เอกสารโบราณในประเทศไทย

Manuscripts of Thailand

Total : 58 pages , Total amount : 1,845 Records , Total amount : 2 Resources.

กัณฑ์ทศพร
วัดเจ็ดริ้ว กัณฑ์ทศพร
SKN001-161กัณฑ์ทศพร
วรรณคดี

กัณฑ์ทศพร เป็นกัณฑ์ที่พระอินทร์ประสาทพรแก่พระนางผุสดี ก่อนที่จะจุติลงมาเป็นพระราชมารดาของพระเวสสันดร ภาคสวรรค์ พระนางผุสดีเทพอัปสรสิ้นบุญท้าวสักกะเทวราช สวามีทรงทราบจึงพาไปประทับยังสวนนันทวันในเทวโลก พร้อมให้พร 10 ประการ คือ ให้ได้อยู่ในปราสาทของพระเจ้าสิริราชแห่งนครสีพี ขอให้มีจักษุดำดุจนัยน์ตาลูกเนื้อ ขอให้มีคิ้วดำสนิท ขอให้พระนามว่าผุสดี ขอให้มีโอรสที่ทรงเกียรติยศเหนือ กษัตริย์ทังหลายและมีใจบุญ ขอให้มีครรภ์ที่ผิดไปจากสตรีสามัญ คือแบนราบในเวลาทรงครรภ์ ขอให้มีถันงามอย่ารู้ดำและหย่อนยาน ขอให้มีเกศาดำสนิท ขอให้มีผิวงาม และข้อสุดท้ายขอให้มีอำนาจปลดปล่อยนักโทษได้ ------------ เวสสันดรชาดก. จาก https://www.watbuddha.org/th/maha-vessantara-jataka/

