วันว่าง
วันว่าง เป็นประเพณีสำคัญของชาวภาคใต้ คล้ายประเพณีสงกรานต์ของภาคอื่น ๆ แต่มีขนบในการปฏิบัติแตกต่างกันหลายลักษณะ ที่สำคัญคือต้องงดเว้นการเสาะหาเครื่องอุปโภคบริโภคเพื่อวันข้างหน้า ต้องว่างเว้นการซ้อมสีข้าวสาร เว้นการออกหากับข้าวปูปลา ผักหญ้า ห้ามไม่ให้อาบน้ำในแม่น้ำลำคลอง ห้ามตัดผมตัดเล็บ ตัดรานต้นไม้กิ่งไม้ห้ามฆ่าสัตว์บกสัตว์น้ำทุกชนิด ไม่กล่าวคำหยาบและด่าว่าลูกหลานหรือใครๆ ทั้งสิ้น ไม่เฆี่ยนดีลงโทษแก่สัตว์หรือคนห้ามขึ้นต้นไม้ (ยกเว้นผู้ที่ทำตาลโตนดหรือมะพร้าว) ในสมัยก่อนแม้แต่โจรผู้ร้ายก็ต้องงดเว้นการโจรกรรมในช่วงวันว่างต้องปล่อยสัตว์เลี้ยง เช่น วัว ควาย ให้หากินได้อย่างเสรีไม่มีการผูกล่าม นอกจากนี้ยังต้องประกอบการกุศล ทำบุญทำทานมีการตักบาตร ฟังเทศน์ฟังธรรม สรงน้ำพระพุทธรูป มีการแสดงความเมตตาปรานี ปล่อยนกปล่อยปลา ให้ทรัพย์สินแก่ผู้เยาว์ ไม่ทำอารมณ์ให้ขุ่นหมอง ต้องร่าเริงแจ่มใสทั้งต้องแสดงความกตเวทีต่อผู้ใหญ่ มีการอาบน้ำ "สระหัว" แก่ผู้เฒ่าผู้แก่และจัดหาผ้าใหม่ไปให้ท่านนุ่งห่มแล้วขอศีลขอพรจากท่านและยังมีพิธีมงคลอื่น ๆ อีกหลายอย่าง
ประเพณีวันว่างกระทำกัน ๓ วัน ตรงกับวันที่ ๑๓-๑๔-๑๕ เมษายน ซึ่งจะตรงกับเดือน ๕ ของปี ถ้าปีใดมีอธิกมาสคือมีเดือน ๘ สองหน วันว่างนั้นจะตกอยู่ในเดือน ๖
ตามประเพณีที่มีมาแต่โบราณก่อนถึงวันว่างจะมีคณะเพลงบอก (ดู เพลงบอก) ออกตระเวนตามบ้านเรือนทั่วทุกครัวเรือนเพื่อขับเป็นบทกลอนตามทำนองของเพลงบอกเที่ยวบอกกำหนดวันว่างของปีนั้นว่าตรงกับวันเดือนใดของปีซึ่งถือว่าเป็นวันปีใหม่อาจบอกละเอียดไปถึงเรื่องวันสำคัญของปีนั้น เช่น วันใดเป็นวันดี วันใดเป็นวันอุบาทว์ วันโลกาวินาศ ปีใหม่จะมีฝนฟ้าตกต้องตามฤดูกาลหรือไม่ พืชพรรณธัญญาหารจะอุดมสมบูรณ์หรือไม่ มีนาคให้น้ำกี่ตัว มีการร้องบอกเล่าตำนานสงกรานต์เหล่านี้ เป็นต้น บรรดาเพลงบอกเหล่านี้จะร้องบอกเป็นกลอนสดร่ายไปทุกครัวเรือน และอาจสดุดีหรือสรรเสริญเยินยอเจ้าของบ้าน และอาจ "ชาขวัญข้าว" (สดุดีแม่โพสพ) ให้แก่ชาวบ้านที่ปรารถนาจะให้มีเพลงบอกจึงเป็นของคู่กันกับประเพณี "วันว่าง"
การเตรียมการ
