วัดสมรโกฏิ


โพสต์เมื่อ 13 ก.ค. 2020

ชื่ออื่น : วัดสมรโกฐ, วัดสมรโกษ

ที่ตั้ง : เลขที่ 12 ซ.วัดสมรโกฏิ ถ.ราชพฤกษ์ แขวงฉิมพลี เขตตลิ่งชัน

ตำบล : ฉิมพลี

อำเภอ : เขตตลิ่งชัน

จังหวัด : กรุงเทพมหานคร

พิกัด DD : 13.773079 N, 100.444999 E

เขตลุ่มน้ำหลัก : เจ้าพระยา

เขตลุ่มน้ำรอง : คลองชักพระ, คลองบางระมาด

เส้นทางเข้าสู่แหล่ง

จากแยกที่ถนนราชพฤกษ์ตัดกับถนนบรมราชชนนี ให้ใช้ถนนราชพฤกษ์มุ่งหน้าทางทิศใต้หรือมุ่งหน้าถนนเพชรเกษม ประมาณ 350 เมตร พบซอยวัดสมรโกฏิทางซ้ายมือ (มีซุ้มประตูวัด) ไปตามถนนในปซอยประมาณ 500 เมตร ถึงวัด (มีป้ายบอกตลอดทาง)

ประโยชน์ทางการท่องเที่ยว

เป็นแหล่งท่องเที่ยว

รายละเอียดทางการท่องเที่ยว

งานประจำปีที่สำคัญของวัดคืองานปิดทองหลวงพ่อดำ จัดขึ้นในช่วงเดือนมีนาคม

ในสมัยที่พระมหาทันเป็นเจ้าอาวาสและช่วงก่อนหน้านั้น คือราว พ.ศ. 2495-2540 วัดนี้จะจัดงานตามประเพณีตลอดปี ชาวสวนแถบนี้ โดยเฉพาะหมู่ 1 และหมู่ 3 จะข้ามคลองบางระมาดมาร่วมงานวัดนี้เป็นประจำ เพราะอยู่ใกล้ที่สุด แต่ปัจจุบันได้งดกิจกรรมบางอย่างลง

หมายเลขโทรศัพท์ของวัดสมรโกฏิ 02-418-5028

หน่วยงานที่ดูแลรักษา

วัดสมรโกฏิ

การขึ้นทะเบียน

ไม่ขึ้นทะเบียน

ภูมิประเทศ

ที่ราบ

สภาพทั่วไป

วัดสมรโกฏิเป็นวัดที่ยังคงมีการใช้งานอยู่ในปัจจุบัน ตั้งอยู่ริมคลองบางระมาด ฝั่งด้านทิศเหนือ ด้านทิศตะวันออกของวัดติดกับคลองสายเล็กๆ

สภาพพื้นที่โดยทั่วไปเป็นที่ราบน้ำท่วมถึง โดยรอบวัดเป็นชุมชนเมือง มีบ้านเรือนราษฎรและสิ่งปลูกสร้างต่างๆ แทรกสลับกับพื้นที่สวน ทิศใต้ติดกับคลองบางระมาด ตั้งอยู่ห่างจากวัดมณฑปมาทางทิศตะวันตกประมาณ 350 เมตร ห่างจากวัดทองมาทางทิศตะวันออกประมาณ 300 เมตร และห่างจากคลองชักพระมาทางทิศตะวันตกประมาณ 950 เมตร

ทางน้ำ

คลองบางระมาด, คลองชักพระ, แม่น้ำเจ้าพระยา

สภาพธรณีวิทยา

ตั้งอยู่บนที่ราบลุ่มบางกอกหรือที่ราบลุ่มกรุงเทพ เกิดจากการทับถมของตะกอนน้ำพาในยุคควอเทอร์นารี (Quaternary Period)

ประวัติการศึกษา

ชื่อผู้ศึกษา : ประยูร อุลุชาฏะ (น. ณ ปากน้ำ)

ปีที่ศึกษา : พ.ศ.2513

วิธีศึกษา : สำรวจ, ประวัติศาสตร์ศิลปะ

ผลการศึกษา :

ประยูร อุลุชาฏะ (2514 : 83) สำรวจวัดในตลิ่งชันและกล่าวถึง “วัดสมรโกฐ” ว่า “เข้าคลองอยู่ฝั่งขวามือเช่นเดียวกับวัดต่างๆ อันผ่านมาแล้ว พระอุโบสถและพระวิหารเล็กๆ ตั้งอยู่คู่เคียงกันขนานกับลำคลอง ผนังหลังอุดต้น หน้าบันปูนปั้นประดับด้วยถ้วยชาม ดูไม่ออกว่าเป็นวัดมีความสำคัญมาแต่อดีตแค่ไหน ด้วยถูกปฏิสังขรณ์เสียหมดทั้งวัด”

ชื่อผู้ศึกษา : ศรัณย์ ทองปาน

ปีที่ศึกษา : พ.ศ.2549?

