เมืองเสมา


โพสต์เมื่อ 13 ก.ค. 2020

ชื่ออื่น : เมืองเสมาร้าง, เมืองโบราณเสมา

ที่ตั้ง : ต.เสมา อ.สูงเนิน

ตำบล : เสมา

อำเภอ : สูงเนิน

จังหวัด : นครราชสีมา

พิกัด DD : 14.92263 N, 101.79792 E

เขตลุ่มน้ำหลัก : มูล, ลำตะคอง

เขตลุ่มน้ำรอง : ห้วยไผ่

เส้นทางเข้าสู่แหล่ง

จากกรุงเทพฯ ใช้เส้นทางถนนทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 2 (มิตรภาพ) แล้วเลี้ยวซ้ายเข้าถนนทางหลวงจังหวัดหมายเลข 2161 ประมาณ 4 กิโลเมตร ถึงตัวอำเภอสูงเนิน เมืองเสมาตั้งอยู่ห่างจากตัวอำเภอสูงเนินไปทางทิศเหนือประมาณ 5 กิโลเมตร โดยข้ามทางรถไฟผ่านบ้านหินตั้ง เมืองเสมาจะอยู่ทางขวามือ โดยตั้งอยู่ทางทิศเหนือของห้วยไผ่

การเดินทางเข้าสู่ภายในเมืองเสมาสามารถเดินทางเข้าทางกำแพงเมืองด้านทิศใต้ซึ่งเป็นถนนลูกรังผ่านเข้าไปกึ่งกลางเมือง นอกจากนี้ยังสามารถเดินทางเข้าทางด้านทิศตะวันออกของเมืองจากทางบ้านหินตั้ง หรือจากบ้านทะเล หรือเดินทางเข้าจากทางด้านทิศตะวันตกโดยมาจากบ้านแก่นท้าว

ประโยชน์ทางการท่องเที่ยว

เป็นแหล่งท่องเที่ยว

รายละเอียดทางการท่องเที่ยว

เมืองเสมาได้รับการปรับปรุงภูมิทัศน์ภายในเมือง โดยการเสริมความมั่นคงให้แก่โบราณสถาน ปลูกหญ้ารอบโบราณสถาน เพื่อพัฒนาเป็นแหล่งเรียนรู้และแหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม ภายในเมืองโบราณมีป้ายให้ข้อมูลเกี่ยวกับประวัติ ความสำคัญของแหล่งโบราณคดี และมีป้ายให้ข้อมูลโบราณสถานแต่ละหลัง อย่างไรก็ตามควรมีการปรับปรุงสภาพของป้ายให้ข้อมูลเนื่องจากตัวหนังสือบรรยายมีสภาพเลือนลางมาก นอกจากนี้ภายในเมืองโบราณยังมีห้องน้ำไว้บริการนักท่องเที่ยว

ในประเพณีลอยกระทงของทุกปีจะมีการจัดงานประเพณีลอยกระทง “พระประทีบพระราชทาน” บริเวณคูเมืองเสมา ซึ่งทางอบต.เสมาได้รับพระราชทานกระทง พร้อมพระประทีปส่วนพระองค์จากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เป็นประจำทุกปี

นักท่องเที่ยวสามารถเดินทางเยี่ยมชมแหล่งโบราณคดีใกล้เคียงซึ่งอยู่ในเส้นทางเดียวกัน คือ วัดธรรมาจักรเสมารามซึ่งประดิษฐานพระนอนหินทราย และธรรมจักรศิลาสมัยทวารวดี ปราสาทเมืองแขกและปราสาทโนนกู่ซึ่งเป็นโบราณสถานแบบเขมร

ผู้สนใจสามารถเข้าเยี่ยมชมได้ทุกวันโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ตั้งแต่เวลา 09.00-16.00 น.

หน่วยงานที่ดูแลรักษา

กรมศิลปากร, องค์การบริหารส่วนตำบลเสมา

การขึ้นทะเบียน

ขึ้นทะเบียนของกรมศิลปากร

รายละเอียดการขึ้นทะเบียน

ประกาศในราชกิจจานุเบกษา การกำหนดจำนวนโบราณสถานสำหรับชาติ เล่ม 53 ตอนที่ 34 วันที่ 27 กันยายน 2479

ประกาศในราชกิจจานุเบกษา การกำหนดจำนวนและขอบเขตโบราณสถานสำหรับชาติ เล่ม 69 ตอนที่ 60 วันที่ 30 กันยายน 2495

ภูมิประเทศ

ที่ราบ

สภาพทั่วไป

เมืองเสมาเป็นเมืองโบราณขนาดใหญ่ มีพื้นที่ประมาณ 2,475 ไร่ ตั้งอยู่บนพื้นที่ลานตะพักลำน้ำระดับกลางถึงสูงล้อมรอบด้วยพื้นที่นา ลักษณะของเมืองเสมามีผังเมืองเป็นรูปกลมรี มีคูน้ำและคันดินล้อมรอบ มีเส้นผ่านศูนย์กลางตามแนวทิศเหนือ-ใต้ 1,755.68 เมตร และตามแนวทิศตะวันออก-ตะวันตก 1,845.99 เมตร (ทนงศักดิ์ หาญวงษ์ 2534:61) คูน้ำกว้างประมาณ 10-20 เมตร ลำน้ำสำคัญที่ไหลผ่าน คือ ลำตะคองซึ่งไหลผ่านทางทิศใต้ของเมือง และห้วยไผ่ไหลผ่านทางทิศตะวันตกของเมือง

