Total : 59 pages , Total amount : 1,870 Records , Total amount : 2 Resources.
Advance Search
เวสสันตรชาดก พระชาติสุดท้าย ในทศชาติชาดก ว่าด้วย พระเวสสันดรทรงบำเพ็ญทานบารมี ซึ่งแปลยกศัพท์ภาษาบาลีเป็นภาษาพม่า ศักราช จ.ศ. 1229 (พ.ศ. 2410) เดือน 12 แรม 6 ค่ำ สภาพของเอกสาร มีไม้ประกับ ฉบับลงรักปิดทองล่องชาด ที่มาเอกสาร ดร.อนาโตล เป็ลติเยร์มอบให้ รหัสเอกสารเดิม อักษรพม่า 32 บันทึกอื่น ๆ ตัวอักษรลงหมึกจางมาก
ปกหน้าจารอักษรไทยลงหมึกแดงว่า “ข้าพเจ้าพระทองศุขสร้างไว้ตั้งแต่วันที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2464 ขออุทิศกุศลอันนี้ไปให้แก่มารดา บิดา อันสู่ยังโลกโนนแล้ว นิพพาน ณ ปัจจะโยโหตุ ฯะ-ปีละกา” ต่อมามีจาร “พระทองศุข สร้างพระธรรมในศาสนา อุทิศกุศลไปให้แก่จีนบุญ นางสุด (บิดามารดา) และขอให้เป็นอุปนิสัยไปจนเข้าสู่พระนิพพาน”
สติปัฏฐานสูตร ว่าด้วยการเจริญสติปัฏฐาน ซึ่งเแปลยกศํพท์ภาษาบาลีเป็นภาษาพม่า ศักราช จ.ศ. 1226 (พ.ศ. 2407) เดือน 7 ขึ้น 10 ค่ำ วันจันทร์ สภาพของเอกสาร มีไม้ประกับ ฉบับปิดทองล่องชาด รหัสเอกสารเดิม อักษรพม่า 23 บันทึกอื่น ๆ ตัวอักษรลงหมึกจางมาก ที่มาเอกสาร ดร.อนาโตล เป็ลติเยร์มอบให้
หน้าต้น ระบุ “หน้าทับเค้า สมภมิตร แลนายเหย ıı๛”,
วรรณคดีเรื่องนี้มีชื่อเรียกหลายชื่อ เช่น เตภูมิกถา ไตรภูมิกถา ไตรภูมิวินิจฉยกถา ไตรภูมิโลกวินิจฉัย ไตรโลกวินิจฉยกถา และไตรภูมิฉบับหลวง เป็นต้น ปัจจุบันในวงการวรรณคดีเรียกว่า ไตรภูมิโลกวินิจฉยกถา เพื่อให้ต่างจากไตรภูมิกถาฉบับพญาลิไท ช่วงเวลาที่มีการแต่งไตรภูมิโลกวินิจฉยกถาขึ้นนั้นยังไม่พบไตรภูมิกถาฉบับพญาลิไท ทั้งสองฉบับมีเนื้อความคล้ายกัน แต่ไตรภูมิโลกวินิจฉยกถามีความละเอียดมากกว่า ไตรภูมิโลกวินิจฉยกถามุ่งจะอธิบายพระพุทธคุณในส่วนที่ได้ชื่อว่า “โลกวิทู” ซึ่งหมายถึงการรู้โลกของพระพุทธองค์ ได้แก่ สังขารโลก สัตตโลก และโอกาสโลก โดยแสดงละเอียดเฉพาะส่วนที่เรียกว่า โอกาสโลก ซึ่งได้แก่แผ่นดิน จักรวาลเป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์โลกทั้งปวง รวมถึงดวงอาทิตย์ดวงจันทร์เนื้อความของไตรภูมิโลกวินิจฉยกถา แบ่งออกเป็น 8 ภาค คือ โอกาสวินาสโลกกถา โอกาสสัณฐาหนโลกกถา นิริยโลกกถา เปตโลกกถา ติรัจฉานโลกกถา มนุสสโลกกถา เทวโลกกถา พรหมโลกกถา สภาพเอกสารชำรุดมากเหลือเพียงเล็กน้อยในส่วนที่เป็นภาพวาดเท่านั้น