วิธีศึกษา : สำรวจ, ประวัติศาสตร์

องค์กรร่วม / แหล่งทุน : ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)

ผลการศึกษา :

ศรัณย์ ทองปาน (2549?) รวบรวมข้อมูลทางประวัติศาสตร์รวมถึงข้อมูลต่างๆ ของวัด และสำรวจเพื่อสร้างฐานข้อมูลของวัดในเขตตลิ่งชัน เสนอต่อศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)

ชื่อผู้ศึกษา : ประภัสสร์ ชูวิเชียร

ปีที่ศึกษา : พ.ศ.2549

วิธีศึกษา : สำรวจ, ประวัติศาสตร์ศิลปะ

ผลการศึกษา :

ประภัสสร์ ชูวิเชียร (2549) สำรวจและศึกษาวัดโบราณในคลองบางระมาด และตีพิมพ์เผยแพร่ในวารสารเมืองโบราณ

ชื่อผู้ศึกษา : วลัยลักษณ์ ทรงศิริ

ปีที่ศึกษา : พ.ศ.2552

วิธีศึกษา : สำรวจ, ประวัติศาสตร์

องค์กรร่วม / แหล่งทุน : ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)

ผลการศึกษา :

รวบรวมและศึกษาข้อมูลด้านต่างๆ ทางสังคมวัฒนธรรมในพื้นที่เขตตลิ่งชัน เสนอเป็นรายงานวิจัย “ศึกษาประวัติศาสตร์และการเปลี่ยนแปลงทางสังคมวัฒนธรรมชุมชนในพื้นที่ตลิ่งชัน” ต่อศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)

ชื่อผู้ศึกษา : วิชญดา ทองแดง, ศรัณย์ ทองปาน

ปีที่ศึกษา : พ.ศ.2555

วิธีศึกษา : สำรวจ, ประวัติศาสตร์

องค์กรร่วม / แหล่งทุน : เมืองโบราณ

ผลการศึกษา :

วิชญดา ทองแดง และศรัณย์ ทองปาน (2555) รวบรวมข้อมูลทางประวัติศาสตร์รวมถึงข้อมูลต่างๆ ของวัด และสำรวจบันทึกสภาพปัจจุบัน

ประเภทของแหล่งโบราณคดี

ศาสนสถาน

สาระสำคัญทางโบราณคดี

วัดสมรโกฏิเป็นวัดราษฎร์ สังกัดคณะสงฆ์มหานิกาย ตั้งอยู่ริมคลองบางระมาดฝั่งด้านทิศเหนือ ในประวัติฉบับกรมการศาสนากล่าวว่า วัดสมรโกฏิสร้างขึ้นตั้งแต่สมัยอยุธยาตอนปลาย ราว พ.ศ.2294 ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมาเมื่อ พ.ศ.2319

ในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น วัดสมรโกฏิคงเป็นสำนักเรียนที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังปรากฏว่าเมื่อปีขาล โทศก จ.ศ.1192 (พ.ศ.2373) ในสมัยรัชกาลที่ 3 มีพระสงฆ์รูปหนึ่งจากวัดสมรโกฏิ บางระมาด (ในเอกสารโบราณเขียนว่า “วัดสมรโกษบางลมาศ”) เล่าเรียนคัมภีร์มูลกัจจายน์ได้จนถึงชั้นเอก (ศรัณย์ ทองปาน 2549? : 81)

ลำดับเจ้าอาวาส (ศรัณย์ ทองปาน 2549? : 81) เจ้าอาวาสรูปที่ 1-6 ไม่ทราบนามและประวัติ, พระอธิการเฑียร ดำรงตำแหน่งถึง พ.ศ.2468, พระอธิการบอน อมโร พ.ศ.2470-2490, พระมหาลมูล พ.ศ.2493-2500, พระครูโสภณสาธุวัฒน์ (ทัน ยุตติธมฺโม) พ.ศ.2504-2540 (ลาสิกขา), พระปลัดบุญชู เตชวโร ดำรงตำแหน่งตั้งแต่ 2541 ถึงปัจจุบัน