เมืองเสมามีลักษณะการสร้างเมืองซ้อนกัน 2 ชั้น เรียกว่า เมืองนอก-เมืองใน เมืองนอกมีขนาดใหญ่กว่าอยู่ทางทิศเหนือ มีถนนตัดผ่านกลางเมืองในแนวตะวันออก-ตะวันตก พบร่องรอยโบราณสถานจำนวน 3 แห่ง บริเวณด้านทิศใต้ของเมือง กลางเมืองมีการขุดคูน้ำหรือสระน้ำเป็นรูปสี่เหลี่ยมและมีเนินดินรูปวงกลมอยู่ภายใน ส่วนเมืองในมีคูน้ำคันดินล้อมรอบรูปร่างไม่สม่ำเสมอ บริเวณกลางเมืองพบร่องรอยโบราณสถานจำนวน 6 แห่ง และบ่อน้ำขนาดเล็กซึ่งชาวบ้านเรียกว่า บ่ออีกา ซึ่งเป็นบริเวณที่พบจารึกบ่ออีกา

สภาพภายในเมืองโบราณเป็นป่าโปร่ง มีพื้นที่ว่างเป็นหย่อมๆ ในบริเวณใกล้เคียงโบราณสถาน ภายในเมืองในไม่มีราษฎรอาศัยอยู่เนื่องจากกรมศิลปากรประกาศขึ้นทะเบียนโบราณสถานไว้  บริเวณใกล้กับคันดินกำแพงเมืองด้านทิศตะวันตกพบว่ามีราษฎรเข้ามาจับจองพื้นที่อยู่อาศัยและปรับพื้นที่เพื่อปลูกพืชไร่ ทำนา

สภาพคูน้ำคันดินของเมืองเสมาสามารถสังเกตเห็นได้ค่อนข้างชัดเจน โดยเฉพาะคูน้ำคันดินของเมืองชั้นใน บริเวณคันดินและริมคูน้ำมีต้นไม้ขึ้นปกคลุมหนาแน่นเป็นบางช่วง คูเมืองด้านทิศใต้และทิศตะวันตกมีน้ำขังอยู่ ส่วนคูเมืองด้านทิศเหนือของเมืองชั้นในมีสภาพตื้นเขินเป็นบางช่วงแนวคันดินทางทิศตะวันตกและทิศตะวันออกสังเกตเห็นได้ไม่ค่อยชัดเจนนักเนื่องจากมีชาวบ้านมาจับจองพื้นที่อยู่อาศัย ไถดินเพื่อทำการเพาะปลูก และมีการตัดถนนผ่าน

ความสูงจากระดับน้ำทะเลปานกลาง

220-222 เมตร

ทางน้ำ

ลำตะคอง, แม่น้ำมูล, ลำน้ำสาขา ได้แก่ ห้วยไผ่

สภาพธรณีวิทยา

ลักษณะธรณีวิทยาของเมืองเสมาเกิดจากการทับถมของดินตะกอนน้ำ หินกรวดแม่น้ำ ซิลท์ และดินเหนียวในยุคควอเทอร์นารี ลักษณะดินของเมืองเสมาเกิดจากตะกอนที่น้ำพัดพามาทับถมเป็นเวลานาน จัดอยู่ในชุดดินวาริน (Wn)

ยุคทางโบราณคดี

ยุคประวัติศาสตร์

สมัย/วัฒนธรรม

สมัยทวารวดี, สมัยเขมร, สมัยแรกเริ่มประวัติศาสตร์

อายุทางโบราณคดี

1,500 ปีมาแล้ว ถึง พุทธศตวรรษที่ 18

ประวัติการศึกษา

ชื่อผู้ศึกษา : Etienne Aymonier

ปีที่ศึกษา : พ.ศ.2428

วิธีศึกษา : สำรวจ

ผลการศึกษา :

Etienne Aymonier นักสำรวจชาวฝรั่งเศสได้เข้ามาสำรวจแหล่งโบราณคดีในประเทศไทยและตีพิมพ์ผลการสำรวจชื่อ Khmer Heritage in the Old Siamese Provinces of Cambodia with Special Emphasis on Temples, Inscriptions, and Etymology โดยบันทึกไว้ว่าเมืองเสมาเป็นเมืองในสมัยอาณาจักรเขมรโบราณ มีแผนผังเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า

ชื่อผู้ศึกษา : สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ

ปีที่ศึกษา : พ.ศ.2472

วิธีศึกษา : สำรวจ

ผลการศึกษา :

สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพเสด็จตรวจราชการหัวเมืองมณฑลอีสาน และได้ทรงสันนิษฐานเกี่ยวกับบ้านเมืองโบราณในเขตอ.สูงเนินว่าเป็นที่ตั้งของเมืองนครราชสีมาเก่า โดยในบันทึกระบุว่ามีเมืองโบราณตั้งอยู่ทางฝั่งซ้ายของลำตะคองชื่อว่า “เมืองเสมาร้าง” ผู้สร้างเมืองนับถือศาสนาพราหมณ์และเป็นเมืองในสมัยขอม

ชื่อผู้ศึกษา : George Caedés

ปีที่ศึกษา : พ.ศ.2487

วิธีศึกษา : ศึกษาเอกสาร/จารึก

ผลการศึกษา :

