิทรรศการเรื่องราวทางประวัติศาสตร์นับแต่การสร้างเมืองเชียงใหม่ จนกลายเป็นศูนย์กลางของอาณาจักรล้านนาที่ขยายอาณาเขตออกไปอย่างกว้างขวาง รุ่งเรืองด้านการค้า ศาสนา และศิลปวัฒนธรรม ก่อนเข้าสู่ยุคสมัยที่เชียงใหม่อ่อนแอและตกเป็นเมืองขึ้นของพม่า การต่อสู้จนได้มาซึ่งอิสรภาพ มีการจำลองภาพวัดอุโมงค์ สะพานนวรัฐ และภาพทางประวัติศาสตร์ที่หาชมได้ยาก   ส่วนพิพิธภัณฑ์พื้นถิ่นล้านนา แสดงนิทรรศการเกี่ยวกับการดำเนินชีวิตของผู้คนในล้านนา ศิลปะที่ปรากฎในงานพุทธศิลป์ เครื่องใช้ทางพิธีกรรม สถาปัตยกรรม ประเพณี งานจิตรกรรม และงานหัตถศิลป์ของล้านนาในอดีต บ่งบอกถึงความหลากหลายที่สืบทอดกันมาเนิ่นนานจนถึงปัจจุบัน   นายธานินทร์ กล่าวว่า ภายในตัวอาคารทั้งสองแห่งมีความสวยงามด้วยเนื้อหาและเรื่องราวที่นำเสนอผ่านมุมมองที่หลากหลาย จึงอยากให้คนเชียงใหม่และนักท่องเที่ยวได้เข้ามาชื่นชม เพราะบอกเล่าถึงตัวตนและที่มาของอดีตที่นำมาสู่ปัจจุบันของเมืองเชียงใหม่และชาวล้านนา ถือเป็นแหล่งเรียนรู้ทางประวัติศาสตร์และเป็นแหล่งท่องเที่ยวแห่งใหม่ที่มีคุณค่าอย่างมาก    อย่างไรก็ตาม ทั้งหอประวัติศาสตร์เมืองเชียงใหม่ และพิพิธภัณฑ์พื้นถิ่นล้านนา เปิดให้ประชาชนทั่วไปเข้าชมในเวลา 08.30-17.00 น.ทุกวันอังคาร-วันอาทิตย์ (ไม่เว้นวันหยุดนักขัตฤกษ์) ยกเว้นวันจันทร์และวันหยุดเทศกาลสงกรานต์ เสียค่าเข้าชม ชาวไทย 20 บาท เด็ก 10 บาท ชาวต่างประเทศ 90 บาท เด็ก 40 บาท สนใจติดต่อสอบถามได้ที่หมายเลขโทรศัพท์ 053-217793 หรือ www.cmocity.com และ www.facebook.com/cmocity มติชนออนไลน์ วันที่ 19 ธันวาคม 2555