กัณฑ์หิมวันต์
วัดเจ็ดริ้ว กัณฑ์หิมวันต์
SKN001-162กัณฑ์หิมวันต์

กัณฑ์ที่ 2 หิมพานต์ เมื่อพระนางผุสดี เทพอัปสรจุติจากสวรรค์ลงมาเกิดเป็นราชธิดาของพระเจ้ามัททราช ครั้นเจริญวัยก็มีสิริรูปงามสมตามที่ปรารถนาไว้ เมื่อมีพระชนมายุได้ 16 พรรษา ก็ได้รับอภิเษกให้เป็นมเหสีของพระเจ้าสัญชัยสิวิรัฐนคร แคว้นสีพีรัฐสมดั่งคำพระอินทร์นั้น ครั้งเมื่อทรงพระครรภ์ครบ 10 เดือน พระอินทร์ก็ทูลอาราธนาพระโพธิสัตว์มาจุติในครรภ์พระนาง ประสูติพระกุมาร วันหนึ่งพระนางผุสดี ทรงทูลขอพระราชาประพาสพระนคร เมื่อขึ้นสีวิกาเสลี่ยงทองเสด็จสัญจร ไปถึงตรอกทาง ของเหล่าพ่อค้าก็เกิดปวดพระครรภ์ และทรงประสูติพระราชาโอรสกลางตรอกนั้น พระราชกุมารจึงได้พระนามว่า "เวสสันดร" ในวันที่พระราชกุมารทรงประสูติ พญาช้างฉัททันต์ได้นำลูกช้างเผือกเข้ามาในโรงช้างต้น ช้างเผือกคู่เผือกคู่บารมี นั้นมีนามว่า "ปัจจัยนาเคนทร์" พระราชกุมารเวสสันดร ทรงบริจาคทานตั้งแต่ 4-5 ชันษา ทรงปลดปิ่นทองคำ และเครื่องประดับเงินทองแก้วเพชรให้แก่นางสนมกำนัลทั่วทุกคนถึง 9 ครั้ง เพื่อมุ่งหวังพระโพธิญาณภายภาคหน้า เมื่อทรงเจริญชันษาได้ 9 ปี ก็ทรงตั้งจิตอธิษฐานว่าจะบริจาคเลือดเนื้อ และดวงหทัย เพื่อมุ่งพระโพธิญาณ ในกาลข้างหน้าอย่างแน่วแน่ ครั้นถึงวัย 16 พรรษา ก็แตกฉานในศิลปวิทยา 18 แขนง ทรงได้ขึ้นครองราชย์ และอภิเษกกับพระนางมัทรี และมีพระโอรสกับพระธิดาพระนามว่า "ชาลีกุมาร" และ "กัณหากุมารี" อันหมายถึง ห่วงทองบริสุทธิ์ เวลาต่อมาเมืองกลิงครัฐเกิดกลียุค ฝนแล้งผิดฤดูกาลข้าวยากหมากแพงเป็นที่ยากเข็ญทุกข์ร้อนไปทั่ว ชาวนครมาชุมนุมร้องทุกข์หน้าวังกันแน่นขนัด พระเจ้ากลิงคราชจึงทรงถือศีล 7 วัน เพื่อขอบุญกุศลช่วย ทว่าฝนฟ้าก็ยังแล้งหนัก อำมาตย์จึงทูลให้ทรงขอช้างเผือกแก้วปัจจัยนาเคนทร์ของพระเวสสันดร ด้วยว่าพระเวสสันดรกษัตริย์สีพีรัฐนั้นขี่ช้างคู่บารมีไปหนใด ก็มีฝนโปรยปรายชุ่มชื้นไปทั่วแคว้น พระเจ้ากลิงคราชจึงส่ง 8 พราหมณ์ไปทูลขอช้างแก้วจากพระเวสสันดร เมื่อได้ช้างแก้วจากพระเวสสันดรแล้ว พราหมณ์ก็ขี่ช้างออกจากกรุง บรรดาชาวนคร เห็นช้างพระราชาก็กรูกันเข้าล้อม และตะโกนด่าทอจะทำร้ายพราหมณ์ทั้ง 8 คน แต่พราหมณ์ตวาดตอบว่า พระเวสสันดรพระราชทานช้างให้พวกตนแล้ว เมื่อพราหมณ์นำช้างแก้วไปถึงเมือง ฝนฟ้าก็โปรยปรายลงมาเป็นที่ยินดีทั้งแคว้น แต่ในกรุงสีพีนั้นกลับอลหม่าน มหาชนต่างมาชุมนุมที่หน้าพระลานร้องทุกข์พระเจ้ากรุงสัญชัยว่า พระเวสสันดรยกพระยาคชสารคู่บ้านเมืองให้คนอื่น ผิดราชประเพณี เกรงว่าอีกต่อไปภายหน้าอาจยกเมืองให้คนอื่นก็ได้ ขอให้เนรเทศพระเวสสันดรออกจากนครเถิด ---------- กัณฑ์หิมพานต์. จาก https://www.thaigoodview.com/library/teachershow/poonsak/mahachat/chadok_02.html  