George Caedés อ่านและแปลจารึกหลักหนึ่งซึ่งค้นพบในเนินดินใกล้กับเทวสถานบริเวณสะพานชีกุน อำเภอเมือง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เมื่อพ.ศ. 2482 และนำเสนอผลการศึกษาชื่อ “Une nouvelle inscription d’Ayuddhya” ตีพิมพ์เผยแพร่ในวารสารสยามสมาคมเมื่อปีพ.ศ.2487 (George Caedés 1944 : 73-76) ต่อมาเมื่อมีการนำผลการอ่านและแปลมาพิมพ์เผยแพร่เป็นภาษาไทยครั้งแรกในประชุมศิลาจารึก ภาคที่ 4 กำหนดให้ศิลาจารึกนี้เป็นหลักที่ 117 ศิลาจารึกค้นพบในพระนครศรีอยุธยา แต่ปัจจุบันเรียกจารึกหลักนี้ว่า จารึกศรีจนาศะตามชื่อบ้านเมืองที่ปรากฏในจารึก

ชื่อผู้ศึกษา : George Caedés

ปีที่ศึกษา : พ.ศ.2497

วิธีศึกษา : ศึกษาเอกสาร/จารึก

ผลการศึกษา :

George Caedés อ่านและแปลจารึกหลักหนึ่งที่พบบริเวณ บ่ออีกา อำเภอสูงเนิน จังหวัดนครราชสีมา ตีพิมพ์เผยแพร่ในหนังสือ Inscriptions du Cambodge vol. VI โดยกำหนดเป็นหลัก K. 400 (George Caedés 1954 : 83-85) ต่อมาเมื่อมีการนำผลการอ่านและแปลมาพิมพ์เผยแพร่เป็นภาษาไทยในประชุมศิลาจารึก ภาคที่ 4 กำหนดให้เป็นหลักที่ 118 ศิลาจารึกบ่ออีกา

ชื่อผู้ศึกษา : อำไพ คำโท

ปีที่ศึกษา : พ.ศ.2529

วิธีศึกษา : ศึกษาเอกสาร/จารึก

องค์กรร่วม / แหล่งทุน : กรมศิลปากร

ผลการศึกษา :

อำไพ คำโท อ่านและแปลจารึกที่พบบริเวณเมืองเสมาเมื่อพ.ศ.2526 เรียกว่า จารึกเมืองเสมา และตีพิมพ์เผยแพร่ในหนังสือจารึกในประเทศไทย เล่ม 3 : อักษรขอม พุทธศตวรรษที่ 15-16

ชื่อผู้ศึกษา : กรมศิลปากร

ปีที่ศึกษา : พ.ศ.2533

วิธีศึกษา : สำรวจ, ขุดค้น, ทำผัง

องค์กรร่วม / แหล่งทุน : กรมศิลปากร

ผลการศึกษา :

หน่วยศิลปากรที่ 6 กรมศิลปากรทำการสำรวจ ทำผัง และปักหมุดโบราณสถานภายในเมืองเสมาพร้อมทั้งขุดทดสอบทางโบราณคดี จำนวน 1 หลุม ขนาด 3x3 เมตร บริเวณเมืองชั้นในทางทิศตะวันตกเฉียงใต้

ชื่อผู้ศึกษา : หจก. ปุราณรักษ์

ปีที่ศึกษา : พ.ศ.2542

วิธีศึกษา : ขุดค้น, บูรณปฏิสังขรณ์, ขุดแต่ง, ปรับปรุงภูมิทัศน์

องค์กรร่วม / แหล่งทุน : กรมศิลปากร

ผลการศึกษา :

หจก. ปุราณรักษ์ได้ทำการขุดแต่ง บูรณะและเสริมความมั่นคงให้แก่โบราณสถานภายในเมืองเสมาจำนวน 9 แห่ง และได้ขุดค้นทางโบราณคดีจำนวน 1 หลุม พร้อมทั้งปรับปรุงภูมิทัศน์ภายในเมือง

ชื่อผู้ศึกษา : เขมิกา หวังสุข

ปีที่ศึกษา : พ.ศ.2543

วิธีศึกษา : ศึกษาเครื่องมือเครื่องใช้, ศึกษาภาชนะดินเผา, ศึกษาความเชื่อ, ประวัติศาสตร์ศิลปะ, ศึกษาการตั้งถิ่นฐาน/การใช้พื้นที่, ศึกษาเอกสาร/จารึก

องค์กรร่วม / แหล่งทุน : ม.ศิลปากร

ผลการศึกษา :

เขมิกา หวังสุข เสนอวิทยานิพนธ์เพื่อสำเร็จการศึกษาปริญญาศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาโบราณคดีสมัยประวัติศาสตร์ ภาควิชาโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร ในหัวข้อ “พัฒนาการทางวัฒนธรรมในลุ่มแม่น้ำมูล : กรณีศึกษาแหล่งโบราณคดีเมืองเสมา อำเภอสูงเนิน จังหวัดนครราชสีมา” โดยศึกษาพัฒนาการทางวัฒนธรรมของชุมชนโบราณเมืองเสมาและศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างชุมชนโบราณเมืองเสมากับชุมชนโบราณร่วมสมัยในบริเวณลุ่มน้ำมูล จากหลักฐานข้อมูลทุกประเภท ได้แก่ โบราณวัตถุประเภทต่างๆ โบราณสถาน และเอกสาร จารึก