ในสมัยที่พระมหาทันเป็นเจ้าอาวาสและช่วงก่อนหน้านั้น ประมาณ พ.ศ.2495-2540 วัดนี้จะจัดงานตามประเพณีตลอดปี ชาวสวนแถบนี้ โดยเฉพาะหมู่ 1 และหมู่ 3 จะข้ามคลองบางระมาดมาร่วมงานวัดนี้เป็นประจำ เพราะอยู่ใกล้ที่สุด แต่เมื่อถึงประมาณปี พ.ศ. 2543 เจ้าอาวาสในสมัยนั้นได้ปรับปรุงอุโบสถใหม่โดยใช้สกอตไบรท์ขัดภาพจิตรกรรมฝาผนังออกและปูวอลเปเปอร์แทน (วลัยลักษณ์ ทรงศิริ 2552 : 164)

สถานที่สำคัญภายในวัด (ศรัณย์ ทองปาน 2549? : 82-83)  ได้แก่

อุโบสถ เป็นอาคารก่ออิฐถือปูนขนาดเล็ก ตั้งขนานไปกับคลองบางระมาด หันหน้าไปทางทิศตะวันออก ออกสู่คลองสายเล็กๆ ด้านข้างวัด มีหน้าต่างด้านละ 3 ช่อง ประตูด้านหน้า 2 ช่อง ด้านหลังไม่มีประตู อย่างที่เรียกกันว่า “โบสถ์มหาอุตม์”

ผนังด้านหลังภายนอกติดแผ่นหินอ่อน จารึกการบูรณะใน พ.ศ.2538 ซึ่งได้เปลี่ยนลวดลายหน้าบัน จากเดิมประยูร อุลุชาฏะ บันทึกไว้เมื่อครั้งที่มาสำรวจใน พ.ศ.2513 ว่า “หน้าบันปูนปั้นประดับด้วยถ้วยชาม” มาเป็นลายปูนปั้นรูปธรรมจักรดังเช่นปัจจุบัน

ด้านหน้ามีมุข หน้าบันเป็นปูนปั้นรูปพระนารายณ์ 4 กร ยืนบนนาค ด้านล่างมีตัวหนังสือ “มุขสามัคคี สร้าง พ.ศ.๒๕๐๐” ซึ่งในแผ่นจารึกดังกล่าวก็ระบุว่า เดิมไม่มีมุข เพิ่งสร้างเพิ่มเติมเมื่อ พ.ศ.2500

[จารึกทั้งแผ่นมีข้อความว่า “อุโบสถหลังนี้ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมา เมื่อประมาณอยุธยาตอนปลาย เดิมไม่มีหน้ามุข มาต่อเติมหน้ามุขเมื่อ พ.ศ.๒๕๐๐ และปรับปรุงกระเบื้องมุงหลังคาใหม่ เนื่องจากกระเบื้องเก่าทรุดโทรมไปตามกาลเวลา เดิมเป็นกระเบื้องมอญจึงได้เปลี่ยนเป็นกระเบื้องปูนเกล็ดปลา เมื่อ พ.ศ.๒๕๐๐ ในสมัยอดีตเจ้าอาวาส และต่อมากระเบื้องปูนเกล็ดปลาก็ได้ทรุดโทรมไปตามกาลเวลาอีก อีกหลายๆ อย่างทรุดโทรมไปตามๆ กัน จึงได้ทำการบูรณะปฏิสังขรณ์ใหม่ให้มั่นคงถาวร ดังต่อไปนี้

๑.เปลี่ยนกระเบื้องมุงหลังคาจากกระเบื้องปูนเกล็ดปลาเป็นกาบกล้วย

๒.ภายอุโบสถทำฝ้าเพดานขึ้นใหม่ (คงตกคำว่า “ใน” เป็น “ภายใน”)

๓.พื้นอุโบสถเดิมเป็นกระเบื้องปูน เปลี่นเป็นกระเบื้องคัมพานา

๔.ชุกชีพระประธานสร้างใหม่เนื่องจากของเดิมมีขนาดเล็กไม่เหมาะสมกับอุโฐสถใหม่ ได้ถวายพระนามว่า “พระธนนายก”