กัณฑ์หิมวันต์
วัดเจ็ดริ้ว กัณฑ์หิมวันต์
SKN001-163กัณฑ์หิมวันต์
วรรณคดี

กัณฑ์ที่ 2 หิมพานต์ เมื่อพระนางผุสดี เทพอัปสรจุติจากสวรรค์ลงมาเกิดเป็นราชธิดาของพระเจ้ามัททราช ครั้นเจริญวัยก็มีสิริรูปงามสมตามที่ปรารถนาไว้ เมื่อมีพระชนมายุได้ 16 พรรษา ก็ได้รับอภิเษกให้เป็นมเหสีของพระเจ้าสัญชัยสิวิรัฐนคร แคว้นสีพีรัฐสมดั่งคำพระอินทร์นั้น ครั้งเมื่อทรงพระครรภ์ครบ 10 เดือน พระอินทร์ก็ทูลอาราธนาพระโพธิสัตว์มาจุติในครรภ์พระนาง ประสูติพระกุมาร วันหนึ่งพระนางผุสดี ทรงทูลขอพระราชาประพาสพระนคร เมื่อขึ้นสีวิกาเสลี่ยงทองเสด็จสัญจร ไปถึงตรอกทาง ของเหล่าพ่อค้าก็เกิดปวดพระครรภ์ และทรงประสูติพระราชาโอรสกลางตรอกนั้น พระราชกุมารจึงได้พระนามว่า "เวสสันดร" ในวันที่พระราชกุมารทรงประสูติ พญาช้างฉัททันต์ได้นำลูกช้างเผือกเข้ามาในโรงช้างต้น ช้างเผือกคู่เผือกคู่บารมี นั้นมีนามว่า "ปัจจัยนาเคนทร์" พระราชกุมารเวสสันดร ทรงบริจาคทานตั้งแต่ 4-5 ชันษา ทรงปลดปิ่นทองคำ และเครื่องประดับเงินทองแก้วเพชรให้แก่นางสนมกำนัลทั่วทุกคนถึง 9 ครั้ง เพื่อมุ่งหวังพระโพธิญาณภายภาคหน้า เมื่อทรงเจริญชันษาได้ 9 ปี ก็ทรงตั้งจิตอธิษฐานว่าจะบริจาคเลือดเนื้อ และดวงหทัย เพื่อมุ่งพระโพธิญาณ ในกาลข้างหน้าอย่างแน่วแน่ ครั้นถึงวัย 16 พรรษา ก็แตกฉานในศิลปวิทยา 18 แขนง ทรงได้ขึ้นครองราชย์ และอภิเษกกับพระนางมัทรี และมีพระโอรสกับพระธิดาพระนามว่า "ชาลีกุมาร" และ "กัณหากุมารี" อันหมายถึง ห่วงทองบริสุทธิ์ เวลาต่อมาเมืองกลิงครัฐเกิดกลียุค ฝนแล้งผิดฤดูกาลข้าวยากหมากแพงเป็นที่ยากเข็ญทุกข์ร้อนไปทั่ว ชาวนครมาชุมนุมร้องทุกข์หน้าวังกันแน่นขนัด พระเจ้ากลิงคราชจึงทรงถือศีล 7 วัน เพื่อขอบุญกุศลช่วย ทว่าฝนฟ้าก็ยังแล้งหนัก อำมาตย์จึงทูลให้ทรงขอช้างเผือกแก้วปัจจัยนาเคนทร์ของพระเวสสันดร ด้วยว่าพระเวสสันดรกษัตริย์สีพีรัฐนั้นขี่ช้างคู่บารมีไปหนใด ก็มีฝนโปรยปรายชุ่มชื้นไปทั่วแคว้น พระเจ้ากลิงคราชจึงส่ง 8 พราหมณ์ไปทูลขอช้างแก้วจากพระเวสสันดร เมื่อได้ช้างแก้วจากพระเวสสันดรแล้ว พราหมณ์ก็ขี่ช้างออกจากกรุง บรรดาชาวนคร เห็นช้างพระราชาก็กรูกันเข้าล้อม และตะโกนด่าทอจะทำร้ายพราหมณ์ทั้ง 8 คน แต่พราหมณ์ตวาดตอบว่า พระเวสสันดรพระราชทานช้างให้พวกตนแล้ว เมื่อพราหมณ์นำช้างแก้วไปถึงเมือง ฝนฟ้าก็โปรยปรายลงมาเป็นที่ยินดีทั้งแคว้น แต่ในกรุงสีพีนั้นกลับอลหม่าน มหาชนต่างมาชุมนุมที่หน้าพระลานร้องทุกข์พระเจ้ากรุงสัญชัยว่า พระเวสสันดรยกพระยาคชสารคู่บ้านเมืองให้คนอื่น ผิดราชประเพณี เกรงว่าอีกต่อไปภายหน้าอาจยกเมืองให้คนอื่นก็ได้ ขอให้เนรเทศพระเวสสันดรออกจากนครเถิด -------------- กัณฑ์หิมพานต์. จาก https://www.thaigoodview.com/library/teachershow/poonsak/mahachat/chadok_02.html  

กัปปิยะการะกะ (นิสสัยยะ) และขุททะสิกขา ปาฬิ
คอลเลกชั่นพิเศษของ ดร. อนาโตล เป็ลติเยร์ กัปปิยะการะกะ (นิสสัยยะ) และขุททะสิกขา ปาฬิ
SAC001-004กัปปิยะการะกะ (นิสสัยยะ) และขุททะสิกขา ปาฬิ
ธรรมคดี