ชื่อผู้ศึกษา : มยุรี วีระประเสริฐ

ปีที่ศึกษา : พ.ศ.2544

วิธีศึกษา : ศึกษาความเชื่อ, ศึกษาเอกสาร/จารึก

องค์กรร่วม / แหล่งทุน : ม.ศิลปากร

ผลการศึกษา :

มยุรี วีระประเสริฐ นำเสนอบทความเรื่อง “ศรีจนาศะ หรือ จนาศะปุระ : ข้อสันนิษฐานเก่า-ใหม่” โดยทำการศึกษาเชิงวิเคราะห์ข้อสันนิษฐานเดิมและข้อสันนิษฐานใหม่เกี่ยวกับบ้านเมืองที่ชื่อ ศรีจนาศะ ซึ่งนักโบราณคดีส่วนใหญ่เชื่อว่าอาจมีศูนย์กลางอยู่ที่เมืองเสมา

ชื่อผู้ศึกษา : ชลิต ชัยครรชิต

ปีที่ศึกษา : พ.ศ.2545

วิธีศึกษา : ศึกษาการตั้งถิ่นฐาน/การใช้พื้นที่

ผลการศึกษา :

ชลิต ชัยครรชิต นำเสนอบทความเรื่อง “เมืองเสมาคือศูนย์กลางศรีจนาศะ” โดยศึกษาการตั้งถิ่นฐานของชุมชนโบราณในบริเวณลุ่มลำน้ำมูลตอนบนว่ามีความสัมพันธ์กับการค้นพบแหล่งถลุงเหล็กสมัยโบราณ และเสนอว่าชุมชนบริเวณเมืองเสมามีการติดต่อแลกเปลี่ยนค้าขายระหว่างภูมิภาคกับชุมชนบริเวณที่ราบลุ่มภาคกลาง ส่งผลต่อพัฒนาการทางวัฒนธรรมของเมืองเสมาในระยะแรกที่สัมพันธ์กับวัฒนธรรม ทวารวดีจากที่ราบภาคกลาง

ประเภทของแหล่งโบราณคดี

แหล่งอยู่อาศัย, สุสาน, ศาสนสถาน

สาระสำคัญทางโบราณคดี

เมืองเสมาเป็นเมืองโบราณร่วมสมัยวัฒนธรรมทวารวดีและวัฒนธรรมเขมร มีคูน้ำคันดินล้อมรอบ มีลักษณะการสร้างเมืองซ้อนกัน 2 ชั้น เรียกว่า เมืองนอก และ เมืองใน แผนผังเมืองเป็นรูปกลมรีไม่สม่ำเสมอ ลำน้ำสำคัญที่ไหลผ่าน คือ ลำตะคองซึ่งไหลผ่านทางทิศใต้ของเมือง และห้วยไผ่ไหลผ่านทางทิศตะวันตกของเมือง

เมืองเสมามีคูน้ำ-คันดิน กำแพงเมืองชั้นเดียว มีความยาวจากด้านทิศเหนือไปทิศใต้ ประมาณ 1,700 เมตร และจากด้านทิศตะวันออกไปทิศตะวันตก ประมาณ 1,500 เมตร กำแพงหรือคันดินสูงเฉลี่ย 3-4 เมตร คูน้ำกว้างประมาณ 10-20 เมตร

กรมศิลปากรได้ดำเนินการสำรวจ ขุดค้น และขุดแต่งเมืองเสมามาในปี พ.ศ.2533 และ พ.ศ.2542 พบโบราณสถานในเขตเมืองชั้นในจำนวน 6 แห่ง (โบราณสถานหมายเลข 1 หมายเลข 2 หมายเลข 3 หมายเลข 4 หมายเลข 5 และหมายเลข 6) และในเขตเมืองชั้นนอกจำนวน 3 แห่ง (โบราณสถานหมายเลข 7 หมายเลข 8 และหมายเลข 9) แต่ดำเนินการขุดแต่งและบูรณะได้เพียง 8 แห่ง (หจก.ปุราณรักษ์ 2542 : 9-15) นอกจากนี้ยังมีโบราณสถานนอกเมืองอีก 2 แห่ง คือ เจดีย์บ้านแก่นท้าวและวิหารพระนอน วัดธรรมจักรเสมาราม

พัฒนาการทางวัฒนธรรม

ผลการศึกษาหลักฐานทางโบราณคดีที่เมืองโบราณเสมาได้ข้อสรุปว่าชุมชนโบราณแห่งนี้มีการอยู่อาศัยต่อเนื่องมาตั้งแต่สมัยแรกเริ่มประวัติศาสตร์และมีความสัมพันธ์ทางวัฒนธรรมกับชุมชนโบราณในภูมิภาคอื่นๆ โดยสามารถแบ่งพัฒนาการทางวัฒนธรรมของเมืองโบราณเสมาได้เป็น 3 ระยะดังนี้ (เขมิกา หวังสุข 2543 : 157-182; มยุรี วีระประเสริฐ 2545 : 109-110; ชลิต ชัยครรชิต 2545 : 140-147)