สมุดภาพลายไทยต่าง ๆ ภาพสัตว์หิมพานต์ ลายแทงหยวก ฯลฯ
หน้าทับต้น เขียนอักษรธรรมล้านนาด้วยปากกาเมจิกสีดำ “สมุทฺทโฆโสชาตกํ ผูกเดียว” ท้ายลาน ระบุ “สมุทฺทโฆโสชาตกํ นิฏฺฐิตํ กิริยาอันกล่าวยังสมุทรโฆษชาดกก็แลเท่านี้ก่อนแล ฯฯ๛ หน้าทับเค้าพุทธโฆโส ผูกเดียวแล แลนายเหย รัสสภิกขุปูก เป็นศรัทธาเขียน ลลล รัสสภิกขุรีด เป็นศรัทธาใบลานถวาย พี่ปูกเขียนยามเมื่ออยู่วัดดอนมะโก ใจบ่ตั้ง มือบ่เที่ยง เพราะเพิ่งไปตอดห[า]ปลา ข้าพเจ้าหันสาวบ้านขอกฝายแลเหย อิเลยเคยคาย สาวบ้านเขาฝ้ายตกน้ำแม่ ขูดเงย บุญมาเงย บุญมีเงย ข้าเขียนบ่ดีตัวบ่งามสักหน้อยแลเจ้าที่ไหว้เหย ที่ตกก็ตกแล ที่ผิดก็ผิด รัสสภิกขุองค์ใดเทศนาก็ค่อยพิจารณาดูจิ่ม คันตกทัดใด ใส่หื้อจิมเนอ ๛ บ่เคยเขียนสักคำเทื่อเลย บ่เคยแท้แท้หนา XXXXX หนังสือพุทธโฆโสแลมาแต่บ้านวัดดอนทะโกแล ม่วนอาละแล ๛”
หน้าต้น เขียนอักษรไทย ด้วยปากกาลูกลื่นสีน้ำเงิน “สัพพะสอน สัพพะสอน” ลานแรก หัวลาน ระบุ “สัะพะสอน” ท้ายลาน ระบุ “กริยาอันกล่าวห้องสรรพสอน มีผูกเดียว ก็สมเร็จเสด็จแล้วเท่านี้ก่อนแล ฯฯ๛ จบแล้วท่านเหย ยังมีศรัทธาชายจัน กับนางธอง (ทอง?) ก็พร้อมกับด้วยลูกเต้าชู่ผู้ชู่คน หาได้ยังใบลานมาหื้อภิกขุซึง เขียนก็ก็พร้อมกับด้วยญาติพี่น้องชู่ผู้ชู่คน ขอเดชกุศลอันได้สร้างธรรมสรรพสอน กับนิพพานสูตร กับพระธรรมจอง กับอนุโลกศาสนา อันนี้หื้อเป็นอุปนิสัยแก่พระนิพพานแก่ข้าพระเจ้าด้วยเถิด”
คำว่า “แจง” แปลว่า ขยายความ กระจายความ ใช้เรียกการเทศน์สังคายนาหรือเทศน์สอบทานพระธรรมวินัยโดยเฉพาะในการทำสังคายนาครั้งที่ 1 นิยมเรียกการเทศน์ในลักษณะนี้ว่า “เทศน์แจง” ดังนั้น “การเทศน์แจง” คือการเทศน์เรื่องการทำสังคายนาครั้งแรกในพระพุทธศาสนา เนื้อหาของการเทศน์แจงคือขยายความข้อธรรมและข้อวินัยในพระธรรมปิฎกโดยย่อพอให้เป็นกริยาบุญ นิยมเทศน์ในงานศพของผู้ใหญ่ โดยถือว่าการเทศน์แจงเป็นบุญใหญ่ เป็นการรักษาพระธรรมวินัยไว้ เป็นการเลียนแบบการทำสังคายนาครั้งแรก ซึ่งมีผลทำให้รักษาพระพุทธศาสนาไว้ได้ตราบเท่าทุกวันนี้ “การสวดแจง” ก็คือการสวดสาธยายพระวินัย พระสูตรและพระอภิธรรมโดยย่อโดยนิยมสวดในงานฌาปนกิจ อ้างอิง เทศน์แจง-สวดแจง. ข้อมูลจาก https://cybervanaram.net/index.php?option=com_content&view=article&id=776:2012-06-29-02-30-52&catid=5:2009-12-17-14-44-06&Itemid=14 ภาพประกอบ : หน้าปกลงรักปิดทองลายดอกพิกุล ภาพวาดลงสีสวยงาม รหัสเอกสารเดิม : เลขทะเบียนเดิม 27