ก่อนวันว่างมาถึง ทุกครัวเรือนต้องตระเตรียมการให้พร้อม คือต้องเร่งทำงานที่คั่งค้างอยู่ให้เสร็จเรียบร้อย เช่นต้องเร่งเก็บเกี่ยวข้าวในนาและขนย้ายที่เก็บให้หมด ใครกำลังปลูกบ้านสร้างเรือนใหม่ก็รีบสร้างให้เสร็จ ใครทอหูกทอผ้าต้องเร่งทอให้จบผืน ไม่ทิ้งค้างคากีไว้ มิเช่นนั้นจะถูกตำหนิติเตียนจากเพื่อนบ้าน และถือว่าขัดจารีตไม่เป็นมงคล นอกจากนี้ทุกบ้านเรือนจะต้องจัดเตรียมหาอาหารมาสำรองไว้ให้พอใช้พอกินได้ตลอดเวลา ๓ วัน เพราะในระยะวันว่างทั้ง ๓ วันห้ามสีข้าวซ้อมสารหาผักปลาดังกล่าวมาแล้ว แต่ละบ้านต้องนำสากนำครกมาวางไว้ในที่เปิดเผย เอาสากรวมเข้าเป็นมัดเดียวกัน ผูกด้วยด้ายแดงด้ายขาว ตั้งใส่ลงไว้ในครกแล้วใส่น้ำลงไว้ด้วย เรียกว่า "แช่สากแช่ครก" จะไม่ใช้งานในช่วงวันว่าง (ปัจจุบันเลิกปฏิบัติเกือบหมดแล้ว) สิ่งสำคัญที่ต้องจัดหาเตรียมไว้ คือ ข้าวเหนียว น้ำตาล มะพร้าว สำหรับจะได้ใช้ทำขนม
พ่อบ้านแม่เรือนต้องจัดหาเสื้อผ้าอาภรณ์ชุดใหม่ไว้ให้ลูกหลานและตัวเอง สำหรับแต่งในวันว่าง ซึ่งถือเป็นคติว่าต้องใช้ของใหม่ แม้ผู้ที่อัตคัดขัดสนก็ต้องดิ้นรนจัดหาให้จนได้ ไม่ให้น้อยหน้าเพื่อนบ้าน ผู้เป็นบุตรหลานก็จะเตรียมการหาผ้าแพรพรรณไว้สำหรับมอบให้บิดามารดาปู่ย่าตายายได้สวมใส่หลังจากอาบน้ำหรือ "สระหัว" ทั้งต้องเตรียมน้ำอบน้ำหอมไว้ให้พร้อม
ก่อนวันสิ้นปีเก่า (ก่อนถึงวันว่าง) ๒-๓ วัน ทุกบ้านเรือนต้องเตรียมการทำความสะอาดบริเวณบ้านเรือนของตน ปัดกวาด ตั้งแต่พื้นบ้าน ลานดิน เก็บขยะมูลฝอย ตลอดจนหยากไย่ตามพื้นใต้ถุนตามเพดาน ทำความสะอาดพื้นห้องครัวขัดหม้อหุงต้ม (เอาดินหม้อออก) ให้สะอาดเป็นพิเศษ จัดเก็บเครื่องมือเครื่องใช้ เช่น ไถ คราด จอบ เสียม วางให้เป็นระเบียบเป็นที่เป็นทาง
ก่อนวันว่าง ๑-๒ วัน ต้องตัดผมตัดเล็บให้เรียบร้อยเพราะเมื่อถึงวันว่างห้ามกระทำ
วันประเพณี
เมื่อถึงวันว่าง ทุกคนต้องทำจิตใจให้แจ่มใสเบิกบานพยายามประกอบกรรมดีทั้งทางกาย วาจา และใจ ตื่นแต่เช้าตรู่อาบน้ำแต่งตัวกันด้วยเสื้อผ้าอาภรณ์ชุดใหม่ ใครมีแก้วแหวนเงินทองหยองก็นำมาประดับตกแต่งกันเต็มที่ ผู้ปกครองจะเปิดโอกาสให้บุตรสาวหลานสาวออกจากบ้านไปทำบุญและร่วมกิจกรรมอันเนื่องด้วยประเพณีวันว่างได้อย่างเสรีเช่นกันดังนั้นใครมีข้าวในนาในไร่ มีสวนผักผลไม้ก็ต้องระวังรักษาเอาเอง เพราะถ้าสัตว์เหล่านั้นไปกินพืชผักของใครก็จะไม่มีการปรับไหมเรียกร้องเอาค่าเสียหายแก่กัน
