เจาะลึกรูปแบบการบริหารพิพิธภัณฑ์


พาดหัวข่าวหนังสือพิมพ์ไทยในนครลอสแอนเจลิส  สะท้อนภาพชัดเจนถึงกระแสตอบรับอย่างดีเยี่ยมกับงาน นิทรรศการแสดงผลงานจิตรกรรมของ 11 ศิลปินไทย ปี 2555 หรือ Thai Contemporary Artist Award 2012 ซึ่งจัดขึ้น ณ สถานกงสุลไทย นครลอสแอนเจลิส ประเทศสหรัฐอเมริกา ระหว่างวันที่ 8-15 มิ.ย. ที่ผ่านมา โดยมีแขกผู้มีเกียรติทั้งชาวไทย และชาวต่างชาติมาร่วมชื่นชมอย่างคับคั่ง



นิทรรศการครั้งนี้  เป็นส่วนหนึ่งของโครงการ ถ่ายทอดงานศิลป์กับศิลปินแห่งชาติ ของ หออัครศิลปิน กรมส่งเสริมวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรม ที่เฟ้นหาศิลปินผู้มีความสามารถทางด้านทัศนศิลป์ 11 คน จากผู้เข้าร่วมโครงการทั้งสิ้นจำนวน 90 คน เข้ารับการถ่ายทอดองค์ความรู้ ทางด้านศาสตร์และศิลป์ จากศิลปินแห่งชาติ และผู้ทรงคุณวุฒิสาขาทัศนศิลป์ ทั้งเทคนิค วิธีการ ในการสร้างสรรค์ผลงานศิลปะ รวมถึงประสบการณ์ต่างๆ ในการผลิตผลงานให้ปรากฏออกมาอย่างสมบูรณ์แบบ จากนั้นคณะศิลปินแห่งชาติ ได้ทำการ เจียระไนและคัดศิลปินผู้มีความสามารถเหลือเพียง 11 คน เพื่อเป็นตัวแทนประเทศไทยนำผลงานไปจัดแสดงที่ประเทศสหรัฐอเมริกา

ซึ่งศิลปินทั้ง 11 คนที่ได้รับการคัดเลือกนี้ ยังได้มีโอกาสไปศึกษาดูงานศิลปะในพิพิธภัณฑ์ที่สำคัญแห่งรัฐแคลิฟอร์เนีย และรัฐใกล้เคียงในแถบภูมิภาคตะวันออกของประเทศสหรัฐอเมริกา  รวมถึงได้พบปะกับศิลปินระดับนานาชาติ ได้เยี่ยมชมมหาวิทยาลัยชั้นนำทางด้านศิลปะ ตลอดจนการรับฟังข้อมูลในการบริหารจัดการงานพิพิธภัณฑ์ระดับโลกที่มีประสิทธิภาพของรัฐบาลและเอกชน โดยมี นายกมล ทัศนาญชลี ศิลปินแห่งชาติ สาขาทัศนศิลป์ และประธานสภาศิลปกรรมไทยแห่งสหรัฐอเมริกา พร้อมด้วย นายวิโชค มุกดามณี  เมธีวิจัยอาวุโส สาขาทัศนศิลป์  เป็นวิทยากรบรรยายให้ความรู้ตลอดการเดินทาง

ขณะที่ นายกมล กล่าวว่า “ประเทศไทยยังขาดการบริหารจัดการพิพิธภัณฑ์และหอศิลป์ ดังนั้น จึงเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องเร่งสร้างคนมาเรียนรู้ เรื่องการบริหารจัดการ ทำหน้าที่ภัณฑารักษ์ดูแลพิพิธ-ภัณฑ์และหอศิลป์ให้เป็นแบบสากล โดยผู้ทำหน้าที่นี้จะต้องมีความรอบรู้เรื่องงานศิลปะรอบด้าน ทั้งเรื่องการจัดวาง วิเคราะห์แสง สี และเทคนิคการนำเสนอ การตรวจสอบภาพผลงาน การวัดอุณหภูมิห้องจัดแสดง แสดงให้เห็นว่า เป็นผู้ที่สามารถเข้าถึงเอกลักษณ์ของงานศิลป์ได้อย่างลึกซึ้ง”

ทีมข่าววัฒนธรรม  เชื่อมั่นว่า  การเดินทางศึกษาดูงานของต่างประเทศเป็นเรื่องที่ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับงานด้านศิลปะซึ่งสามารถหลอมรวมคนทุกชาติ ทุกภาษาไว้ด้วยกันอย่างกลมกลืน แต่สิ่งที่มีความสำคัญไม่น้อยกว่าการได้ไปเปิดโลกทัศน์ของศิลปินทั้ง 11 คน คือการนำความรู้ และประสบการณ์ ที่ไปร่วมกันเก็บเกี่ยวมาถอดเป็นบทเรียนเพื่อนำไปต่อยอดประยุกต์ ให้เข้ากับสิ่งที่มีอยู่ในประเทศ ทั้งเรื่องการบริหารจัดการหอศิลป์ พิพิธภัณฑ์ศิลปะต่างๆ รวมทั้งการนำความรู้ไปใช้ในวิถีการสร้างสรรค์งานศิลปะ ซึ่งล้วนก่อประโยชน์ต่อตัวศิลปินทั้งสิ้น

แต่ที่สำคัญไปกว่านั้นคือ การทำให้ทุกภาคส่วนโดยเฉพาะรัฐบาลตระหนักและเข้าใจถึงความสำคัญของงานศิลปะของชาติ ซึ่งต้องการทั้งความจริงจัง จริงใจ และเม็ดเงินในการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ตลอดจนอนุรักษ์ผลงานของศิลปินในอดีตให้คงอยู่

เพราะนั่นคือคำตอบสุดท้ายของการต่อลมหายใจให้งานศิลปะ “อยู่อย่างยั่งยืน.”
(ไทยรัฐ วันที่ 19 มิถุนายน 2555)



เผยแพร่เมื่อ: 19 มิถุนายน 2555