ระยะที่ 1 ราวพุทธศตวรรษที่ 10-11 พบหลักฐานว่ามีชุมชนเข้ามาตั้งถิ่นฐานเริ่มแรก โดยเป็นชุมชนที่มีพัฒนาการทางวัฒนธรรมสืบต่อมาจากชุมชนในวัฒนธรรมสมัยก่อนประวัติศาสตร์ตอนปลายที่อาศัยอยู่บริเวณลุ่มแม่น้ำมูล หลักฐานทางโบราณคดีสำคัญที่แสดงถึงวัฒนธรรมที่สัมพันธ์กับชุมชนโบราณร่วมสมัยบริเวณลุ่มแม่น้ำมูลและชุมชนโบราณบริเวณลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาและลุ่มแม่น้ำลพบุรี-ป่าสัก ได้แก่ ภาชนะดินเผาแบบสีดำขัดมันหรือแบบพิมายดำ ซึ่งเป็นรูปแบบภาชนะดินเผาที่พบแพร่หลายในชุมชนโบราณบริเวณลุ่มแม่น้ำมูลตอนบนและพบการแพร่กระจายไปยังชุมชนโบราณบริเวณลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาและลุ่มแม่น้ำลพบุรี-ป่าสัก ภาชนะดินเผาแบบร้อยเอ็ดซึ่งเป็นภาชนะดินเผาที่พบหนาแน่นบริเวณตอนกลางของแม่น้ำมูล

ระยะที่ 2 ราวพุทธศตวรรษที่ 12-15 เป็นช่วงที่ชุมชนมีการอยู่อาศัยอย่างหนาแน่น มีหลักฐานแสดงถึงการรับอิทธิพลวัฒนธรรมทวารวดีจากภาคกลางอย่างเด่นชัด คือ การนับถือพุทธศาสนา (เถรวาทและมหายาน) ในช่วงเวลานี้ชุมชนได้สร้างศาสนสถานและศาสนวัตถุเนื่องในศาสนาพุทธขึ้นทั้งภายในเมืองชั้นในและชั้นนอก ได้แก่ เจดีย์ วิหาร ใบเสมาหินทราย พระพุทธรูป ธรรมจักรศิลา ซึ่งเป็นรูปแบบศิลปกรรมที่ได้รับอิทธิพลศิลปะทวารวดีผสมศิลปะพื้นเมือง  ส่วนหลักฐานโบราณคดีอื่นๆ ที่สำคัญ อาทิ หม้อน้ำมีพวยซึ่งเป็นรูปแบบที่เหมือนกับที่พบในชุมชนโบราณสมัยทวารวดีในภาคกลางของประเทศไทย ลูกปัดแก้วสีเดียว ตะคันดินเผา เบี้ยดินเผา หม้อมีสัน ฯลฯ

ระยะที่ 3 ราวพุทธศตวรรษที่ 15-18 ชุมชนโบราณแห่งนี้ได้รับอิทธิพลวัฒนธรรมเขมรเข้ามาผสมผสานกับวัฒนธรรมทวารวดี เนื่องจากพบหลักฐานของสถาปัตยกรรมและประติมากรรมในวัฒนธรรมร่วมแบบเขมร และมีร่องรอยการปรับเปลี่ยนพุทธสถานเป็นเทวสถาน ซึ่งเป็นหลักฐานที่แสดงว่าศาสนาพราหมณ์เริ่มเข้ามามีบทบาทแทนที่ศาสนาพุทธ สอดคล้องกับหลักฐานศิลาจารึกที่พบในเมืองเสมา นอกจากนี้ยังปรากฏรูปแบบภาชนะดินเผาแบบเขมรหรือเครื่องเคลือบแบบเขมรแทนที่ภาชนะดินเผาในวัฒนธรรมทวารวดีซึ่งเป็นรูปแบบภาชนะดินเผาที่พบแพร่หลายในชุมชนโบราณที่ได้รับอิทธิพลวัฒนธรรมเขมรทั้งในภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคกลางของประเทศไทย ในช่วงเวลานี้มีการขยายชุมชนขึ้นไปทางทิศเหนือของเมืองชั้นในและมีการขุดคูน้ำรูปสี่เหลี่ยมขึ้นในส่วนของเมืองที่ขยายออกไป หลักฐานที่แสดงถึงการติดต่อสัมพันธ์กับชุมชนโบราณนอกภูมิภาคที่พบในช่วงเวลานี้ คือ เครื่องถ้วยจีนสมัยราชวงศ์ซ่งและหยวน หลังจากพุทธศตวรรษที่ 18 เป็นต้นไป เมืองเสมาจึงถูกทิ้งร้างไป

แบบแผนการดำรงชีวิตและคติความเชื่อ

จากหลักฐานทางโบราณคดีพบว่าชุมชนโบราณแห่งนี้ดำรงชีพด้วยการทำกสิกรรมและประกอบกิจกรรมด้านต่างๆ ดังนี้

กิจกรรมด้านการผลิตภาชนะดินเผา พบหลักฐานในชั้นการอยู่อาศัยระยะที่ 2 เป็นลานดินเผาไฟแต่ไม่หนาแน่นมากนักและก้อนอิฐขนาดใหญ่มีแกลบข้าวเป็นส่วนผสมโดยมีการบากที่มุมทั้ง 2 ด้าน ซึ่งอาจใช้เป็นที่กันไฟเนื่องจากมีรอยไหม้ นอกจากนี้ยังพบก้อนดินเผาจำนวนหนึ่งมีร่องรอยโครงไม้ไผ่ทาบติดเนื้อดิน สันนิษฐานว่าอาจเป็นโครงสร้างหลังคาเตาเผา และยังพบหลักฐานที่เป็นอุปกรณ์ในการผลิตภาชนะดินเผา คือ หินดุ อีกด้วย แต่จากหลักฐานที่พบสันนิษฐานได้ว่าเป็นการผลิตเพื่อใช้ในชุมชน (เขมิกา หวังสุข 2543 : 155-156)