ตอนเช้าจะมีการตักบาตรเสร็จแล้วจะจัดเตรียมสำรับกับข้าว เพื่อนำไปทำบุญทำทานถวายภัตตาหารเพลที่วัดซึ่งจะไปกันหมดทั้งครอบครัว ใครจะไปวัดไหนย่อมแล้วแต่ศรัทธา ส่วนมากจะไปวัดที่ใกล้บ้านหรือวัดที่บรรพบุรุษของตนเคยไปทำบุญเป็นประจำสืบต่อกันมา ซึ่งในกรณีเช่นนี้โดยมากวัดนั้น ๆ ก็จะเป็นที่เผาศพและเป็นที่เก็บกระดูกของบรรพบุรุษของครอบครัวเหล่านั้นด้วย เพราะในประเพณีนี้จะมีการบังสุกุลบัว (บัว คือ ที่เก็บกระดูก) ของปู่ย่าตายายเป็นส่วนสำคัญด้วย ดังนั้นผู้ที่ไปตั้งหลักฐานบ้านเรือนอยู่ห่างไกลจากถิ่นกำเนิดมักจะกลับมาทำบุญที่บ้านเดิมในวันว่าง
สิ่งที่แต่ละครอบครัวจัดนำไปวัด นอกจากสำรับกับข้าวแล้วมีพิเศษเฉพาะประเพณีนี้คือ มัดรวงข้าวที่จะนำไปทำขวัญข้าวประจำลอมข้าว (ดู ลอมข้าว) เพราะต่างก็เพิ่งผ่านฤดูเก็บเกี่ยว มามัดรวงข้าวนั้นจะเลือกเอาข้าวพันธุ์ดีที่สุดและเป็นส่วนที่มีผลผลิตสูงที่สุด คือ รวงยาวใหญ่ มีเมล็ดข้าวโตและตก คัดเลือกให้ได้ประมาณ ๓ กำเล็ก ๆ แล้วใช้ด้ายสีแดงสีขาวมัดรวบอย่างสวยงามจัดวางบนพานหรือถาด นำไปประกอบพิธีทำขวัญข้าวร่วมกันที่วัดเรียกว่า "ทำขวัญข้าวใหญ่" (ดู ทำขวัญข้าว) เพื่อเป็นสิริมงคลแก่การทำมาหากินภายหน้าสืบไป (เมื่อผ่านการทำพิธีแล้วขวัญข้าวนี้จะถูกนำมาจัดเก็บไว้บนลอมข้าวอย่างดีที่สุด ถือเป็นวัตถุมงคลอย่างหนึ่งและเชื่อกันว่าเป็นที่สถิตของแม่โพสพ)
เมื่อทุกครัวเรือนต่างนำสำรับกับข้าวมาและรวงข้าวมาพร้อมกันที่วัดแล้ว ก็จะเริ่มพิธีทางศาสนา ร่วมกันสวดมนต์รับศีลฟังเทศน์ ถวายภัตตาหารเพล เสร็จแล้วจะมีการนิมนต์พระบังสุกุลกระดูกปู่ย่าตายาย ถ้าไม่มีกระดูกของบรรพบุรุษก็ใช้วิธีเขียนชื่อของบรรพบุรุษผู้นั้นใส่กระดาษแทน เพื่ออุทิศกุศลผลบุญให้โดยถ้วนทั่ว แล้วนิมนต์พระประกอบพิธีทำขวัญข้าว (บางทีอาจให้ทายกทายิการับประทานอาหารเที่ยงเสียก่อนแล้วจึงค่อยประกอบพิธีทำขวัญข้าว)