สวัสดิรักษาคำกลอน แต่งโดยสุนทรภู่ ในสมัยรัชกาลที่ 2 เป็นคำสอนชายไทยชั้นสูง ให้แนวทางประพฤติปฏิบัติในชีวิตประจำวันและในการรบ ทั้งที่เป็นข้อห้ามและข้อควรปฏิบัติ ทั้งการปฏิบัติต่อตนเองและการมี ปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น แนวทางปฏิบัติทุกประการล้วนมุ่งรักษา “สิริ” อันจะทำให้เกิดสวัสดิมงคลแก่ตนเอง เพื่อให้ประสบแต่สิ่งดีงามและส่งผลสู่เชื้อสายวงศ์ตระกูลอีกด้วย คำสอนนั้นเริ่มตั้งแต่การปฏิบัติตนเมื่อตื่นนอนตอนเช้าจนกระทั่งเข้านอนโดยมุ่งหวังให้เกิดสิริมงคลด้วยการปฏิบัติตนในแต่ละวัน ตามลำดับกาลเทศะและเหตุการณ์อย่างเหมาะสม เช่น เมื่อตื่นนอนในตอนเช้า ต้องไม่โกรธ ให้หันหน้าไปทางทิศตะวันออกและทิศใต้ เสกน้ำด้วยพระธรรมคาถา รำลึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ แล้วจึงล้างหน้าโดยเริ่มกล่าววาจาที่ดีก่อนก็จะบังเกิดความยั่งยืนเพิ่มพูนศักดิ์ศรีอันประเสริฐเพราะยามเช้าราศีสถิตอยู่ที่ใบหน้า เวลากลางวันนั้นราศีสถิตที่ลำตัวให้อาบน้ำและประพรมด้วยน้ำหอมที่อกก็จะมีสุขสำราญไร้โรค ส่วนในเวลาค่ำนั้นราศีสถิตที่เท้าจึงควรล้างเท้าทั้งสองให้สะอาดและห้ามมิให้สตรีข้ามเท้า เวลากินอาหารให้หันหน้าไปทางทิศตะวันออก จะทำให้มีอำนาจและอายุยืน หากหันหน้าไปทางทิศใต้ จะมีคนรักใคร่ไปมาหาสู่มิได้ขาด ถ้าหันหน้าไปทางทิศตะวันตกจะมีความสุขและมียศ ความทุกข์จะบรรเทาลง ห้ามหันหน้าไปทางทิศเหนือซึ่งเป็นทิศที่ร้าย จะทำให้ถึงสิ้นชีวิตหรือทำให้อายุสั้นลง ข้อมูลจากฐานข้อมูลนามานุกรมวรรณคดีไทย https://www.sac.or.th/databases/thailitdir/detail.php?meta_id=245
หน้าต้น ระบุ “หน้าต้น วิชชานสูตร แลนายเหย” ท้ายลาน ระบุ “สฬากริวิชฺชาสุตฺตํ กริยาอันกล่าวห้องสังวรรณนาอันแก้ไขมายังสฬากริวิชชาสูตรอันมีในทิพมนต์ ก็แล้วเท่านี้ก่อนแล ฯฯı๛ เสด็จแล้วแล้วยามเมื่อจวนอยา[ก]เพล เวลานาฬิกา ๔ โมงกว่าแล้ว จบบริบูรณ์ เดือน ๔ แรม ๑๔ พร่ำว่าได้วันภะหัส ปีจอ จัตวาศก ตกอยู่ในคิมหันต์ฤดู เดือน ๔ พุทธศักราชล่วงได้ ๒๔๖๔ พระวัสสา รัสสภิกขุภอย บ้านห่าง เขียนหื้อโยมคำบ้านมะโก ไว้ในศาสนา ขอหื้อเพิ่นได้ดั่งใจเจตนา น ปจฺจโย โหตุ เม จบ ฯฯı๛”