กิจกรรมด้านโลหกรรม พบหลักฐานเป็นตะกรันเหล็กซึ่งกระจัดกระจายอยู่ทุกชั้นดินในชั้นการอยู่อาศัยระยะที่ 1-2 แต่ไม่หนาแน่นมากนักจึงสันนิษฐานว่าเป็นการผลิตเพื่อใช้ในชุมชนเองเท่านั้น เป็นเครื่องใช้ประเภทอาวุธ เช่น ใบหอกขนาดเล็ก ขวาน/พลั่วมีบ้อง เป็นต้น (เขมิกา หวังสุข 2543 : 156)

ประเพณีการปลงศพ พบประเพณีการปลงศพ 2 แบบ แบบที่ 1 เป็นการปลงศพแบบฝังนอนหงายเหยียดยาวในวัฒนธรรมสมัยแรกเริ่มประวัติศาสตร์ มีการอุทิศของให้แก่ศพ ได้แก่ สร้อยลูกปัดแก้วและจี้ลูกปัดกระดูกที่คอและข้อมือขวา แหวนสำริด เครื่องมือเครื่องใช้ทำจากเหล็ก และภาชนะดินเผาสีดำขัดมันหรือภาชนะดินเผาแบบพิมายดำ แบบที่ 2 เป็นการปลงศพฝังในภาชนะดินเผาในวัฒนธรรมสมัยทวารวดี เป็นการบรรจุโครงกระดูกเด็กในภาชนะดินเผาแบบหม้อมีสัน พบของอุทิศให้แก่ศพ คือ เมล็ดข้าวสารดำและกระดูกปลา (เขมิกา หวังสุข 2543 : 150)

ศาสนาและคติความเชื่อ จากร่องรอยของโบราณสถานและหลักฐานโบราณวัตถุที่พบในเมืองเสมาแสดงให้เห็นถึงคติความเชื่อทางศาสนาพุทธ (เถรวาทและมหายาน) และศาสนาพราหมณ์ (ไศวนิกาย) ที่ได้รับอิทธิพลวัฒนธรรมทวารวดีและวัฒนธรรมเขมร

- ศาสนาพุทธ

หลักฐานที่เกี่ยวเนื่องกับพุทธศาสนาในเมืองเสมานี้แสดงให้เห็นถึงการรับอิทธิพลพุทธศาสนาจากเมืองโบราณสมัยทวารวดีในภาคกลาง และเป็นหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่าศาสนาพุทธคงเจริญรุ่งเรืองมาตั้งแต่ราวพุทธศตวรรษที่ 12 หรือ 13 เป็นต้นมา (มยุรี วีระประเสริฐ 2545 : 108) โดยพบศาสนาสถานกระจายอยู่ภายในเมืองชั้นในและชั้นนอก ได้แก่ โบราณสถานหมายเลข 2 โบราณสถานหมายเลข 3 โบราณสถานหมายเลข 4 โบราณสถานหมายเลข 5 โบราณสถานหมายเลข 7 โบราณสถานหมายเลข 8 และโบราณสถานหมายเลข 9 ลักษณะของศาสนสถานมีทั้งประเภทเจดีย์ วิหาร และอาคารทรงปราสาท (หจก.ปุราณรักษ์ 2542 : 241-242, เขมิกา หวังสุข 2543 : 44-46) นอกจากนี้ยังพบศาสนสถานนอกเมือง คือ พระนอนที่วัดธรรมจักรเสมาราม และเจดีย์ที่วัดแก่นท้าว

ศาสนสถานประเภทเจดีย์ที่พบมีแผนผังเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสเพิ่มมุม (โบราณสถานหมายเลข 2) ผังสี่เหลี่ยมจัตุรัส (โบราณสถานหมายเลข 5)  ผังรูปแปดเหลี่ยม (โบราณสถานหมายเลข 3)  และผังกลม (โบราณสถานหมายเลข 8)  ส่วนศาสนสถานประเภทวิหารมีแผนผังเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า  (โบราณสถานหมายเลข 4 โบราณสถานหมายเลข 3 หลังที่ 2 และโบราณสถานหมายเลข 9) มีร่องรอยการประดับตกแต่งด้วยลวดลายปูนปั้นทั้งที่เป็นรูปสัตว์และรูปดอกไม้ ศาสนสถานอีกประเภทหนึ่ง คือ อาคารทรงปราสาท มีแผนผังเป็นรูปสี่เหลี่ยมจตุรัส  ส่วนฐานประดับลวดลายปูนปั้น (โบราณสถานหมายเลข 7)

เทคนิคการก่อสร้าง โบราณสถานทุกหลังก่อด้วยอิฐขนาดค่อนข้างใหญ่มีแกลบข้าวปนไม่สอปูนอันเป็นลักษณะของศาสนสถานในวัฒนธรรมทวารวดี

ศาสนสถานเนื่องในศาสนาพุทธที่พบในเมืองเสมาสามารถเทียบได้กับโบราณสถานหลายแห่งในเมืองโบราณอู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี เมืองโบราณคูบัว จังหวัดราชบุรี เมืองโบราณโคกไม้เดน จังหวัดนครสวรรค์ และเมืองฟ้าแดดสงยาง จังหวัดกาฬสินธุ์