ครอบครัวใดที่สร้างบัว (ดู บัว : ที่บรรจุอัฐิ) สำหรับเป็นที่เก็บกระดูกของบรรพบุรุษไว้ในวัดนั้น ก็จะแยกย้ายกันไปเคารพสักการะบัวประจำตระกูลของตน ต่อจากนั้นอาจมีการทำบุญให้ทานตามอัธยาศัย
ต่อไปจะมีการปล่อยนกปล่อยปลาเพื่อแสดงความเมตตาปรานีแก่สัตว์ ปลาและนกที่จะนำมาปล่อยนั้น มักตระเตรียมหามาล่วงหน้า ยิ่งใครสามารถเสาะหามาจากแหล่งที่สัตว์เหล่านั้นตกอยู่ภาวะทุกข์ทรมานมากเท่าใดก็จะถือว่าเป็นบุญกุศลมากเท่านั้น เช่น ปลาที่ตกค้างอยู่ในหนองที่น้ำกำลังจะแห้งขอด หรือนกที่บาดเจ็บซึ่งได้นำมารักษาจนหายพร้อมที่จะปล่อยให้ไปสู่ความอิสระอย่างปลอดภัย เป็นต้น
ต่อจากนั้นจะมีพิธีสรงน้ำพระพุทธรูป โดยอัญเชิญมาประกอบพิธีร่วมกันในบริเวณวัด ต่อจากนั้นจะมีการอาบน้ำแก่ภิกษุเจ้าอาวาส และสมณะที่สูงอายุในวัดนั้น แล้วจึงอาบน้ำให้แก่ผู้เฒ่าผู้แก่ที่เห็นสมควร เรียกการอาบน้ำให้แก่ภิกษุและฆราวาสในวันว่างว่า "สระหัววันว่าง"
ประเพณีการสระหัววันว่างแก่ภิกษุหรือผู้เฒ่าผู้แก่ที่มีประชาชนยกย่องนับถือมาก ๆ มักจัดทำเป็นพิเศษโดยทำ "เบญจา" ขึ้นอย่างสวยงาม ประดับด้วยลายแทงหยวก ใต้ยอดเบญจาจะมีหัวพญานาคให้พ่นน้ำออกมาทางปากคล้ายฝอยฝนจากหัวพญานาคจะต่อเป็นท่อยาว ตกแต่งเป็นลำตัวพญานาคทำให้ส่วนหางของพญานาคอยู่ในระดับสูงกว่าส่วนปาก ที่ปลายหางมีท่อน้ำต่อมาจากใต้ท้องลำเรือ ซึ่งวางไว้ในที่สูงและห่างจากเบญจาออกไป ยิ่งวางให้อยู่ห่างมากเท่าไรยิ่งแสดงถึงความศรัทธาของผู้จัดมากเท่านั้น บุตรญาติมิตรที่มาร่วมแสดงความกตัญญทุกคน มักเตรียมหาน้ำมาเองคนละขัน มักปรุงเจือด้วยน้ำหอมโรยกลีบดอกบัว กลีบกุหลาบ หรือดอกมะลิ และเครื่องประทิ่นอื่น ๆ ต่างคนต่างก็นำน้ำนั้นไปเทลงในลำเรือจนถ้วนทั่ว(มักจัดหาน้ำสำรองไว้ให้ผู้ที่ไม่อาจนำน้ำมาเองได้) แล้วจึงนิมนต์พระภิกษุที่อาวุโสที่สุดขึ้นนั่งเหนือฐานเบญจาเรียบร้อยแล้วจึงเปิดน้ำจากลำเรือให้ไหลมาตามท่อพุ่งกระจายออกจากทางช่องปากของพญานาค คล้ายนาคพ่นน้ำอาบรดให้ซึ่งจะเปียกทั่วทั้งตัวเหตุนี้จึงเรียกว่า "สระหัว"