๕.สร้างลายหน้าบันด้านหลังอุโบสถใหม่

โดยใช้ทุนบูรณะปฏิสังขรณ์จากกฐิน ผ้าป่า ทุนต่างเจ้าของและเงินทุนอุดหนุนวัดจากกรมศาสนา...(รายชื่อผู้บริจาค)...รวมค่าใช้จ่ายบูรณะปฏิสังขรณ์ประมาณเจ็ดแสนบาทเศษ

พระครูโสภณสาธุวัฒน์ (พระมหาทัน ยุตตธมฺโม)

เจ้าอาวาสวัดสมรโกฏิ พุทธศักราช ๒๕๓๘”]

ภายในอุโบสถประดิษฐาน “พระธนนายก” พระพุทธรูปประธานแบบสุโขทัย ปางมารวิชัย ลักษณะพระพักตร์ยิ้มแย้ม อิ่มเอิบ คล้ายคลึงกับพระประธานสมัยปลายอยุธยาที่วัดจำปา เดิมอาจมีจิตรกรรมฝาผนังแต่การบูรณะเมื่อ พ.ศ.2543 ได้มีการนำภาพจิตรกิรรมออกและปูวอลเปเปอร์แทน (วลัยลักษณ์ ทรงศิริ 2552 : 164)

สิ่งที่น่าสนใจของอุโบสถหลังนี้คือ อกเลาประตู เป็นไม้แกะสลักลวดลายต่างๆ เช่น พระนารายณ์ พระอินทร์ทรงช้างเอราวัณ ครุฑ มีภาพจับและรูปสัตว์เล็กๆ แทรกอยู่ โดยรูปแบบศิลปะน่าจะเก่าแก่ถึงสมัยอยุธยาตอนปลายหรือต้นรัตนโกสินทร์ ปัจจุบันสภาพลบเลือนตามกาลเวลา ทั้งยังถูกทาสีทองทับจนหนา

ด้านหลังบานประตูหน้าต่าง เขียนภาพจิตรกรรมเป็นรูปเทพทวารบาล ยืนถือพระขรรค์ น่าจะมีอายุราวสมัยรัชกาลที่ 4-5

เสมารอบอุโบสถคงเป็นของเก่า น่าจะสลักขึ้นจากหิน แต่มาปั้นปูนทับ แล้วทาสีขาวหมดทุกใบ ตั้งอยู่บนฐานเตี้ยๆ ประดับลวดลายง่ายๆ เอวเสมาเป็นกระหนกเล็กๆ งอนขึ้น ส่วนใบเสมาเอกด้านหน้าอุโบสถเป็นเมาแบบที่เรียกว่า “เสมาโหล” สลักจากหินอ่อนแบบที่นิยมกันในสมัยรัชกาลที่ 3 แต่ถูกปิดประดับด้วยกระจกสีจนหมด (ศรัณย์ ทองปาน 2549? : 82 ; ประภัสสร์ ชูวิเชียร 2549 : 81) 

วิหาร ตั้งอยู่ในกำแพงแก้วเคียงคู่กับอุโบสถด้านทิศเหนือ มีขนาดใกล้เคียงกับอุโบสถ เป็นอาคารก่ออิฐถือปูนขนาดเล็ก หันหน้าไปทางทิศตะวันออก ออกสู่คลองสายเล็กๆ ด้านข้างวัด

หน้าบันปั้นปูนทาสีเป็นลายธรรมจักร มีหน้าต่างด้านละ 3 ช่อง มีประตูด้านหน้า 1 ช่อง ไม่มีประตูหลัง มีจารึกติดอยู่ที่ผนังด้านหน้าระบุว่ามีการบูรณะวิหารระหว่างปี 2524-2527 และได้สร้างเพดานวิหารขึ้นในการบูรณะครั้งนั้น มีแผ่นหินอ่อนสลักประวัติที่ทำขึ้นใหม่กล่าวว่า วิหารนี้สร้างขึ้นใน พ.ศ.2274 ตรงกับสมัยพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ

วิหารหลังนี้เป็นที่ประดิษฐาน “หลวงพ่อดำ” ซึ่งเป็นที่นับถือของชาวบ้านในละแวกนี้ เพิ่งมีการลงรักปิดทองหลวงพ่อดำใหม่ทั้งองค์เมื่อ พ.ศ.2548 น่าจะมีอายุอยู่ในสมัยอยุธยาตอนปลาย เดิมหลวงพ่อดำวัดสมรโกฏินั้นมีลักษณะสีดำ ไม่สะดุดตา ปรากฏร่องรอยผุผัง ชำรุด จึงมีการซ่อมแซมบูรณะ ด้วยการลงรักปิดทอง

ด้านหน้าเบื้องซ้ายของวิหาร (ด้านตะวันออกเฉียงเหนือของวิหาร) ภายในกำแพงแก้ว มีพระปรางค์ขนาดเล็กประดิษฐานอยู่องค์หนึ่ง

ประภัสสร์ ชูวิเชียร (2549 : 81) สันนิษฐานว่าอุโบสถและวิหารน่าจะสร้างขึ้นในสมัยอยุธยาตอนปลาย

ศาลาการเปรียญ ตั้งอยู่ริมคลองบางระมาด ทางด้านใต้ของอุโบสถ เป็นอาคารไม้ทรงไทย สร้างเมื่อ พ.ศ.2499 บูรณะเมื่อ พ.ศ.2530 ภายในมีธรรมาสน์ ซึ่งมีจารึกอยู่บนพนักพิงหลังว่าสร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ.2459

โรงเรียนพระปริยัติธรรม เป็นอาคารขนาดเล็ก ตั้งอยู่นอกเขตสังฆาวาส สร้างใน พ.ศ.2535 ใช้เป็นสถานที่ปฏิบัติธรรมสำหรับญาติโยมด้วย

หอระฆัง มีการบูรณะใหม่แต่ยังคงลักษณะเดิมในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย (วลัยลักษณ์ ทรงศิริ 2552 : 164)

หมู่กุฏิ เป็นอาคารไม้เรือนไทย

เดิมวัดแห่งนี้ไม่มีถนนเข้าวัด มีเพียงทางเดินจากถนนบรมราชชนนี หรือจากวัดมณฑป ในปี 2546-2547 ชาวบ้านจึงร่วมใจกันบริจาคที่ดินของตนเพื่อตัดถนนจากถนนตัดใหม่คือถนนราชพฤกษ์เข้าสู่ (ซอยวัดสมรโกฏิ) และทำซุ้มประตูวัดขึ้นใหม่

ผู้เรียบเรียงข้อมูล-ผู้ดูแลฐานข้อมูล

ทนงศักดิ์ เลิศพิพัฒน์วรกุล, สมศักดิ์ แก้วนุช

บรรณานุกรม

กรมการศาสนา. ประวัติวัดทั่วราชอาณาจักร เล่ม 2. กรุงเทพฯ. กรมการศาสนา 2526.

“บัญชีภิกษุสามเณรที่เล่าสูตรกจฺจายนได้จบบริบูรณ์” ใน จดหมายเหตุรัชกาลที่ 3 เล่ม 1. กรุงเทพฯ : หจก.สหประชาพานิชย์, 2530.

ประภัสสร์ ชูวิเชียร. “วัดโบราณในคลองบางระมาด.” เมืองโบราณ 32, 4 (ต.ค.-ธ.ค. 2549) : 73-88.

ประยูร อุลุชาฏะ (น. ณ ปากน้ำ). ศิลปกรรมในบางกอก. พระนคร ; เกษมบรรณกิจ, 2514.

วลัยลักษณ์ ทรงศิริ. การศึกษาภูมิหลังและการเปลี่ยนแปลงทางสังคมวัฒนธรรมชุมชนในพื้นที่ตลิ่งชัน. กรุงเทพฯ : ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน), 2552.

วิชญดา ทองแดง และศรัณย์ ทองปาน. ชุมทางตลิ่งชัน : ย่านเก่า[ก่อน]กรุงเทพฯ. กรุงเทพฯ : เมืองโบราณ, 2555.

ศรัณย์ ทองปาน. โครงการสำรวจเพื่อสร้างฐานข้อมูลของวัดในเขตตลิ่งชัน. กรุงเทพฯ : ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน), 2549?.

ศรัณย์ ทองปาน และวิชญดา ทองแดง. “ชุมทางตลิ่งชัน.” เมืองโบราณ 32, 4 (ต.ค.-ธ.ค. 2549) : 43-57.

ข่าวที่เกี่ยวข้อง