ประติมากรรมเนื่องในพุทธศาสนาที่พบส่วนใหญ่เป็นใบเสมาหินทรายขนาดใหญ่ ไม่มีลวดลายสลัก โดยปักอยู่เป็นคู่โดยรอบศาสนสถานประเภทวิหาร นอกจากนี้จากการขุดแต่งโบราณสถานได้พบประติมากรรมหลายชิ้น ที่สำคัญได้แก่ ชิ้นส่วนพระพุทธรูปหินทราย พบที่โบราณสถานหมายเลข 1 โดยถูกนำมาทำเป็นฐานกำแพงแก้ว มีลักษณะเหมือนกับพระพุทธรูปสมัยทวารวดีที่ได้รับอิทธิพลศิลปะอินเดียแบบคุปตะและหลังคุปตะ (เขมิกา หวังสุข 2543 : 172-173) ชิ้นส่วนธรรมจักร ทำจากหินทราย พบที่โบราณสถานหมายเลข 2 สลักทึบทั้งสองด้าน บริเวณขอบโดยรอบสลักลวดลายผักกูด ถัดเข้ามาเป็นลายดอกวงกลมสลับรูปสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูน มีลักษณะคล้ายคลึงกับธรรมจักรศิลาพบที่วัดธรรมาจักรเสมาราม  (เขมิกา หวังสุข 2543 : 173)

ศาสนาพราหมณ์

พบหลักฐานการนับถือศาสนาพราหมณ์ ลัทธิไศวนิกายในช่วงพุทธศตวรรษที่ 15 เป็นต้นมาเมื่อชุมชนโบราณเมืองเสมาได้รับอิทธิพลวัฒนธรรมเขมร และพบจารึกที่กล่าวถึงกิจกรรมทางศาสนาพราหมณ์ ระบุอายุในช่วงต้นพุทธศตวรรษที่ 15-ต้นพุทธศตวรรษที่ 16 อย่างไรก็ตามข้อความในจารึกทำให้ทราบว่ามีการนับถือศาสนาพราหมณ์และศาสนาพุทธควบคู่กัน

 ศาสนสถานเนื่องในศาสนาพราหมณ์ที่พบในเมืองเสมา คือ โบราณสถานหมายเลข 1 เป็นโบราณสถานขนาดใหญ่ที่สุดในเมือง ประกอบด้วยปราสาทประธานแบบเขมรก่อด้วยอิฐ 1 หลัง ขนาบข้างด้วยวิหาร 2 หลัง มีกำแพงแก้วล้อมรอบ เทคนิคการก่อสร้างมีการใช้อิฐเนื้อค่อนข้างละเอียดไม่มีแกลบข้าวปนอันเป็นลักษณะของอิฐที่ใช้ก่อสร้างศาสนสถานในวัฒนธรรมร่วมแบบเขมร โดยไม่สอปูน (หจก.ปุราณรักษ์ 2542 : 11-12) จากการขุดแต่งโบราณสถานหมายเลข 1 พบประติมากรรมเนื่องในศาสนาพราหมณ์หลายชิ้น ได้แก่ ชิ้นส่วนศิวลึงค์ศิลา เศียรเทวรูป ชิ้นส่วนรูปเคารพ ฐานรูปเคารพ ชิ้นส่วนโคนนทิ ท่อโสมสูตร (หจก.ปุราณรักษ์ 2542 : 25-37)

 

จารึกที่เกี่ยวข้องกับเมืองเสมา

ศิลาจารึกที่เกี่ยวข้องกับเมืองเสมาที่มีการอ่านและแปลแล้วมีจำนวน 3 หลัก และมีจารึกที่ค้นพบใหม่จากการขุดแต่งโบราณสถานหมายเลข 1 เมื่อพ.ศ.2542 ซึ่งยังไม่มีข้อมูลการอ่าน-แปล มีรายละเอียดดังนี้

1. จารึกบ่ออีกา อักษรขอมโบราณ ภาษาสันสกฤตและเขมร ระบุพ.ศ.1411 พบที่บ้านบ่ออีกา อำเภอสูงเนิน จังหวัดนครราชสีมา มีสองด้าน

ด้านที่ 1 กล่าวถึงพระราชาแห่งอาณาจักรศรีจนาศะทรงอุทิศปศุสัตว์และทาสทั้งหญิงและชายแก่พระภิกษุสงฆ์ ส่วนด้านที่2 กล่าวสรรเสริญพระอิศวรและอังศเทพผู้ได้รับดินแดนที่ถูกละทิ้งไปนอกกัมพุเทศ (กรมศิลปากร 2529 : 23-29)

2. จารึกศรีจนาศะ อักษรขอมโบราณ ภาษาสันสกฤตและเขมร ระบุพ.ศ.1480  พบบริเวณเทวสถานใกล้สะพานชีกุน อำเภอเมือง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา

จารึกหลักนี้เริ่มต้นด้วยการสรรเสริญพระศังกร (ศิวะ) และสรรเสริญพระนางปารพตีซึ่งรวมกับพระศิวะภายใต้รูปอรรถนารี ต่อจากนั้นกล่าวถึงรายพระนามพระราชาแห่งอาณาจักรจนาศปุระ (กรมศิลปากร 2529 : 42-49)

3. จารึกเมืองเสมา อักษรขอมโบราณ ภาษาสันสกฤตและเขมร พบที่เมืองเสมา อำเภอสูงเนิน จังหวัดนครราชสีมา ระบุมหาศักราช 893 ซึ่งตรงกับ พ.ศ. 1514