เหตุที่ต้องปล่อยน้ำผ่านพญานาคแทนการอาบรดด้วยมือโดยตรงเพราะถือคติว่า ผู้ใหญ่ (ทั้งภิกษุและฆราวาส) ที่เชิญมาสระหัวนั้นเป็นปูชนียบุคคล ไม่บังควรที่ผู้น้อยจะพึงละลาบละล้วงไปรุมล้อมกันถูกต้องหรือยกมือยกแขนข้ามคร่อมลำตัวหรือศีรษะ เป็นต้น และในกรณีที่เป็นพระภิกษุนั้นโดยวิธีนี้จะทำให้ผู้หญิงก็สามารถร่วมแสดงความกตัญญูได้เสมอเหมือนกันกับผู้ชาย นอกจากนี้ การทำเป็นพญานาคพ่นน้ำยังเป็นไปตามคติความเชื่อว่า พญานาคเป็นผู้ให้น้ำแก่มวลมนุษย์ สัตว์ และพืชพรรณเป็นนิมิตหมายของความร่มเย็นสุขกายสุขใจ ทำให้ผู้ได้อาบมีความเจริญสุขสืบไป
เมื่อได้ปล่อยน้ำอาบรดจนทั่วและมากพอสมควรแล้วอาจจะมีผู้ใกล้ชิดบางคนช่วยขัดถูที่ปลายเท้าหรือตามแขนขาพอสมควรแล้วปล่อยน้ำอาบรดอีกครั้งก็เป็นเสร็จพิธีให้เปลี่ยนเครื่องแต่งกายชุดใหม่เอี่ยมที่จัดเตรียมมามอบให้ผู้ได้อาบก็จะให้ศีลให้พรเพื่อเป็นสิริมงคลแก่ผู้ร่วมแสดงความกตัญญูโดยทั่วหน้า ต่อจากนั้นก็จะเชิญบุคคลอื่นที่มีอาวุโสรองลงมาตามลำดับ และตามที่สมาชิกส่วนใหญ่จะเห็นสมควร
ในกรณีที่คณะบุตรหลานของปู่ย่าตายายจะอาบน้ำให้เป็นการภายในเฉพาะในเครือญาติของตน มักจะอาบน้ำรดกันที่บ้านอย่างสามัญ บุตรหลานทุกคนต่างตักน้ำรดด้วยมือและขัดสีให้อย่างใกล้ชิดสนิทสนม และเมื่อได้ประพรมน้ำหอมทาแป้งให้แล้วจะมีตัวแทนของบุตรหลานมอบผ้าคู่ (ผ้านุ่งกับผ้าห่มหรือเสื้อ) ให้ท่านได้สวมใส่ด้วย ส่วนบุตรหลานคนอื่น ๆ ใครจะมอบพิเศษไว้ให้ใช้อีกกีชุดก็ได้
นับแต่ประมาณ พ.ศ.๒๔๗๕ เป็นต้นมา เกิดประเพณีการ "สระหัววันว่าง" แก่ข้าราชการผู้ใหญ่ขึ้นในบางจังหวัดของภาคใต้และนิยมกันแพร่หลายยิ่งขึ้น จนปัจจุบันกระทำกันหลายจังหวัด หลายอำเภอ ทำให้เกิดความสนิทสัมพันธ์กันระหว่างข้าราชการผู้ใหญ่กับข้าราชการผู้น้อยและระหว่างประชาชนก่อให้เกิดประโยชน์นานาประการ
เมื่อเสร็จพิธีการสระหัวผู้เฒ่าผู้แก่แล้วก็จะมีการเล่นสาดน้ำซึ่งกันและกัน ทั้งระหว่างคนวัยเดียวกันและต่างวัยกันโดยไม่มีการถือโทษโกรธเคืองกัน แต่จะไม่สาดพร่ำเพรื่อตามถนนหนทาง
ประเพณีวันว่างของภาคใต้ดั้งเดิมจริง ๆ ไม่มีการประกวดนางสงกรานต์ ไม่มีการประกวดเทพี เหล่านี้เป็นคติของถิ่นอื่น
การรื่นเริง