กัปปิยะ หมายถึง สมควร ควรแก่สมณะบริโภค ของที่สมควรแก่ภิกษุบริโภคใช้สอย คือพระพุทธเจ้าอนุญาตให้ภิกษุให้หรือฉันได้ เช่น ข้าวสุก จีวร ร่ม ยาแดง เป็นกัปปิยะ กัปปิยะการก หมายถึง ผู้ที่ทำของสมควรแก่สมณะ ผู้ที่ทำหน้าจัดของที่สมควรแก่ภิกษุบริโภค ขุททสิกขา จัดอยู่ในคัมภีร์อนุฎีกา คือปกรณ์ที่พระอนุฎีกาจารย์ทั้งหลายแต่งแก้หรืออธิบายคัมภีร์ฎีกาให้เข้าใจมากขึ้น ซึ่งอนุฎีกานี้เป็นหลักฐานชั้น 4 รองจาก พระไตรปิฎก อรรถกา และฎีกา ศักราช จ.ศ. 1241 (พ.ศ. 2422) เดือน 5 แรม 5 ค่ำ วันเสาร์ สภาพของเอกสาร มีผ้าห่อ ไม้ประกับมีจารึก ขอบลานมีลวดลายตัดแต่ง ฉบับลานดิบ มีการร้อยใบลานหลายใบติดกันให้หนาขึ้นเพื่อทำเป็นตัวแบ่งบท มีรอยปลวกกิน รหัสเอกสารเดิม อักษรพม่า 6 ที่มาเอกสาร ดร.อนาโตล เป็ลติเยร์มอบให้

กายนคร
วัดใหม่นครบาล กายนคร
RBR003-355กายนคร
ธรรมคดี

หน้าแรก หัวลาน ระบุ “พระกายละคร” ท้ายลาน ระบุ “ลังสือไกรภูมิของหลวงตากา สร้างไว้ในพระศาสนา ขอให้ได้ดังความปรารถนา ขอให้ กุสล กุศลอันนี้ ผู้ข้าได้สร้างพระไตรภูมินี้ จงไปเถิงลูกเมียญาติกาทั้งทั้งหลาย ขอให้ได้เข้าสู่นิพพานพร้อมกันทุกตนทุกตน ก็ข้าเทอญ นิพฺพาน ปจฺจโย โหตุ ıı กับทั้งข้าพเจ้าผู้ริจนาด้วยกัน ๔ คน ท่านมีใหญ่ องค์ ๑ ท่านมีน้อย องค์ ๑ ขอให้เป็นญาติติดกันทุกชาติ ๆ ทั้งชาตินี้แลชาติหน้า ตราบเท่าเข้าสู่นิพพาน ขอให้ได้พบพระศรีอาริยเมตไตยเจ้า องค์จักมาโปรดสัตว์นำเข้าสู่พระมหานครนิรพาน นิพฺพาน ปจฺจโย โห โห แล้วแล เจ้าข้าเอย ıı๛”

กายนคร
วัดใหม่นครบาล กายนคร
RBR003-332กายนคร
ธรรมคดี

RBR_003_332 อยู่ใน “เลขที่ ๑๔๑ ตำนานพญาอินทร์, พระแก้วดอนเต้า, พญาจิตราช อักษรธรรมล้านนา ภาษาบาลี-ไทยล้านนา ฉบับทองทึบ, ล่องชาด, ลานดิบ ๙ ผูก” หน้าต้น ระบุ “๏ฯฯ หน้าทับเค้า กายพระนคร แแล ฯ ๛ ๏ รัสสภิกขุชม พร้อมกับด้วยโยมอยู่ โยมมาก สร้างไว้ในพระศาสนาแแล” / เขียนอักษรไทย ด้วยปากกาลูกลื่นสีน้ำเงิน “พระยาจิตตราช” ลานแรก หัวลาน เขียนอักษรไทย ด้วยดินสอ “วัดหน้า” และเขียนอักษรธรรมล้านนา “หน้า” ท้ายลาน ระบุ “กริยาอันกล่าวยังธรรมเทศนาอันชื่อว่า กายนคร ก็สมเร็จเสด็จแล้วเท่านี้ก่อนแแล ฯ ๛ นิพฺพาน ปจฺจโย โหตุ เม ธุวํ ธุวํ แก่ข้าเแด่เทอะ จบแล้วยามเมื่อบ่าย ๔ โมงค่ำ รัสสภิกขุชม สร้างไว้ปางเมื่อบวชเป็นภิกขุอยู่วัดดอนแจง ข้าขอกุศลนาบุญอันนี้ไปรอดพ่อแม่ พี่น้องชู่ผู้ชู่คนแด่เทอะ เพราะว่า อยากได้บุญเต็มที่เขียนบ่ดีสักน้อย ลางตัวก็ใหญ่ ลางตัวก็หน้อย ทุพี่องค์ใดได้เล่าผิดก็ใส่หื้อจิ่มเทอะ ฯะ๛”