จารึกเริ่มต้นด้วยการกล่าวนมัสการเทพเจ้าในศาสนาพราหมณ์ ได้แก่ พระศิวะ พระวิษณุ พระพรหม พระอุมา และพระสรัสวดี จากนั้นกล่าวถึงพระเจ้าชัยวรมันที่ 5 หรือพระบาทบรมวีรโลกว่าทรงเป็นโอรสของพระเจ้าราเชนทรวรมัน และทรงสืบเชื้อสายมาจากจันทรวงศ์ และกล่าวถึงพระราชกรณียกิจของพระเจ้าชัยวรมันที่ 5 สุดท้ายกล่าวถึงข้าราชการผู้ใหญ่ที่ได้สร้างเทวรูปและพระพุทธรูปไว้หลายองค์ พร้อมทั้งถวายทาสและสิ่งของต่างๆ แด่ศาสนสถาน (กรมศิลปากร 2529 : 42-49)

4. จารึกหลักที่ 4 เป็นจารึกพบใหม่ระหว่างการขุดแต่งโบราณสถานหมายเลข 1 บริเวณกำแพงแก้วด้านทิศใต้ โดยจารึกถูกนำมาเป็นฐานของกำแพงแก้ว อักษรขอมโบราณ ภาษาเขมร ยังไม่มีผลของการอ่านและแปล ระบุมหาศักราช 849 ตงกับพ.ศ.1470 (เขมิกา หวังสุข 2543 : 42)

ข้อความในจารึกเหล่านั้นกล่าวถึงบ้านเมืองที่ชื่อ “ศรีจนาศะ” หรือ “จนาศะปุระ” และกล่าวถึงรายพระนามของพระราชาที่ปกครองบ้านเมืองนี้ ซึ่งศ.ยอร์จ เซเดย์ สันนิษฐานว่าศูนย์กลางของบ้านเมืองที่ชื่อศรีจนาศะหรือจนาศะปุระนี้คงตั้งอยู่บริเวณที่ราบสูงโคราช และนักวิชาการหลายท่านก็เชื่อว่าคงมีศูนย์กลางอยู่ที่เมืองเสมา โดยพิจารณาจากหลักฐานโบราณคดีที่พบบริเวณเมืองเสมา (มยุรี วีระประเสริฐ 2545 : 102-113)

ผู้เรียบเรียงข้อมูล-ผู้ดูแลฐานข้อมูล

อมรรัตน์ พิยะกูล

บรรณานุกรม

กรมศิลปากร. จารึกในประเทศไทย เล่ม 3 : อักษรขอม พุทธศตวรรษที่ 15-16. กรุงเทพฯ : หอสมุดแห่งชาติ กรมศิลปากร, 2529.

เขมิกา หวังสุข. “พัฒนาการทางวัฒนธรรมในลุ่มแม่น้ำมูล : กรณีศึกษาแหล่งโบราณคดีเมืองเสมา อำเภอสูงเนิน จังหวัดนครราชสีมา.”  วิทยานิพนธ์ปริญญาศิลปศาสตรมหาบัณฑิต (โบราณคดีสมัยประวัติศาสตร์) บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศิลปากร, 2543.

ชลิต ชัยครรชิต. “เมืองเสมาคือศูนย์กลางศรีจนาศะ.” ใน ศรีจนาศะ รัฐอิสระที่ราบสูง, 125-151. สุจิตต์ วงษ์เทศ, บรรณาธิการ. กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์มติชน, 2545.

ทนงศักดิ์ หาญวงศ์. “พระนอนวัดธรรมาจักรเสมาราม” ศิลปากร 34, 6 (2534) : 60-75.

ปุราณรักษ์, หจก. รายงานการขุดแต่งเพื่อการบูรณะโบราณสถานเมืองเสมา ตำบลเสมา อำเภอสูงเนิน จังหวัดนครราชสีมา. รายงานเสนอต่อสำนักงานโบราณคดีและพิพิธภัณฑ์แห่งชาติที่ 9 จังหวัดนครราชสีมา, 2542. (อัดสำเนา)

มยุรี วีระประเสริฐ. “ศรีจนาศะ หรือ จนาศะปุระ : ข้อสันนิษฐานเก่า-ใหม่.” ใน ศรีจนาศะ รัฐอิสระที่ราบสูง, 87-122. สุจิตต์ วงษ์เทศ, บรรณาธิการ. กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์มติชน, 2545.

สำนักงานโบราณคดีและพิพิธภัณฑ์แห่งชาติที่ 2 สุพรรณบุรี. โบราณคดีเมืองอู่ทอง. นนทบุรี : โรงพิมพ์สหมิตรพริ้นติ้ง, 2545.

Aymonier, Etienne. Khmer Heritage in the Old Siamese Provinces of Cambodia with Special Emphasis on Temples, Inscriptions, and Etymology. Walter E. J. Tips (Translated). Bangkok : White Lotus, 1999.

Cœdès, Goerge. “Une nouvelle inscription d’Ayuddhya” Journal of Siam Society. Vol.35 No.1 (February 1944) : 73-76.

Cœdès, Goerge. “Stèle de Bô Ika (K. 400).” in Inscriptions du Cambodge vol. VI, 83-85. Hanoi : Imprimerie d'Extrême-Orient, 1954.

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ภาพเกี่ยวกับแหล่งโบราณคดี