เมื่อเสร็จสิ้นพิธีแสดงคารวธรรมดังกล่าวแล้ว ต่อไปก็จะเป็นเรื่องรื่นเริงสนุกสนานกันในแบบพื้นเมือง เช่น เล่นกีฬาหรือการละเล่นพื้นเมืองบางประเภทที่ทุกคนสามารถร่วมสนุกได้ เช่น เล่นโนราดิบ เล่นสะบ้าแลกเชลย แข่งวิ่งเรือวิ่งวัว ชนวัว เป็นต้น สำหรับเด็ก ๆ ก็อาจจะมีการเล่นมอญซ่อนผ้า โยนหลุม (ทอยตรอก) ทอยกอง เป็นต้น การกีฬาหรือการแข่งขันเหล่านี้แต่โบราณจะไม่มีการเล่นพนันผสมหากแต่เป็นการสนับสนุนร่วมกันเพียงอย่างเดียว
กีฬาพื้นเมืองที่นิยมเล่นกันแต่เฉพาะในประเพณีวันว่างระหว่างหนุ่มสาวก็คือ การเล่นยิงสะบ้าแลกเชลย โดยแบ่งกันออกเป็น ๒ ฝ่าย ฝ่ายละเท่า ๆ กัน เช่น ฝ่ายละ ๘ คนในแต่ละฝ่ายจะมีหญิง ๔ คน ชาย ๔ คน แล้วแยกห่างกันประมาณ ๖ เมตร ต่างฝ่ายต่างนั่งหรือยืนเรียงหน้าเข้าหากันมีลูกสะบ้าเท่ากับจำนวนคนที่เล่น ปักตั้งลูกสะบ้าเป็นแถวไว้ตรงหน้าผู้เล่นแต่ละฝ่ายจนครบแล้วจับไม้สั้นไม้ยาวกันว่าฝ่ายไหนจะได้เริ่มต้นก่อน แต่ละฝ่ายจะมีลูกยิง ซึ่งเรียกว่าลูกเกยมีขนาดโตกว่าลูกสะบ้าธรรมดา แล้วผลัดเปลี่ยนกันยิงฝ่ายละครั้ง ถ้าฝ่ายใดยิงลูกสะบ้าฝ่ายตรงข้ามล้ม ฝ่ายที่ถูกยิงจะต้องเสียพรรคพวกของฝ่ายตนให้เป็นเชลยของฝ่ายที่ยิงถูกเท่ากับจำนวนลูกสะบ้าที่ล้มนั้น และฝ่ายที่ยิงถูกมีสิทธิ์เลือกเชลยเป็นหญิงหรือชายก็ได้ ความสนุกจะอยู่ตรงการเลือกนั้น เพราะถ้าฝ่ายยิงได้เป็นผู้หญิง แกล้งเลือกเชลยเป็นผู้ชาย เธอจะเดินตรงไปในแนวของฝ่ายแพ้แล้วจับใบหูคนที่ต้องการให้เป็นเชลยออกมาจากแถวแล้วพาไปฝ่ายของตนทำดังนี้เป็นต้น (แต่ถ้าผู้ชายเลือกเชลยเป็นผู้หญิงต้องปฏิบัติอย่างสุภาพ) ต่อจากนั้นฝ่ายแพ้ก็จะเป็นผู้ยิงแก้สลับกันไป ถ้าแก้คืนได้ก็จะต้องขอพวกของตนที่ตกเป็นเชลยกลับคืนมาถ้าแก้คืนไม่ได้และต้องตกเป็นเชลยเขาหมดฝ่ายแพ้จะต้องรับเงื่อนไขของฝ่ายชนะโดยไม่มีข้อแม้ เช่น เขาสั่งให้รำก็ต้องรำ เขาจะเอาขี่ต่างม้าก็ต้องให้ขี่ แล้วจึงตั้งต้นกันใหม่
การแล่นแข่งพุ่งเรือ มักเป็นกีฬาของพวกผู้ชาย คล้ายกับการเล่นพุ่งแหลน เครื่องเล่นใช้ไม้ไผ่ทำเป็นรูปเรือ ยาวประมาณ ๔ เมตร ทำให้ข้างหัวใหญ่ ตอนท้ายเล็กเรียว ส่วนท้องที่กว้างที่สุดประมาณ ๑ นิ้ว ขัดแต่งให้เกลี้ยงเกลา ต้องมีลานสำหรับพุ่ง เวลาพุ่งจะต้องจับค่อนมาทางตอนท้าย พุ่งออกไปโดยแรง ผู้ใดพุ่งได้ไกลที่สุดเป็นฝ่ายชนะ