หน้าต้น เขียนอักษรไทย ด้วยปากกาสีน้ำเงิน “หนังสือสืบจะตาบ้านเมือง” หน้ารอง เขียนอักษรไทย ด้วยดินสอ “นายเธิง” ท้ายลาน ระบุ “สฬากริวิชฺชาสุตฺตํ นิฏฺฐิตํ กริยาสังวรรณนาอันแก้ไขยังสฬากริวิชชาสูตร อันมีในทิพมนต์ผูกเดียว ก็สมเร็จเสด็จบรมวลควรแก้ไขในกาลเท่านี้ก่อนแล ฯ ฯ ๛ นายเหย ฯ”
หน้าต้น เขียนอักษรธรรมล้านนา ด้วยปากกาลูกลื่นสีน้ำเงิน “(สลากริวิซาสุฑและ)” และอักษรไทย “(เก็บมาจากวัดทุ่งตาล) ข้าพเจ้าได้อ่านทานดูแล้วน่าใช้ได้ พระกิตติปาโล (ปุย) XXXพันธ์” ลานแรก หัวลาน ระบุ “วิชานสูตรแล” ท้ายลาน ระบุ “สฬากริวิชฺชาสุตฺตํ นิฏฺฐิตํ กริยาสังวรรณนาอันแก้ไขยังสฬากริวิชชาสูตรอันมีในทิพมนต์ผูกเดียว ก็สมเร็จเสด็จบรมวลควรแก่กาลเท่านี้ก่อนแล ก็สมเร็จแล้วเดือน ๓ แรม ๗ ค่ำ พร่ำว่าได้วัน ๗ แลนายเหย เสด็จแล้วยามเมื่อจักใกล้ค่ำ ข้าขอกุศลนาบุญอันนี้ไปรอดไปเถิงบิตตามาดาครูบาอุปัชฌาย์อาจารย์แห่งข้านี้ชู่ผู้ชู่คนแด่เทอะ ส่วนว่าตนตัวข้านี้ขอสุข ๓ ประการ มีนิพพานเป็นที่แล้วเข้าสู่เวียงแก้วเวชไชย ขออย่าหื้อมีโรคาพยาธิเยื่องใด ข้าขอกุศลนาบุญอันนี้ไปได้ขวางหม้า (ควรเป็น หน้า) หับทับอบายภูมิทั้ง ๔ ขออย่าหื้อได้พบได้หันข้าขอหื้อได้พบพระอริยเมตไตยตนจักมาเกิดภายหน้านี้ จุ่งจักมีเที่ยงแท้ดีหลี คันว่ายังเวียนว่ายอยู่ในวัฏสงสารนี้อย่าหื้อได้ทุกได้ยากลำบากเหมือนชาตินี้เลย ธุวํ ธุวํ นิจฺจํ นิจฺจํ แก่ข้าเทอะ ตนตัวข้าเขียน ชื่อว่า รัสสภิกขุเตา เขียนปางเมื่ออยู่วัดนครบาลแล” (ตัวเอียง เป็นตัวเลขไทย)
หน้าต้น ระบุ “หน้าทับเค้า วิชาสูตร โยมไผ สร้างไว้ค้ำชูศาสนาพระโคตมเจ้าตราบต่อเนื่องอริยเมตไตย ขอมีความสุข ๓ ประการ มีนิพพานเป็นยอดแด่เทอะ ๛” ลานแรก หัวลาน ระบุ “หน้าทับเค้า นิพพานสูตร” เขียนอักษรธรรม ด้วยปากกาลูกลื่นสีดำ “วิชานสูต วิชานสูต” ท้ายลาน ระบุ “สฬากริวิชฺชาสุตฺตํ นิฏฺฐิตํ กริยาสังวรรณนาอันกล่าวแก้ไขยังสฬากริวิ[ชชา]สูตร อันมีในทิพมนต์ผูกต้น ก็สมเร็จเสด็จบรมวลควรแก่กาลเท่่านี้ก่อนแล ๛
หน้าต้น เขียนอักษรไทย ด้วยปากกาลูกลื่นสีน้ำเงิน “หนังสืบจะตาบ้านเรือน” ท้ายลาน ระบุ “สฬากริวิชฺชาสุตฺตํ กริยาอันกล่าวสังวรรณนาอันแก้ไขยังสฬากริวิชชาสูตร อันมีในทิพมนต์ ก็สมเร็จเสด็จแล้วเท่านี้ก่อนแล ะ๛” / เขียนอักษรไทย ด้วยปากกาเมจิกสีน้ำเงิน “จบแล้วนะพระคุณเจ้าข้า ขอความสวัสดีแก่ท่านผู้อ่านทุกๆ รูปเถิด นิพพานะ ปัจจะโย โหตุ”
อานิสงส์ ฉลองเผวด และฉลองข้าวพันก้อน
ฉลองสังขาร ฉลองพันชิ้น อานิสงส์