รายชื่อพิพิธภัณฑ์

พิพิธภัณฑสถานวัดชลธาราสิงเห

พิพิธภัณฑสถานวัดชลธาราสิงเห ตั้งอยู่ภายในวัดชลธาราสิงเห หรือ ที่รู้จักกันในนาม วัดพิทักษ์แผ่นดินไทย อาคารพิพิธภัณฑ์สร้างขึ้นตั้งแต่ปี 2498 เดิมเป็นอาคารกุฎิสิทธิสารประดิษฐ์ ลักษณะเป็นอาคารไม้ชั้นเดียว ยกพื้นสูง หลังคาทรงปั้นหยาซ้อนชั้น ตกแต่งด้วยปูนปั้นลายเครือเถา ส่วนมุมทำเป็นรูปคล้ายหางหงส์ หรือหัวนาค ภายในจัดแสดงโบราณวัตถุชิ้นสำคัญของวัด เครื่องมือเครื่องใช้ในอดีต ทั้ง เครื่องใช้ในครัวเรือน และเครื่องใช้ในการประกอบอาชีพ และอาวุธต่าง ๆ รวมถึงการจำลองเหตุการณ์การลงนามในสัญญาไทย – อังกฤษ เมื่อปี 2451

จ. นราธิวาส

พิพิธภัณฑ์เหมืองทองคำโต๊ะโมะ

เหมืองทองคำโต๊ะโมะ เป็นเหมืองทองคำที่อยู่บริเวณภูเขาชายแดนไทย-มาเลเซีย พื้นที่ดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของเทือกเขาสุไหงโก-ลก แหล่งแร่ทองคำอยู่ในป่ากลางหุบเขา เมื่อแรกพบ ชาวจีนชื่อ “ฮิว ซิ้นจิ๋ว” ซึ่งทำมาค้าขายอยู่แถบไทย-มาเลเซีย นำลูกมือราว 50 คน เข้ามาขุดค้นหาทองคำด้วยวิธีการร่อนเอาตามสายน้ำ พวกเขาพบว่า ยิ่งใกล้ต้นน้ำเท่าใดปริมาณทองคำที่ติดก้นเลียงยิ่งเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น เมื่อข่าวแพร่ออกไป ผู้คนก็หลั่งไหลมาแสวงโชค ต่อมารัฐบาลไทยแต่งตั้งให้ “อาฟัด” บุตรชายของฮิว ซิ้นจิ๋ว ซึ่งรับสืบทอดงานขุดหาทองคำต่อจากบิดา เป็นผู้เก็บภาษีจากชาวบ้านที่เข้าไปขุดค้นหาทองคำ และพระราชทานราชทินนามเป็น “หลวงวิเศษสุวรรณภูมิ” และเป็นต้นตระกูล “วิเศษสุวรรณภูมิ” ต่อมาใน พ.ศ.2473 โต๊ะโมะ ถูกเปลี่ยนสภาพเป็นเหมืองอีกครั้ง โดยชาวอังกฤษเข้ามาติดตั้งเครื่องจักร แต่ไม่ประสบความสำเร็จจึงเลิกกิจการไป ในพ.ศ.2475 เมื่อบริษัทฝรั่งเศสชื่อ Societe d’ Or de Litcho เข้ามาสำรวจ และพบว่า ในผืนดินของขุนเขาโต๊ะโมะและลิโช มีแร่ทองคำอยู่มาก และเนื้อทองคำก็มีเปอร์เซ็นต์สูง จึงขอสัมปทานจากรัฐบาลไทยทำเหมืองทองคำเป็นเวลา 20 ปี แต่กิจการก็ต้องปิดตัวไป เมื่อเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 ต่อมารัฐบาลให้สัมปทานกับบริษัทเอกชนของไทย เข้าไปสำรวจและทำกิจการ แต่สุดท้ายก็ต้องปิดกิจการไป ปัจจุบันพื้นที่เหมืองแห่งนี้ถูกจัดตั้งเป็นพิพิธภัณฑ์ที่ยังคงหลงเหลือสิ่งก่อสร้างเดิมจำนวนหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็น บ้านพัก ที่ทำการเดิม อุโมงค์ขุดทอง 4 อุโมงค์หลัก และอุโมงค์ย่อยอีกจำนวนมาก

จ. นราธิวาส

พิพิธภัณฑ์วัดลำภู

จากการสังเขปคำบอกเล่าของนายสุรินทร์ สืบสุข ครูภูมิปัญญาของตำบลลำภู อำเภอเมืองนราธิวาส จังหวัดนราธิวาส เกี่ยวกับประวัติความเป็นมาของบ้านลำภู ได้ความว่า คำว่าลำภูยังมีข้อโต้เถียงกันว่ามาจากไหน บ้างว่าเดิมคือบ้านลำพู เรียกชื่อตามชื่อต้นไม้ชนิดหนึ่งที่ชอบขึ้นในที่ลุ่มน้ำขัง ขณะที่บางคนว่ามีชื่อเรียกมาจากบริเวณที่ตั้งบ้านลำภู ที่เดิมมีภูมิประเทศเป็นเนินดินหรือภูมีป่าพรุ ส่วนผู้คนนั้นสันนิษฐานว่าส่วนใหญ่ได้อพยพมาจากเจ๊ะเหหรือตากใบ สำหรับวัดลำภูสันนิษฐานว่าสร้างขึ้นราวปี พ.ศ. พ.ศ 2376 ตรงกับรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 เดิมภายในตำบลลำภูนั้นมีวัดเก่าแก่หลายวัด อาทิ วัดบางเค็ม วัดเขากง ส่วนวัดลำภูนั้นสร้างขึ้นภายหลังเมื่อชาวบ้านอพยพมาตั้งถิ่นฐาน ในบริเวณบ้านลำภูถือเป็นหมู่บ้านเก่าแก่ที่เคยมีการขุดพบถ้วยชามจีนสมัยสุโขทัย เนื่องจากมีแม่น้ำลำคลองซึ่งเป็นพื้นที่ติดต่อค้าขายมาแต่สมัยโบราณ ส่วนพิพิธภัณฑ์วัดลำภู เก็บรวบรวมและจัดแสดงข้าวของเก่าแก่ของทางวัด

จ. นราธิวาส

พิพิธภัณฑ์ประวัติธรรมชาติและเครือข่ายเรียนรู้ท้องถิ่น

พิพิธภัณฑ์ประวัติธรรมชาติและเครือข่ายเรียนรู้ท้องถิ่น ตั้งอยู่ที่คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี อาคารจัดแสดงแบ่งออกเป็น 2 ชั้น คือ ชั้น 1 เป็นห้องจัดแสดงตัวอย่างสมุนไพร และห้องสำนักงาน และชั้น 2 เป็นห้องจัดแสดงตัวอย่างธรรมชาติ 3 ห้อง ได้แก่ ห้องจัดแสดงตัวอย่างอ้างอิง 1 (ตัวอย่างสัตว์แยกตามไฟลัม) ห้องจัดแสดงตัวอย่างอ้างอิง 2 (หอยชนิดต่าง ๆ ในภาคใต้) และห้องจัดแสดงตัวอย่างอ้างอิง 3 (เครื่องมือเครื่องใช้ในอดีต) นอกจากห้องจัดแสดงต่าง ๆ แล้ว พิพิธภัณฑ์ยังมีการจัดกิจกรรมเกี่ยวกับธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอยู่อย่างสม่ำเสมอ

จ. ปัตตานี