การเล่นโนราดิบ นิยมเล่นกันตอนกลางคืน โนราดิบหมายถึงโนราที่เล่นกันอย่างง่ายๆ ไม่ต้องแต่งเครื่องโนราเครื่องดนตรีก็มีแต่เครื่องเคาะทำจังหวะแล้วแต่ใครจะใช้อะไรแทน แม้ทำด้วยปากก็ได้ รำพอให้เห็นเป็นว่ารำ สำคัญอยู่ที่การว่ากลอนสดตามทำนองโนราโต้ตอบกัน ใครมีฝีปากดีว่ากลอนได้เร็ว เนื้อหาดีก็เป็นฝ่ายชนะ ฝ่ายแพ้อาจถูกฝ่ายชนะกะเกณฑ์ให้เสียค่าเลี้ยงดูหรือบังคับให้ลูกเมียหุงหาอาหารให้กิน ซึ่งผู้ถูกกะเกณฑ์จะพลอยสนุกสนานไปด้วย
ที่อำเภอไชยามีกีฬา "ชักไม้แข่ง" ซึ่งต่างไปจากถิ่นอื่น ๆ เป็นประเพณีที่ได้ทั้งความสนุกและได้ประโยชน์ วิธีเล่นคือ ชักชวนกันเข้าป่าช่วยกันตัดไม้แล้วชักลากออกมาให้วัดและชักลากแข่งกันโดยใช้คนลากจำนวนเท่ากันเริ่มต้นพร้อมกัน ถ้าคนใดล้มหรือมือหลุดจากเส้นเชือกจะต้องออกจากการแข่งขัน
การเล่นสนุกสนานจะมีต่อเนื่องกันไปทั้ง ๓ วัน ๓ คืน ทำให้เด็ก ๆ และหนุ่มสาวสนุกสนานและมีโอกาสรู้จักมักคุ้นกันเพราะถ้าไม่ใช่โอกาสเช่นนี้ ชาวใต้มักหวงลูกสาวไม่เปิดโอกาสให้พบปะกับผู้ชายได้ง่ายนัก
คุณค่าที่สำคัญยิ่งของประเพณีวันว่างอยู่ตรงที่ให้ทุกคนได้ทำกายทำใจให้ว่างเว้นจากความทุกข์กังวล ว่างจากพันธะการงาน ว่างจากอารมณ์เศร้าหมอง และเจตนาอันไม่บริสุทธิ์ ให้เต็มไปด้วยความเมตตาปรานี การให้อภัย การเสียสละ ซึ่งสอดคล้องกับหลักพุทธศาสนา แม้ความว่างนั้นจะไม่ลึกซึ้งถึงขั้นปล่อยว่างตามหลักของ "นิพพาน" ก็ให้รู้จักทำกายและใจให้ว่างอย่างง่าย ๆ อันจะช่วยให้ชีวิตมีความสุขยิ่งขึ้น
ประเพณีวันว่างของชาวภาคใต้มีคุณประโยชน์ อาจสรุปเป็นประเด็นสำคัญได้ดังนี้ คือ
๑. ทำให้ทุกคนมีโอกาสหยุดเว้นจากพันธะการงานได้เห็นคุณค่าของการพักผ่อน
๒. ช่วยให้ทุกคนมีคุณธรรม เช่น เมตตาธรรม คารวธรรม มีความกตัญญูกตเวทิตา
๓. ช่วยให้เครือญาติและมิตรมีความรักใคร่ผูกพันกันยิ่งขึ้น (สุธิวงศ์ พงศ์ไพบูลย์)
| ดูเพิ่มเติมที่ | : ทำขวัญข้าว , บัว : ที่บรรจุอัฐิ , เพลงบอก , ลอมข้าว |